ตอนที่แล้วบทที่ 96 รูปแบบหายใจเต่าคราม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 98 วานรพุทธะพิชิตปีศาจ

บทที่ 97 เส้นทางการฟื้นฟูสำนักวัชระ


บทที่ 97 เส้นทางการฟื้นฟูสำนักวัชระ

【ปีแรก โฮสต์กลืนยาบำรุงร่างกาย และเริ่มฝึกฝนวิชากายเนื้อโพธิญาณวัชระ】

ภายในห้อง เสินอี้เก็บขวดยาบำรุงร่างกายนับร้อยขวดไว้ในระฆังเงิน

อย่าดูถูกระฆังนี้เด็ดขาด แม้มันจะดูชิ้นเล็ก แต่มันสามารถเก็บของใช้ส่วนตัวได้มากมาย

ยาเม็ดสีแดงขนาดถั่วเหลือง มีกลิ่นเลือดสัตว์เล็กน้อย ค่อยๆ ถูกส่งเข้าปาก

【ใปีที่สอง วิธีการบ่มเพาะกายเนื้อที่โฮสต์เคยฝึกฝนนั้นคล้ายคลึงกับวิชานี้ ทำให้โฮสต์คุ้นเคยกับมันเร็วมาก ยิ่งมียาบำรุงร่างกายช่วยสนับสนุน ทำให้ประสิทธิภาพการฝึกฝนเร็วเพิ่มขึ้นอย่างมาก】

【ปีที่ห้า โฮสต์ค่อยๆ สังเกตเห็นว่าเริ่มไม่ถูกต้อง วิชากายเนื้อโพธิญาณวัชระดูเหมือนต้องการพืชสมุนไพรบางชนิด ทำให้ประสิทธิภาพการฝึกฝนลดลง】

เมื่อมองไปที่ข้อความบนแผงระบบ เสินอี้รู้เรื่องนี้มาจากผู้อื่นอยู่แล้ว เขาจึงเตรียมใจไว้ล่วงหน้า

ถ้ามีผลไม้จากต้นโพธ์วัชระและบำรุงร่างกาย จำเป็นต้องใช้เวลาหนึ่งร้อยแปดสิบปีในการบ่มเพาะ

แต่ในเมื่อไม่มีผลไม้ งั้นก็บ่มเพาะคูณสองก็คงเพียงพอแล้ว

วิชาการฝึกฝนแบบนี้ คือการบ่มเพาะทีละนิด เก็บเกี่ยวทีละหน่อย เชื่อถือได้มากกว่าวิชาที่ต้องพึ่งพาการรู้แจ้งหรือพรสวรรค์มากนัก

สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การรอคอยคือ มันสามารถผสมผสานกับพรสวรรค์ปีศาจของเขา เพื่อพัฒนาวิชาปีศาจที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เมื่อเวลาผ่านไป

"น่าเสียดายที่ยาบำรุงจะหมดแล้ว ถ้าข้าต้องการมันอีก ข้าคงต้องหาทางสร้างผลงานก่อน ทว่ามันก็ทำให้น่าสงสัยอีกด้วย..."

ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ไม่มีผลงานเพียงพอ แม้เขาจะมี มันก็ยากที่จะอธิบายว่า ยาบำรุงสำหรับการใช้งานหนึ่งร้อยปีหายไปไหนหมด

เสินอี้พลิกฝ่ามืออีกครั้ง ยาในมือเหลือเพียงไม่กี่เม็ด ทำให้เขาถอนหายใจเบาๆ

แต่ยาบำรุงจำนวนหนึ่งร้อยปีที่กินเข้าไปนั้น แลกมาด้วยพลังที่เต็มเปี่ยมไปทั่วร่างกาย

ตอนนี้ถ้าสังเกตดีๆ ผิวหนังของเสินอี้เปล่งประกายเงางามมาก

ต้องรู้ว่าด้วยแก่นแท้ปีศาจมังกรเจียวรและถัวหลง ความแข็งแกร่งของเสินอี้ในตอนนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่เหนือกว่าขอบเขตวารีหยกมาก และตำราบ่มเพาะกายเนื้อวิชานี้ มันสามารถทำให้เขารู้สึกถึงการปรับปรุงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

แทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่า ก่อนที่ต้นโพธิ์วัชระจะแห้งเหี่ยว ศิษย์ของสำนักนี้ใช้เพียงขั้นต้นขอบเขตวารีหยก กดดันวารีหยกขั้นสมบูรณ์ได้ คิดดูสิ พวกเขาจะน่ากลัวมากขนาดไหน!

