ตอนที่แล้วบทที่ 91 ความดีความชอบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 93 ศิษย์น้องสุนัข

บทที่ 92 กายเนื้อโพธิญาณวัชระ


บทที่ 92 กายเนื้อโพธิญาณวัชระ

โถงกิจการภายนอก แผนกปราบปีศาจ

เหล่าเสี่ยวเว่ยหลายคนแออัดอยู่ที่หน้าประตู เมื่อได้ยินหญิงสาวจากค่ายในเอ่ยถึงสำนักวัชระ พวกเขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย ก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ในตอนนี้เอง เสี่ยวเว่ยชุดอินทรีทองคำหลายคนเดินเข้ามาทันที พวกเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "ใต้เท้าคือผู้ที่ช่วยชีวิตพวกเรา ดังนั้นเจ้าอย่ามาหลอกลวงท่านด้วยสิ่งนั้น!"

หญิงสาวเบ้ปาก มองไปที่เสินอี้อีกครั้ง "ใต้เท้าเสิน ท่านไม่ต้องฟังพวกเขาพูดไร้สาระ ข้าไม่มีนิสัยชอบประหยัดเงินของหลวง แค่พูดไปตามใจเท่านั้น แต่คำพูดของข้าก็ไม่ผิด  'วิชาบ่มเพาะกายเนื้อโพธิญาณวัชระ' ขอบเขตวารีหยกขั้นสูงเล่มนั้น สำนักวัชระเป็นผู้มอบให้เองโดยสมัครใจ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครแตะต้องมันเลย"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสินอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

นับตั้งแต่เดินทางข้ามเวลามา เขามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งที่สุดเกี่ยวกับสำนักต่างๆ ในยุทธภพ นั่นคือความหวาดกลัวต่อแผนกปราบปีศาจอย่างสุดซึ้ง

"สำหรับสาเหตุนั้น" หญิงสาวจากค่ายในอธิบายเบาๆ "ใต้เท้าเสินน่าจะรู้ดีว่า การบ่มเพาะกายเนื้อแบบฝึกฝนอย่างช้าๆ นี้ ผู้ใดฝึกก็เหมือนกัน"

"สำนักวัชระเคยเป็นสำนักใหญ่  พวกเขาครอบครองสมบัติอย่างต้นโพธิ์วัชระ และด้วยผลไม้จากต้นโพธิ์นี้ พวกเขาสามารถใช้เวลาหนึ่งร้อยแปดสิบปีถึงจะฝึกฝนวิชานี้ให้สำเร็จลุล่วงได้ จนร่างกายแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง ยากที่ขอบเขตควบแน่นตันจะทำร้ายได้"

หนึ่งร้อยแปดสิบปีคือขีดจำกัดต่ำสุดในการบรรลุ!?

คนทั่วไปสามารถมีอายุขัยสองร้อยยี่สิบปีเศษในขั้นต้นขอบเขตวารีหยก

นั่นหมายความว่าศิษย์สำนักวัชระ ตราบใดที่พวกเขาสามารถก้าวข้ามไปสู่ขั้นต้นขอบเขตวารีหยก พวกเขาย่อมสามารถฝึกฝน 'วิชาบ่มเพาะกายเนื้อโพธิญาณวัชระ' นี้ให้สมบูรณ์แบบได้

"น่าเสียดายที่ต้นโพธินั้นเหี่ยวเฉาลงในภายหลัง..."

"เมื่อปราศจากผลไม้ของต้นโพธิ์ พวกเขาไม่ว่าจะใช้ยาบำรุงร่างกายมากแค่ไหน มันก็ยากที่จะบรรลุผลลัพธ์เช่นเดิม ศิษย์ในสำนักไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ก็ฝึกฝนได้ภึงแค่ขั้นกลาง หลังจากนั้นสำนักวัชระก็ร่วงลงสู่สำนักระดับสามอย่างรวดเร็ว"

หญิงสาวกะพริบตา พูดต่อว่า "ถือว่าพวกเขายังโชคดี พวกเขาได้รับ 'วิธีบ่มเพาะกายเนื้อขอบเขตควบแน่นตัน'ครึ่งเล่มมาจากไหนไม่รู้ หลังจากฝึกฝนแล้วได้ผลจริง และเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับจ้องจากสำนักอื่น พวกเขาจึงมอบ 'วิชาบ่มเพาะกายเนื้อโพธิญาณวัชระ'  ให้กับแผนกปราบปีศาจเพื่อขอความสบายใจ"

