บทที่ 15 วิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์
หากต้องการทะลวงเข้าขั้นเซียนสวรรค์ก่อนปีใหม่ เขาจำต้องหลอมโอสถเซียนเทียนให้ได้เสียก่อน!
ทว่าตอนนี้ เขายังไม่สามารถหลอมโอสถขั้นนั้นได้
เพราะมีเพียงผู้ที่อยู่ในขั้นเซียนสวรรค์เท่านั้น ถึงจะสามารถหลอมโอสถเซียนเทียนได้
แล้วเขาจะหาโอสถเซียนเทียนได้จากที่ใดกัน
อีกอย่าง โอสถนั้นมีราคาอย่างน้อยหนึ่งหมื่นเหรียญทอง
เขาไม่มีเงินมากพอจะซื้อมันได้ขนาดนั้น
นอกจากนี้ โอสถเซียนเทียนยังหายากและไม่มีขายในเมืองซิงเยว่หรือเมืองใกล้เคียง
ยากเย็นเสียจริง!
ขณะที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังแอบออกจากบ้านสกุลหยาง เขากลับพบว่ามีผู้คุมคอยลาดตระเวนโดยรอบหมู่บ้านมากกว่าปกติถึงสองเท่า จนเขาเกิดความสงสัยคอยซุ่มดูอยู่เงียบๆ ในมุมมืด
หลังลอบฟังเสียงพวกผู้คุมสนทนากันสักพัก หยางเสี่ยวเทียนก็ได้รู้ว่ามีฆาตกรต้องโทษร้ายแรงที่ทางการประกาศจับหลบหนีเข้ามาในเมืองซิงเยว่
นามเขาคือหูลี่ ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต เคยสังหารคนในตระกูลต่างๆ มาแล้วมากมาย ซ้ำก่อนหลบหนีเขาได้สังหารคนของทางการและนักปรุงโอสถไปด้วยหลายคน
เป็นคู่ต่อสู้ที่ถือว่าแข็งแกร่งมากอีกคน ทั้งยังเป็นวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสอง
จึงไม่แปลกใจเลยที่บ้านสกุลหยางจะเตรียมกำลังป้องกันขนาดนี้
ขณะที่ผู้คนกำลังหวาดกลัว หยางเสี่ยวเทียนกลับรู้สึกเฉย ไม่สนใจถึงความน่าเกร่งกลัวที่ว่านั้น
เพราะหากได้เผชิญหน้ากับหูลี่จริงๆ เขาก็อยากจะทดสอบความแข็งแกร่งในตอนนี้ของเขา ว่ามากพอถึงขั้นไหนแล้ว
เขายังคงลอบออกจากบ้านสกุลหยาง แล้วเดินตามทางที่เคยใช้ไปยังหุบเขา
แต่หลังเข้าถึงยังป่าทึบได้ไม่นาน เขาก็สังเกตเห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งพิงใต้ต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้าไม่ไกลมากนัก ขณะเพ่งมองเขาถึงเริ่มเห็นผมเผ้าแลใบหน้าที่รุงรังไปด้วยหนวดเครา พร้อมด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่นที่มีคราบเลือดกระเซ็นไปทั่วร่างกาย ทำเขารับรู้ได้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงนั้นคือใคร… หูลี่
เมื่อหูลี่รับรู้ถึงการมาของบุคคลปริศนา เขาก็ลุกพรวดขึ้นยืนด้วยความตกใจพร้อมกับแผ่กลิ่นอายอันชั่วร้ายและรุนแรงพุ่งเข้าหาผู้มาเยือนทันที
ก่อนประหลาดใจเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นเพียงเด็กอายุเจ็ดหรือแปดขวบ แต่เจตนาฆ่าในดวงตาของเขากลับเปล่งประกายขึ้นยิ่งกว่าเดิม แล้วเดินเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนพร้อมถือดาบขนาดใหญ่ในมือ
“เจ้าเด็กเหลือขอ ไหนๆ เจ้าก็เห็นหน้าข้าแล้ว ข้าคงปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่ออีกไม่ได้ หากจะโทษก็โทษชะตากรรมที่โหดร้ายกับเจ้าเสียเถอะ”
“ไม่ต้องกลัว ด้วยความรวดเร็วของมัน เจ้าจะตายโดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด!”
เพลงดาบของหูลี่นั้นรวดเร็วมาก
ชั่วพริบตา ดาบก็เหวี่ยงถึงคอของหยางเสี่ยวเทียนแล้ว
ขณะสืบเท้าเข้าใกล้พร้อมคิดจะสะบั้นคอของเด็กผู้อยู่เบื้องหน้าด้วยดาบในมือ ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็พุ่งมาโผล่ตรงหน้าปรากฏแววตาแลสีหน้าเย็นยะเยือก ทำดาบที่กำลังเหวี่ยงเต็มแรงพลาดไปก่อนเขาสัมผัสได้ถึงเพียงความเจ็บปวดข้างลำตัว
หมัดอันทรงพลังที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ชนเข้ากับซี่โครงของหูลี่อย่างหนักหน่วง
สายเกินไปที่เขาจะทันหลบหลีก
กร๊อบ!
เสียงกระดูกแตกหักดังสะท้านจนน่าสยดสยอง
ร่างเขาปลิวถอยหลังไปเกือบห้าสิบฉื่อจากแรงชกมหาศาลนั้น
หูลี่พยายามทรงตัวพร้อมกักเก็บความรู้สึกเจ็บปวด ก่อนมองย้อนดูเด็กน้อยที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ “นักยุทธ์ระดับสิบขั้นปลาย!”
เด็กผู้นี้อยู่ในขั้นปลายแล้วงั้นหรือ!
เขาท่องไปทั่วอาณาจักร เห็นอะไรมาก็มากแม้แต่เด็กที่เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ แต่นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา ที่เขาได้เห็นยอดวิญญาจารย์ขั้นปลายอายุเพียงเจ็ดหรือแปดขวบ
ดูเหมือนที่นี่จะเป็นเมืองซิงเย่วแห่งอาณาจักรเสินไห่ แล้วมีสัตว์ประหลาดอัจฉริยะเช่นนี้โผล่ออกมาจากอาณาจักรเสินไห่ได้อย่างไรกัน
“ข้าสงสัยนัก ว่าเจ้าเป็นคนของตระกูลใดกัน” หูลี่หันกลับมาคิด พร้อมกับแสร้งยิ้มเป็นคนใจดีก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย ข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมญาติและเพื่อนฝูง แต่ถูกโจรปล้นระหว่างทาง เลยทำให้เข้าใจผิดคิดว่าน้องชายเป็นโจรที่ไล่ตามมาเท่านั้น”
หูลี่กล่าวขณะเดินเขาเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนพร้อมปกปิดความมุ่งหมายเอาชีวิตไว้
เมื่อเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนไม่ทันระวังตัว หูลี่ก็ระเบิดพลังพร้อมเหวี่ยงดาบใส่เขาอีกครั้ง ก่อนที่ทันใดนั้นกระบี่ตงเทียนจะปรากฏขึ้นในมือของหยางเสี่ยวเทียนแล้วแทงออกไปอย่างไม่มีลังเลเช่นกัน
เหลือไว้เพียงแสงสะท้อนจากกระบี่ในค่ำคืนอันมืดมิด
ภายใต้แสงจันทรา กระบี่สะท้อนราวกับเพชรเม็ดงาม
หูลี่รู้สึกเจ็บปวดยังตาซ้ายและความมืดสนิท เขายกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าขณะหลับตาซ้ำๆ ว่าดวงตาที่มืดบอดไปเป็นเพียงการถูกบดบังจากเลือดเท่านั้นหรือ ก่อนที่เขาจะเริ่มร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดเพราะสูญเสียดวงตานั้นไปจริงๆ จากเพลงกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนเมื่อครู่
“ปรานกระบี่! เจ้าสามารถใช้ปรานกระบี่ได้อย่างไร!” หูลี่จ้องไปที่หยางเสี่ยวเทียนด้วยความตกใจก่อนจะถามด้วยความปวดร้าว
มีเพียงวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์เท่านั้นถึงจะสามารถใช้ปรานกระบี่ได้ แต่เขาเป็นเพียงนักยุทธ์ระดับสิบขั้นปลายแล้วสามารถใช้ปรานกระบี่ได้อย่างไร
“ใครบอกเจ้า ว่าข้าไม่สามารถใช้ปราณกระบี่ได้” หยางเสี่ยวเทียนซึ่งก่อนหน้าเคยเต็มไปด้วยความกังวล ตอนนี้กลับรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าเพลงกระบี่ที่เขาฝึกประสบความสำเร็จ
“เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสเพลงดาบของข้าบ้าง” หูลี่คำรามด้วยความโกรธ
“วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!” สิ้นเสียงข่มขู่ ภาพธรรมพยัคฆ์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา
จากนั้น ทั่วร่างกายเขาก็เต็มไปด้วยลวดลายของพยัคฆ์พร้อมกับกรงเล็บอันแหลมคมประดุจเหล็กกล้าที่งอกขึ้นมาบนฝ่ามือ