แม้จะไม่มีขอบเขตควบแน่นตัน แต่พวกเขาคือกลุ่มคนที่ผิวหยาบกระด้าง และโดนทุบตีแล้วไม่เจ็บปวดทั้งสำนัก...

อือ... มันต้องน่ากลัวมากแน่นๆ เลย

【ปีที่หกร้อยยี่สิบสี่ แม้จะไม่มีผลไม้และยาบำรุงร่างกาย โฮสต์ก็พึ่งพาเวลาอันยาวนานและบ่มเพาะวิชากายเนื้อโพธิญาณวัชระจนสมบูรณ์แบบ...】

【วารีหยกวิชากายเนื้อโพธิญาณวัชระ (สมบูรณ์แบบ)】

【อายุขัยปีศาจที่เหลือ: 474 ปี】

ทั่วทั้งร่างกายเสิ้นอี้เปล่งแสงสีขาวสว่างไสว จากนั้นมันจึงซึมเข้าสู่ผิวหนังอย่างรวดเร็ว

เสินอี้หลับตาลงรับรู้ช้าๆ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกประหลาดใจ เพียงแค่ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจากวิชากายเนื้อโพธิญาณวัชระนี้ มันก็มีพลังมากกว่าร่างมังกรเจียวถึงแปดส่วน

อย่าลีีมว่า นั่นคือลูกมังกรเจียวยาวกว่าสิบจั้งนะ

ฉีกปีศาจด้วยมือเปล่าได้อย่างแท้จริง!

ยิ่งไปกว่านั้น

เสินอี้มองไปที่แขน ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้ดาบเฉือนตัวเอง แต่ใช้ปลายนิ้วกดเพียงสองครั้ง เขาก็พอจะตัดสินได้

หากกลับไปที่ภูเขาชิงเฟิงอีกครั้ง  กรงเล็บทั้งสองของจางเหิงโจวที่อยู่ในสภาพหมดแรง ย่อมไม่มีทางเจาะไหล่ของเขาได้ง่ายๆ ไม่ต้องพูดถึงลูกของมันและถัวหลงเลย

อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตควบแน่นตัน ใช้ศาสตร์การต่อสู้ที่แข็งแกร่ง จึงจะสามารถมีโอกาสทำลายร่างกายนี้ได้

เยี่ยม... มันเพียงพอแล้ว

ไม่ว่ายังไง เขาเองก็ไม่ใช่ท่อนไม้ แล้วยืนนิ่งให้คนทุบตี...

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า

แต่เสินอี้รู้สึกจริงๆ ว่า  ภายใต้เหว่ยตันและร่างกายที่แข็งแกร่งนี้ แม้เขาจะไม่ใช่ขอบเขตควบแน่นตัน แต่หากเป็นผู้ฝึกตนที่ยังอยู่ขั้นก่อตัวของตัน... น่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

และหากเขาสามารถหาวิธีเข้าสู่ขอบเขตควบแน่นตันได้ละก็...  แม้มังกรเจียวเฒ่าจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาก็อาจจะลองต่อสู้กับมันดู

เมื่อเทียบกับวิธีเข้าสู่ขอบเขตควบแน่นตันแล้ว  วิธีการได้รับศาสตร์ต่อสู้ขอบเขตควบแน่นตันนั้นง่ายกว่ามาก

ท้ายที่สุดแล้ว ปีศาจที่เขาสังหารอาจไม่เก่งเรื่องการบ่มเพาะปราณ แต่พวกมันรู้ดีว่าจะฆ่าอย่างไร และวิธีไหนโหดเหี้ยมที่สุด

ตราบใดที่มีผลึกปีศาจเพียงพอ มันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่

เสินอี้ยื่นมือไปที่ตำราท่าร่างเล่มสุดท้าย พลิกดูคร่าวๆ เขาก็พอจะเข้าใจบ้าง

ท่าร่าง "อาชาเทวะขาว" นี้  เมื่อเทียบกับ "วานรขาวหยอกอสรพิษ"  นั้น มันเหมาะสำหรับการเดินทางไกลมากกว่า ความเร็วไม่เพิ่มมากนัก เพียงแต่ความอดทนนั้นยาวนานกว่า มันไม่ใช่ท่าร่างสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด

อายุขัยปีศาจที่เหลืออยู่เพียงสี่ร้อยกว่าปี เขาจำเป็นต้องเก็บส่วนหนึ่งไว้เติมเต็มทะเลปราณ

ในตอนนั้นที่เขาต่อสู้กับมังกรเจียวเฒ่า แม้มันจะอยู่ในสภาพย่ำแย่ แต่เขาก็ยังสูญเสียอายุขัยไปในปริมาณที่ใกล้เคียงสี่ร้อยปี

สำหรับวิชาท่าร่างนี้  เขาต้องรอจนกว่าจะสะสมอายุขัยให้ได้ก่อน แล้วค่อยพิจารณา

จากนั้นเขาใช้ระฆังเงินเก็บตำราทั้งหมดบนเตียง

ในตอนนี้เอง เสียงตะโกนก็ดังขึ้นอีกครั้งจากลานนอกบ้าน

...

"ใต้เท้าเสิน!"

หลังจากทักทาย หลี่ซินฮั่นที่พันแผลทั้งตัวก็กระโจนเข้ามาในลาน

เขามีสีหน้าบึ้งตึง จากนั้นเดินเข้าไปในบ้านทีละก้าว ดึงเก้าอี้มานั่ง แล้วจ้องมองเสินอี้ ราวกับต้องการดูให้ชัดว่า นี่คือบุคคลที่เขาพาตัวมาจากเมืองไป๋อวิ๋นด้วยตัวเองใช่หรือไม่ ?

หลังจากนั้นสักพัก เขาเอนตัวไปด้านหลังด้วยความท้อแท้  "ใต้เท้าเสิน ท่านช่างโหดร้ายเสียจริงๆ"

เขาขาดผลงานอีกเพียงชิ้นเดียว เขาก็จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลแล้ว

การเกณฑ์เสินอี้ครั้งนี้ ก็เพราะคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะช่วยเหลือเขาได้

หลังจากเหตุการณ์ที่หมู่บ้านสุ่ยอวิ๋น หลี่ซินฮั่นในฐานะผู้บัญชาการทีม ไม่ได้แตะต้องผลงานเลย เขาคิดในใจว่านี่ควรเป็นของเสินอี้ อีกฝ่ายเพิ่งเข้าสู่แผนกปราบปีศาจ เขาจำเป็นต้องมีผลงานเพื่อยืนหยัด

ยังหวังว่าเมื่อบาดเจ็บหายดี เขาจะตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตเสียหน่อย....

ก่อนหน้านี้ เมื่อรู้ว่าพี่สาวไม่ได้รั้งตัวเสินอี้ไว้ เขายังเกือบจะทะเลาะกับนาง!

แต่ตอนนี้สิ...

หลี่ซินฮั่นกัดฟัน เขารู้สึกเสียใจ อีกฝ่ายไม่ขาดสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้หรอก อาจจะไม่ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ

“ถ้ายังไม่หายดี ก็อยู่นิ่งๆ ไม่ได้เหรอ”

เสินอี้ลุกขึ้นนั่งช้าๆ หลังจากใช้เวลานานบนภูเขาชิงเฟิง ในที่สุดก็ได้พักผ่อนสักที...  ทำไมคนพวกนี้ถึงมาหาเขาทีละคน?

เขาไม่มีความเกลียดชังต่อพี่น้องตระกูลหลี่  ไม่ว่ายังไง พวกเขาก็เคยทำงานร่วมกัน แต่เขาก็ต้องระวังสถานะของตระกูลอีกผฝ่ายเล็กน้อย ความรู้สึกนี้ยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เห็นสถานการณ์ที่น่าเศร้าของศิษย์เขาชิงเฟิงด้วยตาของเขาเอง

แต่ตราบใดที่พวกเขาไม่ชักชวนให้ทำอะไรแปลกๆ  จริงๆ แล้วพวกเขาก็เป็นคนดี

สำหรับเสี่ยวเว่ยส่วนใหญ่ หนังสือคำสั่งนั้นถือว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตอย่างแท้จริง

"หืม?"

จู่ๆ  หลี่ซินฮั่นก็มองออกไปนอกประตูด้วยความสงสัย เขาเห็นพี่สาวที่ปกติไม่กลัวใคร ตอนนี้นางยืนอยู่ในลานนอกบ้านด้วยท่าทางอึดอัด

เกิดอะไรขึ้น?

ไม่ต้องพูดถึงขุนพลองครักษ์ แม้แต่ลูกศิษย์ของท่านแม่ทัพใหญ่ อีกฝ่ายก็กล้าชักดาบ ยิ่งไปกว่านั้นเสินอี้ยังเป็นคนรู้จักอีกด้วย

"ใต้เท้าเสินเพิ่งกลับมา คงต้องการพักผ่อน พวกเจ้าคุยกันเถอะ ข้าจะอยู่เฉยๆ สักพัก"

หลี่มู่จิงเม้มริมฝีปากสีแดง นึกถึงฉากม้าตัวสูงที่วิ่งผ่านหน้า ทำให้นางรู้สึกอึดอัด มือนางเอาแต่จับแขนเสื้อตัวเอง

เมื่อเสินอี้เห็นว่าท่าทางนางคงรู้สึกผิด

เสินอี้เดาใจนางคร่าวๆ  จึงลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน เดินไปรินน้ำชา จากนั้นพูดหยอกล้อนางเล็กน้อย "วันนั้นเจ้าไม่สุภาพแบบนี้เลย ข้าคิดว่าเจ้าช่างพูดเสียอีก"

เขาตัดสินคนดีเลวด้วยวิธีง่ายๆ ใครอยากให้เขาอยู่ ใครอยากให้เขาตาย แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำสิ่งนั้นอย่างไม่บริสุทธิ์ใจนัก แต่ก็เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนดี

มีคนบริสุทธิ์น้อยแค่ไหนในโลกนี้  แค่มีคนหวังดีกับเจ้าก็ถือว่าดีมากแล้ว...

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหลี่มู่จิงก็แดงก่ำขึ้นทันที นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นใต้ต้นไม้อีกครั้ง นางจึงอธิบายอย่างตะกุกตะกัก: "ข้า...  ไม่มีเจตนาไม่ดี"

ไม่ว่านางจะมีความคิดอะไร นางไม่เคยอยากจะให้เสินอี้ตกอยู่ในอันตราย แต่นางคิดว่าฟางเหิงคงจัดการให้เขาเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้ในตอนนั้นนางรู้สึกอึดอัด

"พวกเจ้าเป็นอะไรกัน?  พี่สาว ท่านมีเรื่องจะบอกเขาไม่ใช่เหรอ?"

หลี่ซินฮั่นมองทั้งคู่ด้วยความสงสัย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่จิงจึงก้าวเข้าไปในห้อง  นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า "มีเรื่องหนึ่ง...  หลังจากที่เจ้าไปที่ภูเขาชิงเฟิง ข้าและหม่าเถาเก็บของ  รับหนังสือคำสั่งและเตรียมออกจากเมืองชิงโจว...แต่ก่อนไป ข้าเห็นศิษย์สำนักวัชระสองคนมาหาเพื่อนของเจ้า คือคนนั้นไง พุงใหญ่และมีหนวดเคราหนาๆ น่ะ"

การเทน้ำชาของเสินอี้หยุดชะงัก "จานนั้นล่ะ?"

"ข้าเห็นพวกเขามีท่าทางไม่ดี เลยเข้าไปถามสองสามคำ แต่เพื่อนของเจ้าดูรีบร้อน เขายอกไม่ให้ข้าเข้ามายุ่ง...  ข้าไม่มีทางเลือก เลยบอกให้พวกเขาส่งคนกลับมาหลังจากทำธุระเสร็จ"

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลี่มู่จิงกัดริมฝีปาก นางรู้ว่าเสินอี้เกลียดอะไรมากที่สุด แต่นางก็รวบรวมความกล้า และอธิบายว่า "ข้าเพิ่งเข้ามาในแผนกปราบปีศาจได้ไม่นาน  และค่อนข้างขี้เกียจทำภารกิจ ข้าจึงเป็นเพียงเสี่ยวเว่ย ทำให้อาจจะควบคุมพวกเขาไม่ได้ข้าเลย... เอ่อ เลยใช้ชื่อตระกูล"