คนที่จู่ๆ มาเสนอตัวช่วยเหลือ แสดงความเอาใจใส่ มักจะมีเจตนาไม่ดี  พวกเขามักคิดจะหลอกลวงหรือไม่ก็ขโมยของ

แต่ในสถานการณ์ของสำนักวัชระ ความต้องการกอบกู้สำนัก และการแสวงหาพรรคพวก มันก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

"ตำราวิชาขั้นสูงขอบเขตวารีหยกเล่มนี้ แม้แต่ท่านแม่ทัพใหญ่ก็เคยอ่านด้วยตัวเอง ท่านทิ้งคำพูดไว้ว่า เว้นแต่ต้นโพธิ์จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง มิฉะนั้นวิชานี้ก็ไร้ค่า ถ้าพวกเจ้ามีเวลาบ่มเพาะกายเนื้อมากขนาดนั้น สู้เอาเวลาไปหาทางทะลวงขอบเขตจะดีกว่า..."

"และนี่คือวิชาขั้นสูงเพียงเล่มเดียวที่เก็บไว้ในโถงกิจการภายนอก ทว่าข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าในคลังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่? แต่การจะเปิดคลัง มันต้องใช้ลายมือชื่อของท่านแม่ทัพใหญ่"

เมื่อฟังคำอธิบายของอีกฝ่าย เขานึกถึงคำเตือนของหงเล่ยก่อนหน้านี้

เสินอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย รอยย่นปรากฏขึ้นระหว่างคิ้ว หลังจากนั้นสักพัก เขาจึงเคาะโต๊ะด้วยนิ้ว จงใจแสดงท่าทีไม่เชื่อ "มีเรื่องแบบนี้ในโลกด้วยเหรอ? วิชาหนึ่งเล่มกลับขาดต้นไม้ล้ำค่าไม่ได้? งั้น... ข้าเอาเล่มนี้แหละ"

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หญิงสาวคนนั้นก็หันหน้ามองไปที่เสี่ยวเว่ยชุดอินทรีทองคำ ตัวนางพูดอย่างชัดเจนแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่เชื่อ ต่อจากนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องของตัวนางแล้ว

เสี่ยวเว่ยทุกคนถอยกลับไปเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ดีถึงความหยิ่งยโสของบุคคลประเภทนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่สามารถโน้มน้าวได้ด้วยคำพูดสองสามคำ

"แล้วยาล้ำค่าทั้งหมด จะให้แลกเปลี่ยนเป็นยาสำหรับการบ่มเพาะกายเนื้อด้วยเลยไหม?"

"ได้" จากนั้นเสินอี้ถอนสายตา สีหน้ายังคงเรียบเฉย

เขาคิดดูแล้ว ในชิงโจวแห่งนี้ ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของขอบเขตควบแน่นตัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้ข้องเกี่ยวกับท่านแม่ทัพใหญ่คนนั้นเสมอ

สิ่งนี้ยังบ่งบอกอีกว่า ตราบใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับขอบเขตควบแน่นตัน พวกมันก็จะมีความสามารถในการก่อคลื่นลมในชิงโจว มันคือสิ่งที่จำเป็นต้องควบคุมอย่างเข้มงวด

วิธีการบ่มเพาะกายเนื้อขั้นสูงที่ไม่ต้องการพรสวรรค์และความเข้าใจ มันคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดที่เขาสามารถหาได้ในตอนนี้

"……"

แม้จะมีเหว่ยตันลอยอยู่ในทะเลปราณ แต่เสินอี้ก็เข้าใจข้อเสียของวิธีการเช่นนี้

แม้จะมีพลังของมังกรเจียวอายุสามพันปี แต่เขาก็ไม่มีวิธีการที่เหมาะสมกับระดับนั้น เขาไม่มีเกล็ดมังกรที่แข็งแกร่ง ถ้าใช้มันกลั่นแกล้งผู้ฝึกตนที่อ่อนแอกว่ามังกรเจียวก็ยังพอไหว

ทว่าหากต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่มีพลังทัดเทียมกัน เสินอี้ย่อมเสียเปรียบทุกประตู พูดได้ว่าทำได้แค่ประคับประคองเวลาต่อสู้กันเท่านั้น ไม่ถึงกับไม่มีโอกาสต่อสู้ได้เลยเหมือนที่ผ่านมา

และเรื่องที่สำคัญที่สุดคือ...

