บทที่ 85 ทุกสิ่งล้วนเป็นดั่งแมลงไร
ขณะที่เห็นภาพน่าขนพองสยองเกล้าตรงหน้า หลี่ฟานก็รู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก
นี่ต่างหากคือความประหลาด!
ค้ำอยู่ระหว่างเส้นแบ่งแห่งชีวิตและความตาย ความเจิดจ้าและความมืดมน ถูกขังไว้ด้วยความคิดที่ฝังหัว ได้แต่ดำเนินตามกฎที่ถูกกำหนดเอาไว้ วนเวียนอย่างไม่รู้จบ
ไม่มีทางหลุดพ้น
ทั้งฉินถัง และนักพรตฉงต่างก็เป็นเช่นนี้
นักพรตฉงเห็นหลี่ฟานไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จึงยกโอสถสีทองสองเม็ดโบกไปมาตรงหน้าเขา "ศิษย์พี่ นี่โอสถ"
เขามองหลี่ฟานอย่างคาดหวังเต็มเปี่ยม
หลี่ฟานกลับส่ายหน้าอย่างเสียดาย "ข้าชาติกำเนิดต่ำต้อย กลัวว่าต่อให้กินโอสถนี่ก็คงไม่ช่วยให้พลังเพิ่มขึ้นมากนัก ฉะนั้นข้าไม่ควรกิน ควรเก็บไว้ให้ศิษย์พี่รุ่นหลังที่ชาติกำเนิดดีกว่าใช้มากกว่า"
นักพรตฉงมีท่าทีผิดหวังเล็กน้อย ทำท่าจะบังคับ
แต่หลี่ฟานรีบกล่าวต่อ "อย่างไรก็ตาม ข้าอยากให้ศิษย์น้องช่วยข้าสักเรื่อง ไม่ทราบท่านศิษย์น้องจะยอมหรือไม่"
นักพรตฉงกลับมียิ้มแย้มอีกครั้ง "ยอมสิ ศิษย์พี่มีอะไรจะเรียกร้อง บอกข้าได้เลย"
"ข้าอยากให้ศิษย์น้องสอนวิธีจับแมลงนั่นให้ข้าหน่อย" หลี่ฟานเอ่ยขึ้นช้าๆ
ความประหลาดมีกฎเกณฑ์ของมันเอง
ถ้าไม่ทำตามกฎเกณฑ์ของความประหลาด ย่อมสิ้นชีวิตอยู่ใต้มันแน่
แต่หากทำความเข้าใจกฎเกณฑ์แล้ว นอกจากจะอยู่รอดปลอดภัยในความประหลาด ยังได้ประโยชน์นานาจากนั้นด้วย
เหมือนรูปปั้นฉินถังก่อนหน้านี้
ในการทดสอบของฉินถัง หากทำคะแนนรวมทั้งสามครั้งได้ดีพอควร หลังจากทดสอบครั้งสุดท้ายก่อนจากไป ก็สามารถใช้สุราดีๆ ขอให้ฉินถังช่วยชี้แนะ
ฉินถังก็จะช่วยปรับระดับพลังยุทธ์ หรือถ่ายทอดคัมภีร์วิชา ตามระดับที่ทำได้จริงในการทดสอบก่อนหน้านี้
ส่วนที่นี่กับนักพรตฉง หากเลือกกลืนโอสถสีทอง ก็จะได้ศาสตร์การปรุงยาของนักพรตฉง
แต่ว่า...
ศาสตร์ปรุงยานี้ ไม่ใช่ศาสตร์โคจรแก่นพลังปกติ แต่เป็นศาสตร์ปรุงยาแมลง
ไม่เพียงวัตถุดิบโอสถล้วนได้มาจากแมลงประหลาด โอสถที่ปรุงออกมาก็มีรูปร่างคล้ายแมลงเช่นกัน
แย่ไปกว่านั้น ยิ่งปรุงโอสถแมลงมากเท่าไร ผู้ปรุงโอสถก็ยิ่งค่อยๆ กลายเป็นเหมือนนักพรตฉง
เป็นสิ่งที่ไม่เหมือนคน ไม่เหมือนผี
ดังนั้นหลี่ฟานจึงไม่เลือกโอสถทองเป็นรางวัล แต่เลือกอย่างอื่นที่มีคุณค่าไม่แพ้ศาสตร์โอสถแมลง
นักพรตฉงได้ยินคำของหลี่ฟาน ก็เกาท้ายทอย ท่าทางลำบากใจ "ศิษย์พี่ ตาข่ายหาแมลงนั่นเป็นแค่ของเล่นที่ข้าหามาฆ่าเวลาเฉยๆ ท่านไปเรียนไปทำอะไร..."
หลี่ฟานอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง "เหล่าศิษย์พี่เหน็ดเหนื่อยอยู่แนวหน้า อาจมีแมลงไร้ตาบังอาจไปรบกวนพวกเขา แม้ข้าจะมีกำลังน้อยนิด ไม่อาจโจมตีศัตรูได้โดยตรง แต่ถ้าเรียนวิชาผูกมัดแมลงนี้ ข้าก็ยังสามารถคอยกวาดล้างบรรดาแมลงรบกวนให้ศิษย์พี่ทั้งหลายได้"
นักพรตฉงได้ฟังก็หูผุดตาผ่อง "ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตาข่ายหาแมลงจะใช้แบบนี้ได้ ศิษย์พี่ท่านช่างเฉลียวฉลาดจริงๆ!"
หลี่ฟานเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมจริงใจ "ยังต้องรบกวนท่านศิษย์น้องสอนข้าด้วย"
นักพรตฉงตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ "ดี ศิษย์พี่ ข้าจะถ่ายทอดวิธีทอตาข่ายให้ท่าน"
พูดจบ เสียงหึ่งๆ ดังขึ้นจากด้านหลังนักพรตฉง ปรากฏปีกใสแปดแผ่น
เขายื่นมือไปด้านหลัง ดึงปีกออกมาหนึ่งแผ่น
ปีกนั้นเปื้อนคราบเลือดเล็กน้อย นักพรตฉงส่งมันให้หลี่ฟาน
หลี่ฟานแตะเบาๆ ปีกใสนั้นก็กลายเป็นแสงสว่าง ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายของเขา
พร้อมกันนั้น ในสายตาของหลี่ฟาน ดูเหมือนจะมีเส้นบางๆ นับไม่ถ้วนทั่วฟ้าดิน ตัดกันไปมา
ตัวเขาเองราวกับสามารถควบคุมเส้นเหล่านั้น ถักทอเป็นตาข่ายใหญ่ จับสรรพชีวิตในสายตาได้
"ใช่สิ่งนี้แน่ๆ วิถีเซียนสายพันธุ์: ผูกมัดแมลง"
ตาข่ายใหญ่ในตาค่อยๆ เลือนหายไป แต่หลี่ฟานรู้ว่าตัวเองได้ครอบครองวิถีเซียนอันทรงพลังนี้แล้ว
เพียงแค่ฝ่ายตรงข้ามมีระดับการฝึกฝนต่ำกว่าตัวเอง เมื่อใดที่ใช้วิถีเซียนผูกมัดแมลง ก็สามารถจัดการได้ทันที
ผู้ฝึกเซียนที่ถูกตาข่ายแมลงล็อกตัว ไม่ว่าจะมีวิถีเซียนหรือคาถาใดๆ ก็ใช้ไม่ได้ทั้งสิ้น
ไม่ต่างจากแมลงในตาข่าย โดนทำอะไรก็ได้
ดูผิวเผิน วิถีเซียนผูกมัดแมลงใช้กับผู้ฝึกเซียนที่มีระดับต่ำกว่าตัวเท่านั้น ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์
แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น
ต้องรู้ไว้ว่า ระดับการฝึกฝนไม่ได้แสดงถึงพลังการต่อสู้ที่แท้จริง
ผู้ฝึกเซียนที่เดินทางผจญภัยข้างนอก ใครไม่มีไม้ตายสักหนึ่งสองอัน?
หากเผลอถูกอีกฝ่ายระเบิดพลังออกมา ต่อให้ระดับการฝึกฝนสูงกว่า ก็ไม่กล้าการันตีว่าจะรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย
แต่มีวิถีเซียนผูกมัดแมลงนี่ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้ว
เพียงแค่ระดับการฝึกฝนสูงกว่าอีกฝ่าย ก็สามารถโจมตีข้ามมิติ จับอีกฝ่ายได้โดยง่าย
เหมาะที่สุดสำหรับใช้กับคนที่ระดับการฝึกฝนต่ำกว่า แต่ดูเหมือนจะมีความลับมากมาย...
ร่างของซือคงอี้และไป๋ลี่เฉินผุดขึ้นมาในหัวของหลี่ฟานเป็นพับๆ
ได้วิถีเซียนแล้ว หลี่ฟานก็ไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป
"ศิษย์น้องฉง ข้าเรียนวิชาสานตาข่ายนี้จบแล้ว ข้าจะไปแนวหน้าหาศิษย์พี่ทั้งหลายแล้ว รักษาตัวด้วย!"
นักพรตฉงมีท่าทีผิดหวังอย่างซ่อนไม่มิด "งั้นศิษย์พี่ต้องระวังตัวให้ดีนะ ต้องปลอดภัยกลับมาให้ได้!"
แต่พอหลี่พอหลี่ฟานจากไป ท่าทีผูกพันนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ในหอขุนศึกปีศาจที่เงียบสงัด เสียงพึมพำของนักพรตฉงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"ไม่มีวัตถุดิบปรุงยาแล้ว จะทำยังไงดีนะ..."
...
ออกจากหอขุนศึกปีศาจ หลี่ฟานก็สัมผัสตำแหน่งของซือคงอี้และไป๋ลี่เฉิน
พวกเขาใกล้ถึงใจกลางวิหารอวิ๋นสุ่ยแล้ว นั่นคือ ตำหนักไท่อี้
ข้อมูลเกี่ยวกับตำหนักไท่อี้ผุดขึ้นมาในสมองของหลี่ฟานทันที
ตำหนักไท่อี้นี้ เล่ากันว่าเป็นที่ต้อนรับแขกสำคัญและประชุมสำนักของวิหารอวิ๋นสุ่ย
ไม่นับว่ามีความเสี่ยงอะไร แต่สถานการณ์ก็ค่อนข้างพิเศษ
หลี่ฟานมองไปยังซือคงอี้และไป๋ลี่เฉิน ดูท่าพวกเขาคงเจอเหตุการณ์บางอย่าง จึงหยุดเดินและค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
หลี่ฟานพอจะเดาออก
เขาหัวเราะเย็นชา แล้วรีบร้อนมุ่งหน้าไปยังที่ที่ทั้งสองอยู่
ด้านหน้าตำหนักไท่อี้ มีดาบแตกหักนับไม่ถ้วนปักอยู่บนพื้น
ตัวดาบขัดกันไปมา กลายเป็นป่าแห่งดาบ ขวางกั้นทางเข้าตำหนักไท่อี้
ซือคงอี้และไป๋ลี่เฉินยืนอยู่บนด้ามดาบพวกนั้น ค่อยๆ เดินไปข้างหน้าทีละก้าว
ทุกย่างก้าว ก็จะมีภาพลวงตาของดาบเล่มนั้นปรากฏขึ้นเหนือหัวพวกเขา
แล้วแทงทะลุหัวใจ
ไม่มีเลือดสาด พอแทงผ่านแล้ว ภาพลวงตาก็หายวับไป
ไม่ทำให้เกิดบาดแผลจริง มีแต่ความเจ็บปวด
ความปวดแสบปวดร้อนทำให้ร่างกายพวกเขาสั่นระริกไม่หยุด เหงื่อไหลราวกับสายฝน
ผ่านไปนาน ความเจ็บปวดที่บอกไม่ถูกนี้ถึงค่อยๆ คลายลง
ซือคงอี้และไป๋ลี่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวต่อไป
ภาพดาบแทงผ่านอีกครั้ง
นี่คือสาเหตุที่ทำไมพวกเขาเดินได้ช้าเช่นนี้
ถึงจะเจ็บปวดสุดขีด แต่สายตาของทั้งคู่กลับไม่มีความคิดที่จะถอยแม้แต่น้อย
สิ่งที่ต้องการอยู่ตรงหน้า เอื้อมมือก็ถึง
จะยอมแพ้ได้อย่างไร?
ทั้งคู่กัดฟันสู้ต่อไป
จะว่าไป พวกเขาสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังเข้ามาใกล้
หันไปมอง พวกเขาตกใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ อุทานออกมาทันที
"เป็นเจ้า?! เป็นไปได้ยังไง?"