"ข้าให้หลี่เสี่ยวเอ้อติดตามไปสักพัก พบว่าพวกเขาออกจากเมืองชิงโจว แต่เพราะมีคำสั่งพักงานอยู่ ข้าไม่มีทางติดตามต่อไปได้จริงๆ"

หลี่มู่จิงพูดจบ นางยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยท่าทางขอโทษเล็กน้อย

เสินอี้ยื่นถ้วยชาให้นาง กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "ขอบคุณมาก คุณหนูหลี่ช่วยไว้มากเลยจริงๆ"

มีบุคคลจากตระกูลหลี่ และเป็นผู้มีอิทธิพลระดับหนึ่งมาช่วย โอกาสที่จางถูหูจะเกิดเรื่องก็ลดลงจนแทบไม่มี

"ไม่เป็นไร"  หลี่มู่จิงยกถ้วยชาขึ้น ใบหน้าที่สวยงามอ่อนหวานแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง

"นี่มันเรื่องอะไรกัน พาเพื่อนของท่านขุนพลองครักษ์ของแผนกปราบปีศาจไปเนี้ยนะ?  ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!"

หลี่ซินฮั่นฝืนนั่งตัวตรง  พูดออกมาว่า"เดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมาย หาข้ออ้างชวนพวกคนเหล่านั้นออกมา รวมถึงสำนักวัชระด้วย  ไม่งั้นท่านก็สอบถามพวกเขาต่อหน้าเลยพรุ่งนี้ก็ได้"

"เจ้าคิดจะไปพบกับพวกเขาสภาพแบบนี้เหรอ?"  หลี่มู่จิงจ้องมองน้องชายของนาง

"กลัวทำไม นี่คือบาดแผลจากการปราบปีศาจเชียวนะ"

หลี่ซินฮั่นเลิกคิ้วเล็กน้อย ถ้ารออีกสักสองสามวัน มันก็ไม่ทันเพราะเสินอี้จะไปแล้ว จากนั้นเขาพูดกับทุกคนว่า เขารู้จักขุนพลองครักษ์ส่วนตัวที่อายุน้อยที่สุด  แล้วจะมีใครเชื่อ!

เรื่องนี้มันช่างมีหน้ามีตายิ่งนัก แค่เจ็บแผลนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป... ใช่ไหม?

"อย่าใช้ชื่อของเจ้าส่งจดหมาย ให้พวกกลุ่มเพื่อนของเจ้าออกหน้าดีกว่า ถ้าพวกนั้นรู้ว่าเป็นตระกูลหลี่ คนจากสำนักวัชระอาจจะไม่มา"

หลี่มู่จิงส่ายหน้า น้องชายคนนี้ไม่เข้ากันกับพวกนั้น  พวกนั้นชอบคุยเรื่องลมฟ้าฝน ส่วนเขาสนใจแต่การทำงานหาผลงาน แต่ดันชอบอวดหน้า ชอบความรู้สึกเป็นหัวโจก

ตระกูลหลี่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลห้าสำนัก แต่กลับส่งทายาทสายตรงเข้าแผนกปราบปีศาจทุกยุคทุกสมัย ในยุทธภพชื่อเสียงของพวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ เป็นที่น่านับถือ แต่ลับหลังก็ถูกนินทาว่าฝ่าฝืนคำสอนของบรรพบุรุษ ไปสวามิภักดิ์ต่อราชสำนัก กลายเป็นตระกูลขี้ขลาดหมายเลขหนึ่ง

ใครจะจริงใจคบหากับหลี่ซินฮั่นจริงๆ

เหมือนกับตระกูลหลี่เมื่อเร็วๆนี้ พวกเขาดูร่ำรวยและเป็นมิตรกับทุกคน แต่จริงๆ แล้วตอนที่เขาชิงเฟิงเกิดเรื่อง นอกจากไม่ให้คนของตัวเองเข้าร่วมแล้ว ยังไม่มีท่าทีจะช่วยเหลือแม้แต่น้อย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางก็หันไปหาเสินอี้ "ใต้เท้าเสินจะไปไหม? หรือให้พวกเราถามแทน?"

เสินอี้ใบหน้าสงบนิ่ง พยักหน้าเบาๆ

"ไป"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด