ตอนที่แล้วบทที่ 93 ศิษย์น้องสุนัข
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 95 ของขวัญจากนักล่าปีศาจ

บทที่ 94 ระฆังสามสี


บทที่ 94 ระฆังสามสี

บรรยากาศภายในบ้านจู่ๆ ก็พลันเงียบลง

เมื่อพูดประโยคนั้นจบ ฟางเหิงก็ลดแขนลง ยืนขึ้นและถอยหลังไปครึ่งก้าวด้วยความรู้สึกหวาดกลัว

ตั้งแต่ทั้งสองพบกันครั้งแรก ทุกครั้งที่เขาพยายามพูดอะไรบางอย่างเพื่อรั้งอีกฝ่ายไว้ แขนของเขาจะต้องได้รับบาดเจ็บเสมอ จากตอนแรกแขนขวาข้างเดียว กลายเป็นทั้งสองข้าง...

แต่เขายังคงจ้องมองชายหนุ่มในชุดดำที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างตั้งใจ

เกณฑ์การรับศิษย์ของท่านอาจารย์  "ความสามารถในการฆ่า"  มีความสำคัญกว่า "พรสวรรค์อันสูงส่ง"  ดูได้จากศิษย์พี่ชายหญิงทุกคน รวมถึงตัวเขาเองด้วย ล้วนเป็นผู้ที่มีความโหดเหี้ยมในการฆ่าปีศาจ ผลงานของพวกเขาเหนือกว่าคนอื่นๆ มาก

นั่นเป็นเพราะชิงโจวไม่ได้สงบสุขอย่างที่ตาเห็น!

ชิงโจวเปรียบเสมือนตึกที่สร้างด้วยทราย ดูเหมือนจะมั่นคง แต่หากแตะต้องเพียงเล็กน้อย มันก็จะพังทลายลงทันที

ชิงโจวในปัจจุบัน ไม่ต้องการอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ หรือคนที่ต้องการเพียงบ่มเพาะอย่างมุ่งมั่นพัฒนาฝีมืออย่างรวดเร็ว แล้วจากไปอย่างสง่างาม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกีย์

สิ่งที่ชิงโจวต้องการอย่างแท้จริงคือ เทพเจ้าแห่งความตาย! ผู้สามารถสังหารราชาปีศาจ! ฆาตกรผู้โหดเหี้ยมที่ทำให้ปีศาจทั้งมวลต้องตัวสั่นเทาด้วยความกลัว!

ฟางเหิงเป็นคนเดียวในแผนกปราบปีศาจ นอกเหนือจากหลินไป๋เว่ย ที่ได้เห็นความเร็วในการเติบโตที่น่าสะพรึงกลัวของเสินอี้ เขาใช้เวลาเพียงห้าวันในการฝึก "วิชาตัดชีพจรจับมังกร"  และแน่นอน รวมถึง "ผสานสี่เที่ยงแท้" ด้วยเช่นกัน

ที่สำคัญกว่านั้นคือ ฟางเหิงไม่เคยเห็นความขลาดกลัวในแววตาตาของอีกฝ่าย

ไม่ว่าจะตอนไปหมู่บ้านสุ่ยอวิ๋น หรือตอนขึ้นเขาชิงเฟิง…

มุมมองด้านหลังตอนเขาจากไปนั้น มันช่างดูบอบบางแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเสมอ

แต่ผลลััพธ์ล่ะ… เทพเจ้าแห่งแม่น้ำตาย มังกรเจียวสิ้นชีพ!

ดาบสีดำสนิทที่เอวของเขายังคงเหมือนเดิม แต่กลิ่นคาวเลือดบนดาบกลับเข้มข้นขึ้น

คนแบบนี้ไม่ควรถูกส่งไปฝึกฝนจิตใจ ทนทุกข์ทรมานเป็นเวลาหลายสิบหรือหลายร้อยปีเพื่อกลายเป็นขุนพลอาวุโสประจำเมือง

บทบาทที่แท้จริงของเขาคือ...เขาควรจะฆ่าต่อไป! จนกว่าจะกลายเป็นเหมือนศิษย์พี่หญิงเจียง หรือไม่งั้นก็ชิงตำแหน่งขุนพลอาวุโสของศิษย์พี่หญิงซะ! ให้เขาใช้ดาบในมือสร้างความหวาดกลัวให้กับทั้งสิบสองเมือง!

ณ ตอนนี้ ศิษย์พี่หญิงไป๋เว่ยยังไม่กลับมา

ทำให้นอกจากตัวเขาเองแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเสินอี้เก่งมากแค่ไหน ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในศาสตร์การต่อสู้หรือฐานบ่มเพาะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเยือกเย็นและเฉลียวฉลาด รวมทั้งความมั่นใจที่เขาไม่เคยพึ่งพาใคร

แล้วคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของแม่ทัพใหญ่คืออะไร? ไม่ใช่ความมั่นใจจนถึงขั้นโอหังงั้นเหรอ?

ท้ายที่สุดแล้ว เขาคือคนที่ประชาชนนับล้านต้องพึ่งพา แต่ไม่มีใครให้เขาพึ่งพาแม้แต่คนเดียว!

"ข้า..."

ฟางเหิงรู้สึกแสบร้อนในคอ อดไม่ได้ที่อยากจะอธิบายให้เขาฟัง

ทันใดนั้น เขาเห็นเสินอี้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยกถ้วยชาขึ้น มองมาที่เขาอย่างเหนื่อยหน่าย

"ใครบอกเจ้าว่าข้าจะไปเมืองหลินเจียง?"

ทันทีที่พูดจบ เงาร่างสองร่างหน้าประตูก็หยุดชะงัก ไป๋จื่อหมิงกลอกตา เช็ดเหงื่อที่หน้าผาก

ฟางเหิงก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน ใช้เวลานานกว่าจะตอบสนอง มองไปที่เสื้อคลุมหยินหยางใหม่บนเตียงอย่างงุนงง

"แล้วทำไม... ไม่ปฏิเสธ..."

"ทำไมต้องปฏิเสธ"

เสินอี้จิบชาอุ่นอีกครั้ง เขาถามอย่างสงสัย “ข้าจะดื่มทั้งชาและสุราไม่ได้เหรอ”

ถ้าจำไม่ผิด เขาไม่ได้รับคำสั่งให้ไปเมืองหลินเจียง แล้วทำไมขุนพลองรักษ์ถึงอยู่เมืองชิงโจวต่อไม่ได้? เขาไม่ต้องการผู้ช่วยอย่างเสี่ยวเว่ยอยู่แล้ว

ที่สำคัญคือ พฤติกรรมของคนในแผนกปราบปีศาจที่พากันแสดงความสนใจต่อเขานั้น... ช่างน่าหดหู่

เสินอี้จึงรู้สึกไม่อยากสนใจ

"ทั้งสุรา... และน้ำชา หมายความว่าทั้งหมดงั้นเหรอ?"

เปลือกตาของฟางเหิงกระตุก เขาเพิ่งรู้ว่าเรื่องแบบนี้ทำได้ด้วย

ใช้ชื่อของขุนพลอาวุโสเฉินเฉียนคุน...  แล้วทำธุระส่วนตัว?

"อืม" เสินอี้พยักหน้า

ฟางเหิงเงียบอีกครั้ง อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

เรื่องนี้ฟังดูเหลือเชื่อ แต่กลับไม่มีกฎข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ท้ายที่สุดแล้ว  เสี่ยวเว่ยหลายคนทำงานหนักมาทั้งชีวิต มันก็เพื่อชีวิตที่สงบสุขแบบนี้ ใครมันจะไปคิดเหมือนเสินอี้กันล่ะ!?

เมื่อเห็นสีหน้าสงบของอีกฝ่าย ฟางเหิงถามด้วยความรู้สึกสับสน "เจ้าเองก็รู้สึกไม่สบายใจที่อยู่เฉยๆ ใช่ไหม?"

"ไร้สาระ"

เสินอี้มองเขาอย่างเหนื่อยหน่าย ใครจะรังเกียจชีวิตที่มั่นคง เขาไม่ใช่คนบ้าซะหน่อย

"แล้วทำไมล่ะ?"

ฟางเหิงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่อาจต้านทาน

"เพราะข้าป่วย"

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเสินอี้ เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบขาหมูชิ้นใหญ่จากกล่องอาหาร การกินขาหมูต้องเริ่มจากการแทะหนังก่อน

จริงๆแล้วเขาไม่ได้โกหกอีกฝ่าย

เขาป่วยหนักจริงๆ

เช่นเดียวกับตอนที่เขาเห็นปีศาจสุนัขขนดำหน้าประตูบ้านครอบครัวหลิว มือของเขาเผลอไปยื่นกั้นเพื่อขวางอีกฝ่าย

เช่นเดียวกับตอนที่เขาเห็นเหล่าปีศาจสุนัขที่นอนนิ่งอยู่บนคันนา ขาของเขาเผลอเดินข้ามพวกมันไปยืนหน้าปีศาจสุนัขขนเหลือง

เสินอี้พยายามแก้ไขโรคร้ายแรงเช่นนี้ ก่อนที่มันจะฆ่าเขาจริงๆ

แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นผล

ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามฝึกฝนอย่างไม่หยุดหย่อน หวังว่าในครั้งต่อไปที่มือของเขาเผลอไปยื่น หรือเผลอเดินออกไป เขาจะสามารถใช้ดาบสีดำในมือปกป้องชีวิตของเขาได้

หน้าประตูบ้าน...

สีหน้าของชายวัยกลางคนดูไม่ดี ส่วนหญิงสาวตัวเล็กเอามือปิดปาก นางหัวเราะจนตัวสั่น น้ำตาไหลรินออกมาจากมุมตา เท้าของนางกระทืบไปที่แขนของเขา

"ฮ่าฮ่าฮ่า... เขาต้องการเขา... เขาไม่ใช่เด็กน้อย  เขามีความทะเยอทะยานที่น่ากลัว"

"ข้า จริงๆแล้ว--" หญิงสาวตัวเล็กหยุดหัวเราะ  กระโดดลงจากไหล่ สีหน้าของนางบึ้งตึงขึ้น  "ชอบเขามาก"

"ไหน่ไน(ท่านย่า)  ท่านจะไปไหน?" ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว แน่นอนว่า เขาไม่ได้คาดหวังว่า เสินอี้จะคิดแบบนี้

"ข้าอยากไปดูว่า เขาต้องการทุกอย่างจริงๆ หรือไม่?"

หญิงสาวตัวเล็กในชุดสีเขียวหยก กระโดดโลดเต้นมาที่หน้าประตู มองไปที่ไป๋จื่อหมิง   "ถอยไป"

"เอ่อ!"

ไป๋จื่อหมิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากเปิดประตูบ้านให้แง้มเล็กน้อยแล้วเขาก็รีบเดินออกจากบ้านทันที โดยไม่สนใจศิษย์น้องเลย

โชคดีที่ไอ้ศิษย์น้องสุนัขนี่ ยังไม่ทันได้เปิดเผยความลับ... ฟู่! ช่างอันตรายจริงๆ

หลังจากเขาจากไป

หญิงสาวตัวเล็กในชุดสีเขียวหยกก็ยิ้มอย่างหวานๆ  เขย่งเท้าเคาะประตูที่แง้มเล็กน้อย พลางตะโกนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า "พี่ใหญ่ อาเฉียนเข้าไปได้ไหม?"

"...."

ภายในบ้าน เสินอี้หรี่ตาลง มือที่ถือตะเกียบเริ่มตึงเครียด

นี่เป็นครั้งแรก… ที่มีคนก้าวเข้ามาในบ้านหลังเล็กของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว ครั้งล่าสุดที่รู้สึกแบบนี้คือ... ตอนที่เจอปีศาจงูสองตัวบนเตียงที่เมืองไป๋อวิ๋น

ฟางเหิงตกตะลึง ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า

เขาหันกลับมา กัดฟันพยายามขยับแขนที่ชาไปหมด ค่อยๆ ดัยเปิดประตูไม้จนเปิดกว้าง มองดูร่างเล็ก ๆ ตรงหน้า พูดโดยไม่ได้ตั้งใจว่า "ผู้อาวุโส..."

เมื่อได้ยินคำเรียกนั้น หญิงสาวตัวเล็กก็แสดงท่าทางอันตราย พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "ออกไปจากที่นี่ซะ!"

ฟางเหิงหันไปมองเสินอี้ จากนั้นหันหลังกลับอย่างเงียบๆ แล้วเดินออกจากบ้านไป

เมื่อร่างสูงใหญ่ของเขาจากไป เสินอี้ก็ได้เห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ นางสวมชุดเดรสสีเขียวหยก ยืนเท้าเปล่า ขนตางอนยาว ใบหน้าขาวเนียนละเอียด แก้มป่องหน้าตาน่ารัก

เมื่อเห็นอาเฉียนยิ้มหวานเผยให้เห็นฟันขาว ดวงตาใสแจ๋วของนางมองเขามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ชายหนุ่มรูปงามยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน

ทว่ามือของเขาเอื้อมไปแตะที่ด้ามดาบที่เอวอย่างเงียบๆ

สิ่งมีชีวิตลึกลับที่ไร้เดียงสาตรงหน้าเขา กลับสร้างแรงกดดันให้เขามากที่สุดในช่วงเวลานี้!

"อย่าตึงเครียดสิ"

อาเฉียนมองดูท่าทางของเขา จากนั้นกระโดดขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ วางแขนทั้งสองข้างบนโต๊ะ เอียงใบหน้าอ้วนกลมมาหาเสินอี้  "ข้าเผลอได้ยินพี่ใหญ่พูดเมื่อกี้ เลยเข้ามาถาม..."

นางเอื้อมมือไปข้างหน้า ระฆังทองคำเล็กๆ บนข้อมือส่งเสียงดังกังวาน

นิ้วมือเรียวขาวประดับด้วยระฆังเงินรูปทรงเดียวกัน "เจ้าต้องการสิ่งนี้ไหม?"

เสินอี้จ้องมองระฆังเล็กๆ นี้  ดวงตาสีดำสนิทฉายแววสงสัย

เขาเคยเห็นระฆังแบบนี้มาก่อนที่เมืองไป๋อวิ๋น อยู่ในมือของปีศาจจิ้งจอก แต่เป็นระฆังทองแดง เขาคิดว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าที่บรรพบุรุษของปีศาจจิ้งจอกมอบให้ แต่ตอนนี้มันปรากฏอยู่ในแผนกปราบปีศาจ

ระฆังสีทอง สีเงิน และสีทองแดง สามอันที่เหมือนกัน

ทั้งหมดแกว่งไปมาในใจและตรงหน้าในเวลาเดียวกัน ทำให้ได้ยินเสียงที่ชัดเจนและน่าฟัง...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด