บทที่ 24 เพลงหมัดโลหิตมังกร
เมื่อเห็นจำนวนคนไม่น้อยจากหมู่บ้านเฮยเฟิงแตกกระเจิงอย่างไร้ทิศทาง หยางเฉาและคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันด้วยความสังสัยว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
เวลาเดียวกัน ผู้คนจากหมู่บ้านกลุ่มที่สองก็วิ่งกระเจิงลงเขา ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเหมือนกับกลุ่มแรก
ทำหยางเฉาและคนอื่นๆ ยิ่งสับสนเพิ่มขึ้นไปอีก
“เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่” องครักษ์ตระกูลหยางซุนฮัว เอ่ยออกมาด้วยความสงสัยบนใบหน้า
หลังสังเกตจากสีหน้าท่าทางที่ตื่นตระหนกของผู้คนจากหมู่บ้านเฮยเฟิงแตกกระเจิงลงมาก่อนหน้า คงต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นบนนั้นเป็นแน่
“ขึ้นไปดูกัน” หยางเฉาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เมื่อหยางเฉาพร้อมคนอื่นๆ ตัดสินใจเดินทางขึ้นไปยังหมู่บ้านเฮยเฟิงเพื่อไขข้อเคลือบแคลงของเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ ระหว่างทาง สิ่งที่พวกเขาเห็นก็ยังคงเป็นกลุ่มคนจากหมู่บ้านเฮยเฟิงซึ่งกำลังหลบหนีลงมาเพราะอะไรบางอย่างด้วยท่าทีหวาดกลัวจนขวัญกระเจิง
และโจรเหล่านี้ ยังมุ่งความสนใจไปที่การวิ่งหนีเท่านั้น ไม่มีใครสนใจพวกเขาที่กำลังเดินสวนทางขึ้นไปข้างบนเลย
หยางเฉาได้แต่ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกแปลกใจกับพฤติกรรมประหลาดเหล่านี้
ก่อนที่หยางเฉาพร้อมกับคนอื่นๆ จะรู้แจ้งถึงสาเหตุ เมื่อมายืนอยู่ยังใจกลางของหมู่บ้านเฮยเฟิงด้วยใบหน้าตกตะลึงต่อภาพที่เห็นเบื้องหน้า
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าพวกเขา คือร่างผู้นำหมู่บ้านเฮยเฟิงนอนจมกองเลือดพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของเหล่าวิญญาจารย์มากมายกลาดเกลื่อนไปทั่วบริเวณ ทั้งพื้นและกำแพงต่างเต็มไปด้วยรอยเลือดที่สาดกระเซ็นจนเป็นภาพน่าสยดสยอง
ดวงตาเบิกตากว้างของทุกคนจากหมู่บ้านสกุลหยาง บ่งบอกว่าพวกเขาขวัญเสียแค่ไหนกับภาพตรงหน้า
ยิ่งจ้องมองมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น
“นั่น… นั่นหม่าตงผิง!” จู่ๆ หนึ่งในองครักษ์ก็กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา
หยางเฉาตกใจถึงนามที่ไม่คิดจะถูกเอ่ยขึ้น เขาหันมองตามต้นเสียงพร้อมกวาดสายตาดูร่างอื่นๆ โดยรอบ
แน่นอนว่าหนึ่งในร่างไร้วิญญาณเหล่านี้ มีร่างของชายเครายาวนอนอยู่ไกลๆ หรือหม่าตงผิงผู้นำหมู่บ้านเฮยเฟิง นอกจากศพของเขาแล้ว ยังมีศพวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์อีกนับสิบคนกระจัดกระจายแถวนั้น
“ทั้งหมด ตะ ตายทั้งหมด!” เมื่อเห็นร่างของเหล่าวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ของเฮยเฟิง ตายสิ้นอยู่ตรงหน้าชัดเจนเต็มลูกตา พวกเขาก็ยิ่งประหลาดใจ
และภาพสยดสยองเหล่านี้ จะเป็นภาพที่ติดตาพวกเขาทุกคนไปอีกนานแสนนาน
ทุกคนจากบ้านสกุลหยางเริ่มขยับตัว ก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบบาดแผลของหม่าตงผิงและคนอื่นๆ ขณะเดินผ่านร่างแต่ละร่าง สีหน้าพวกเขาก็เริ่มเหยเกราวรู้สึกเจ็บปวดกับสยองกร้าวไปด้วย
“แทงทะลุคอด้วยกระบี่ เพียงกระบวนท่าเดียว!”
“เป็นหมัดที่น่ากลัวจริงๆ”
“ไม่เพียงเท่านั้น ปราณกระบี่นี่ยังพุ่งเข้าจากด้านบนของหัวอีก เป็นเพลงกระบี่แบบใดกันน่ะ”
ในขณะที่พวกเขากำลังตรวจสอบศพทุกร่างที่กลาดเกลื่อนอยู่ ใบหน้าทุกคนก็เริ่มหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
“หัวหน้ารอง ดูนี่สิ” หนึ่งในองครักษ์ชี้ไปที่หน้าอกของหม่าตงผิงพร้อมกับตะโกนเรียกเขาทันที เมื่อหยางเฉามองใกล้ๆ ก็เห็นรอยหมัดอันน่าสะพรึงบนหน้าอกของหม่าตงผิง เป็นรอยช้ำจากหมัดขนาดใหญ่ห้อเลือดคล้ายกับหัวของมังกร แต่จางมากแล้ว ซึ่งหากไม่สังเกตให้ดีจะมองเห็นได้ยาก
และรอยนั้น ไม่ได้มีเพียงร่างของหม่าตงผิงคนเดียวเท่านั้น แต่พวกเขายังพบรอยช้ำเลือดคล้ายกันบนศพอีกสองสามร่างที่นอนอยู่ไม่ห่าง
หยางเฉาถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขากำลังสงสัยว่าวรยุทธจากเพลงหมัดอันใดกัน ที่สามารถสังหารคนพร้อมทิ้งร่องรอยช้ำเลือดราวหัวของมังกรได้เช่นนี้
หรือว่านี่จะเป็น เพลงหมัดโลหิตมังกรในตำนานงั้นหรือ…
“เพลงกระบี่ที่ใช้สังหารคนเหล่านี้ ดูคล้ายคลึงกับเพลงกระบี่ที่ใช้สังหารหูลี่ด้วยหรือเปล่า” องครักษ์คนหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างสงสัยไม่มั่นใจ
“เป็นไปได้งั้นหรือ” องครักษ์อีกคนเสริม
แต่เมื่อหยางเฉาหันไปสังเกตบาดแผลเหล่านั้นอย่างรอบคอบอีกครั้ง ก็พบว่ารอยฉกรรจ์จากกระบี่ที่คร่าชีวิตผู้คนในหมู่บ้านเฮยเฟิงนั้น คล้ายคลึงกับบาดแผลของหูลี่มากจริงๆ
เป็นคนเดียวกันอย่างงั้นหรือ…
“หัวหน้ารอง เราควรทำอย่างไรต่อดี” องครักษ์ซุนฮัวถามเขาด้วยใคร่รู้ถึงแนวทางต่อไป
“เราจะแยกกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละห้าคนเพื่อค้นหาแร่ของพวกเรา” หยางเฉาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้น แม้เหตุการณ์สยดสยองตรงหน้าจะทำให้พวกเขาขวัญเสียไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ลืมถึงเหตุผลว่ามาที่นี่ทำไม
ขณะที่สถานการณ์ในหมู่บ้านเฮยเฟิงต่างทุกข์ร้อนไปด้วยหายนะ เวลาเดียวกันหยางไห่และหยางหมิงยังคงไม่ร่วงรู้
ณ จวนสกุลหยาง
หยางไห่ถือสารพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข มุ่งหาหยางหมิงแล้วร้องบอกด้วยดีอกดีใจ “ท่านพ่อ จงเอ๋อร์เพิ่งส่งคนกลับมาพร้อมสาร เขาเขียนไว้ว่าจะกลับมาในอีกสองวัน”
“อีกทั้งเขายังได้ทะลวงเข้าสู่ระดับที่สามแล้ว”
“ท่านพ่อ ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นนักยุทธ์ระดับสามแล้ว!”
หยางไห่รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากขณะกล่าวถึงเรื่องราวในสาร
เมื่อหยางหมิงได้ยินเช่นนั้น เขาก็พลันหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างสุขสม “ระดับที่สาม ดี ดีมาก เขาช่างคู่ควรเป็นหลานชายของหยางหมิงผู้นี้นัก ด้วยความเร็วในการบ่มเพาะระดับนี้ เพียงพอจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเสินไห่แล้ว ฮ่าๆๆ”
เขาใช้เวลาบ่มเพาะไม่ถึงสองเดือนก็สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสามได้ ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
“ผู้อาวุโสเฉินหยวน เขาจะมาด้วยหรือไม่” หยางหมิงถามกลับอย่างกระตือรือร้น
“ผู้อาวุโสเฉินหยวนก็จะมาด้วย” หยางไห่ฉีกยิ้มอย่างครึ้มอกครึ้มใจก่อนจะเปิดปากพูดต่อ “ไม่เพียงเท่านั้น องค์หญิงสี่ก็จะมาเช่นกัน อีกทั้งนางยังเป็นศิษย์พี่ของจงเอ๋อร์ในตอนนี้ด้วย”
ยิ่งหยางหมิงได้ยินว่าองค์หญิงสี่แห่งอาณาจักรเซินไห่กำลังมาเยือนยังหมู่บ้านสกุลหยางด้วย เขายิ่งรู้สึกปีติยินดีราวกับจะตัวลอยขึ้นบนสวรรค์ ก่อนรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอีกครั้ง
“จงเอ๋อร์เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลหยางเรา ข้าหยางหมิงช่างโชคดีนัก ที่มีหลานชายอย่างจงเอ๋อร์ ฮ่าๆๆ”