บทที่ 19 : จากนี้ไป ข้าจะปกป้องเจ้า
บทที่ 19 : จากนี้ไป ข้าจะปกป้องเจ้า
หลังจากที่พวกมันกลายเป็นเต้าฮวยนุ่มๆแล้ว สือชิงลั่วก็ตักขึ้นมาสองสามถ้วย นางมองไปที่เซียวหานเจิงและถามว่า “เจ้าชอบอาหารรสหวานหรือเค็ม?”
เซียวหานเจิงตอบ “ดูเหมือนจะเป็นรสเค็ม”
เขาไม่ชอบอาหารรสหวานเท่าไร
สือชิงลั่วขำแล้วจึงพูดว่า “เช่นนั้นเราก็ชอบรสชาติอาหารเหมือนกัน”
ในเวลานี้ พริกยังไม่ถูกนำมาเผยแพร่สู่แคว้นต้าเหลียง ถึงอยากกินก็กินไม่ได้อยู่ดี
นางคิดกับตัวเองว่า นางจะคิดหาวิธีนำเมล็ดพริกออกมาปลูกในอนาคต
“แล้วพวกเจ้าสองคนล่ะ?” สือชิงลั่วหันไปถามป๋ายหลี่กับเอ้อร์หลาง
ทั้งสองเลือกรสหวาน
ตอนนี้น้ำตาลมีราคาสูง และตอนที่อยู่ในบ้านหลักตระกูลเซียวพวกเขาทั้งสองคนไม่เคยได้กินน้ำตาลเลย
หลังจากที่แยกบ้านออกมาแล้ว พี่ชายของพวกเขาได้ซื้อน้ำตาลมาและพวกเขาก็ตกหลุมรักมันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ที่บ้านมีซีอิ๋วกับเกลืออยู่ สือชิงลั่วจึงนำถั่วเหลืองมาผัดและนำไปโรยบนเต้าฮวยสองถ้วย
นางนำถ้วยหนึ่งไปให้เซียวหานเจิง “มา เจิงเกอ เชิญทานได้!”
เซียวหานเจิงรับถ้วยมาและเลิกคิ้วขึ้น “เจิงเกอ?”
สือชิงลั่วพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านไม่ได้แก่กว่าข้าหรือ แล้วผิดตรงไหนที่ข้าเรียกท่านว่าเจิงเกอ?”
นางขยิบตาให้เซียวหานเจิง และจงใจลดเสียงลง “อย่าบอกนะว่าท่านยังอยากให้ข้าเรียกท่านว่าท่านพี่เจิง?”
เซียวหานเจิงหัวเราะ “ขอแค่เจ้ามีความสุขก็พอ ข้าไม่ว่าอะไร”
ท่านพี่เจิงดูสนิทสนมมากกว่า
สือชิงลั่วถูมือ “ถึงท่านไม่ว่าอะไร แต่ข้าเป็น ข้าขนลุกไปทั้งตัวแล้ว”
แค่นำมาหยอกล้อเป็นครั้งคราวย่อมได้ เมื่อคิดว่าต้องเรียกเขาว่าเจิงเกอทุกวันก็ทำให้นางขนลุกแล้ว
ที่สำคัญคือนางไม่ใช่สตรีอ่อนหวาน
ไม่เช่นนั้นมันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เมื่อเซียวป๋ายหลี่และเซียวเอ้อร์หลางเห็นพี่สะใภ้ของพวกเขาเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เซียวหานเจิงสั่งให้น้องเล็กทั้งสองนำเต้าฮวยไปให้ท่านแม่ของพวกเขาได้ชิม
หลังจากที่ทั้งสองออกไปจากห้องครัวแล้ว
เขาก็มองสือชิงลั่วผู้ร่าเริงและรอยยิ้มในดวงตาของเขาก็ชัดเจนยิ่งขึ้น “ความจริง เจ้าจะเรียกข้าว่าสามีก็ได้”
ความประทับใจแรกที่สือชิงลั่วมอบให้เขายังคงชัดเจน
ดวงตาของนางโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวและแวววาว นางยกมือขึ้นและทักเขาว่า “สวัสดี สามี!”
ในยามนั้น เขาอยู่ในอาการตกตะลึงและจดจำภาพของนางในครั้งแรกที่ได้เห็นเป็นอย่างดี
สือชิงลั่วมองเขายิ้มๆและจงใจลากเสียงยาวเพื่อหยอกล้อเขา “ท่านชอบให้ข้าเรียกว่าสามีนี่เอง!”
นางไม่คิดเลยว่า บุรุษที่ดูเคร่งครึมเช่นเขา ที่แท้จะเป็นคนที่ร้อนแรงได้ขนาดนี้เลยหรือ?
เซียวหานเจิงเห็นว่าภรรยาของเขาไม่ได้รู้สึกอายแม้แต่น้อย
สายตาที่เขาใช้มองนางแปลกไปเล็กน้อย ราวกับเขาไม่เคยเห็นคนเช่นนางมาก่อน
เขาพูดอย่างไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เราเป็นสามีภรรยากัน เจ้าเรียกข้าว่าสามีและข้าก็เรียกเจ้าว่าภรรยา นั่นไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ?”
สือชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น “แต่เรายังไม่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนั้น”
เซียวหานเจิงพูด “การแต่งงานมีบิดามารดาของเราเป็นผู้จัดการให้
“บุรุษและสตรีหลายคนล้วนไม่เคยพบหน้ากันก่อนแต่งงาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความใกล้ชิดสนิทสนมก่อนการแต่งงาน
“เมื่อวานพวกเราก็ได้ทำความคุ้นเคยกันตลอดทั้งวันแล้ว”
ดังนั้น การที่นางจะเรียกเขาว่าสามีหรือที่รักก็ย่อมได้
เมื่อสือชิงลั่วได้ยินเช่นนี้ นางก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล
ในสมัยโบราณ การคลุมถุงชนนั้นเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้น การที่นางสามารถเลือกสามีด้วยตนเองจึงนับว่าดีมากแล้ว
หากนางข้ามเวลามาแล้วกลายเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว และหากชายคนนั้นไม่ใช่คนที่นางชอบ นางก็คงได้แต่ร่ำไห้
แต่นางก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเซียวหานเจิงอยู่ดี
“เราไม่ได้แต่งงานกันจากการคลุมถุงชน ข้าเป็นผู้เลือกด้วยตนเองต่างหาก”
นางเดินตรงเข้าไปหาเซียวหานเจิงและเชิดหน้ามองเขาด้วยท่าทางที่อยู่เหนือกว่า
“และในระหว่างการทดลองนี้เจ้าจึงเป็นคนของข้า หากเจ้ากล้านอกใจ ข้าจะหักข้าเจ้าก่อนที่หย่ากับเจ้า”
นางเคยได้ยินมาว่า เมื่อก่อนเซียวหานเจิงเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน
เหล่าสตรีน้อยใหญ่ในหมู่บ้านและแม้แต่ในเมืองก็ล้วนแล้วแต่อยากแต่งงานกับเขา
สือชิงลั่วไม่สนใจดอกท้อเหล่านั้น แต่นางไม่อนุญาตให้เขานอกใจในระหว่างการทดลองแต่งงานของพวกเขา
นางก็เอาแต่ใจเช่นนี้
เซียวหานเจิงตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่า สือชิงลั่วจะป่าวประกาศความเป็นเจ้าของเขา ว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้มีใจกับสตรีอื่น
หลังจากตั้งสติได้แล้ว เขาก็ขยับเข้าไปใกล้หูของสือชิงลั่วและถามเสียงกลั้วหัวเราะว่า “หักขาข้าเหรอ? หืม?”
ส่วนเรื่องหย่า เขาทำเป็นมองข้ามไป
มันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเขามั่นใจว่าเขาไม่มีทางชอบสตรีคนไหน
การมีภรรยาที่เป็นตัวเจ้าปัญหา, มีชีวิตชีวา, และเอาแต่ใจเช่นนี้ก็ทำให้เขาปวดหัวมากพอแล้ว
ลมหายใจของเซียวหานเจิงเป่าใส่หูของสือชิงลั่วในตอนที่เขาพูด ทำให้ใบหูของนางรู้สึกชา
น้ำเสียงของบุรุษผู้นี้น่าฟังมาก
เขาตรงกับความชอบของนางอีกแล้ว น่าหงุดหงิดจริงๆ!
ใบของนางแดงระเรื่ออย่างหาได้ยาก
นางผลักเขาออกและพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ตอนพูดก็ได้”
จากนั้น จากจึงชูกำปั้นน้อยๆขึ้นมาและมองเขาอย่างจริงจัง “เจ้าไม่เชื่อข้าเหรอ? หากเจ้ากล้านอกใจ ข้าหักขาเจ้าแน่”
เซียวหานเจิงเห็นใบหน้าของนางที่แดงเรื่อก็รู้สึกพอใจขึ้นมาเล็กน้อย
เขายิ้มและพูดว่า “ข้าเชื่อเจ้า เพื่อไม่ให้เจ้าหักขาข้า ข้าไม่กล้านอกใจแน่”
สือชิงลั่วกรอกตาใส่เขา “ผิดแล้ว ไม่ใช่เจ้าไม่กล้านอกใจเพราะกลัวว่าข้าจะหักขาเจ้า”
แต่เป็นเจ้าต้องซื่อสัตย์กับการแต่งงานของเรา อย่าลืมว่าพวกเขายังอยู่ในช่วงทดลองแต่งงานอยู่”
นางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “แน่นอน หากเจ้ามีสตรีที่ชอบขึ้นมาจริงไ เราก็แค่หย่ากัน”
แต่ถึงยังไงก็ต้องหักขาเขาอยู่ดี
ใครใช้ให้เซียวหานเจิงยั่วยุนางก่อนและยังตกลงกับการทดลองแต่งงานร่วมกันในครั้งนี้ด้วย
รอยยิ้มของเซียวหานเจิงจางลง
เขาไม่ชอบประโยคสุดท้ายของนาง
ภรรยาตัวน้อยของเขามักยกเรื่องหย่าขึ้นมาพูดเสมอ
ดูเหมือนว่านางจะมีจุดประสงค์แอบแฝง นี่ไม่ดีเลย
เขาไม่กล้าพูดออกไป แต่ยอมตอบตามความต้องการของนาง “ได้ ข้าฟังเจ้า ข้าจะซื่อสัตย์ในการแต่งงานของเรา ไม่ใช่เพราะกลัวว่าเจ้าจะหักขาข้า”
สือชิงลั่วเชิดหน้าขึ้น “เช่นนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย”
นางยื่นมือไปตบไหล่ของเซียวหานเจิง “ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่เจ้าซื่อสัตย์ต่อข้า ข้าก็จะปกป้องเจ้า”
“หากใครกล้ารังแกเจ้า ข้าจะหักขาเขาซะ”
สามีของนางตัวบางและอ่อนโยน ทำให้เขาเป็นเป้าหมายของการถูกกลั่นแกล้งได้ง่าย
ดังนั้น ตราบใดที่เขาซื่อสัตย์ต่อนาง นางก็จะปกป้องเขา
เซียวหานเจิงสบสายตาที่กระจ่างใสและจริงจังของนางจนมึนงงไปหมด
นี่เป็นครั้งแรกจากทั้งสองช่วงชีวิตที่มีคนพูดแบบนี้กับเขา “ข้าจะปกป้องเจ้า ใครกล้ารังแกเจ้า ข้าจะหักขาเขาซะ”
หัวใจที่แข็งกระด้างของเขาค่อยๆหลอมละลายและมุมปากของเขาก็ยกขึ้น “ได้ จากนี้ไป ข้าคงต้องพึ่งพาการปกป้องจากภรรยาแล้ว”
สือชิงลั่วยิ้มกว้าง “ได้แน่นอน”
จากนั้นนางก็ขยิบตาให้เซียวหานเจิง “สามี เต้าหวยอร่อยหรือไม่?”
เซียวหานเจิงตักขึ้นมาชิมหนึ่งช้อน “สดใหม่และนุ่มนวล ไม่เลว”
สือชิงลั่วยิ้มอย่างได้ใจและพูดว่า “ไม่รู้ซะแล้วว่าใครเป็นคนทำ”
เซียวหานเจิงยิ้มและยกยอนาง “ภรรยาของข้าเก่งจริงๆ”
สือชิงลั่วเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจและพูดว่า “ถูกต้อง”
นางเคยได้ยินเพื่อนสนิทพูดว่า บุรุษที่ยกย่องภรรยาและมองเห็นความลำบากของพวกนางนั้นนับว่าเป็นคนไม่เลว
เซียวหานเจิงนั้นไม่เลวเลย
เมื่อได้เห็นแววตาพึงพอใจของนาง รอยยิ้มในแววตาของเขาก็ยิ่งเข้มขึ้น
ไม่นาน เซียวป๋ายหลี่กับเซียวเอ้อร์หลางก็กลับมาที่ห้องครัว
เซียวป๋ายหลี่ยิ้มและพูดว่า “พี่สะใภ้ ท่านแม่ชอบเต้าฮวยที่ท่านทำมากเจ้าค่ะ”
“เอ้อร์หลางก็ชอบเช่นกัน”
การทำเต้าหู้ต้องใช้เวลานาน ท่านป้าทั้งหลายจึงกลับบ้านไปทำงานก่อน
แล้วพวกนางค่อยกลับมาอีกครั้ง
สือชิงลั่วอ่อนลงเมื่ออยู่ต่อหน้าเซียวป๋ายหลี่ “ถ้าเจ้าชอบก็ดีแล้ว มาเถอะ เรามาทำเต้าหู้กัน”
จากนั้น นางจึงให้เซียวป๋ายหลี่กับเซียวเอ้อร์หลางใช้ผ้าเปียกกดลงไปบนเต้าหู้