พลังปีศาจในเหว่ยตันนั้นไม่สามารถฟื้นฟูได้ หมายความว่าหากเป็นการต่อสู้ระหว่างความเป็นกับความตาย เขามีเพียงโอกาสเดียว!

หากไม่สามารถหาแก่นแท้ปีศาจในระดับเดียวกันมาเติมเต็ม เหว่ยตันนี้ซึ่งใช้พลังปีศาจจนหมด มันจะกลายเป็นของไร้ค่า

ดังนั้น ถ้ามีโอกาสในการพัฒนาอะไรก็ตาม เขาต้องห้ามพลาด!

“ข้าบันทึกไว้หมดแล้ว ข้าจะเลือกวิชาท่าร่างที่ดีที่สุดให้ท่าน เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้ว ข้าจะจัดส่งให้ท่านโดยเร็วที่สุด หากตำราบ่มเพาะกายเนื้อเล่มนี้ไม่ถูกใจท่านละก็… คิกคิก…  ท่านสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ ถ้าท่านต้องการเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ข้าจะอยู่ที่นี่ทุกวันที่ 7 ถึง 19 ของทุกเดือน และท่านยังสามารถแลกเปลี่ยนสมุนไพรล้ำค่าได้อีกด้วย”

หญิงสาวเผยรอยยิ้มหวาน แต่ทำให้เสี่ยวเว่ยสาวที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว  กลายเป็นว่าเจ้ามาอ่อยใต้เท้าตรงนี้เลยเนี้ยนะ?

“จริงสิ ... หากท่านจะไปที่เมืองหลินเจียง ทางนั้นจะจัดหาขุนพลให้ท่านสามคน เสี่ยวเว่ยหนึ่งร้อยยี่สิบคน แต่หากท่านต้องการพาคนจากที่นี่ไปด้วย  ตราบใดที่ไม่มากเกินไป ประมาณสามถึงห้าคนก็ไม่มีปัญหา”

หญิงสาวกะพริบตาอย่างน่ารัก และกล่าวเสริมว่า “ที่นี่ก็ขาดแคลนคน ถ้าหากต้องไปกับใต้เท้าเสินจำนวนมาก มันก็คงไม่ค่อยดีนัก...”

“แล้วค่อยว่ากันอีกที” เสินอี้หันกลับ ทันใดนั้นก็ถูกสายตาที่ร้อนรนจับจ้อง

เขาเดินไปข้างหน้าเล็กน้อย เสี่ยวเว่ยที่ถือเสื้อคลุมให้เสินอี้จ้องมองพวกนั้นด้วยสายตาเย็นชา ทำให้เสี่ยวเว่ยจากค่ายนอกสงบลงเล็กน้อย

……

ท่ามกลางฝูงชน  ห่างออกไปหลายสิบจั้ง

ร่างใหญ่ที่มีไหล่กว้างยืนนิ่งอยู่ เขาสวมเสื้อกั๊กผ้าหยาบ ใบหน้าอยู่ในวัยสี่สิบถึงห้าสิบปี มีเคราบางๆ แม้แต่ดาบก็ไม่ได้พก ดูเหมือนชาวนาที่ซื่อสัตย์ที่ขุดดินหาเลี้ยงชีพ

บนไหล่ของเขา มีหญิงสาวร่างเล็กที่มีปิ่นปักผมอันน้อยเสียบอยู่สองอัน นางมีผิวขาว  ริมฝีปากสีแดง ฟันขาวสะอาดและดูอ่อนโยน

หญิงสาวสาวชุดเดรสสีเขียวหยก เท้าขาวนวลแกว่งไปมาอย่างสบายอารมณ์

นางจ้องมองชายหนุ่มในชุดสีดำด้วยความสงสัย "เจ้าว่า... เฉินเฉียนคุนคิดจะทำอะไรกันแน่ ที่มอบตำแหน่งขุนพลองครักษ์ให้เขา? แล้วยังแนะนำเขามาให้เราอีก"

ชายวัยกลางคนจ้องมองหญิงสาวตัวเล็กด้วยสายตาสงบนิ่ง "เมื่อคนเราแก่เฒ่าลง ย่อมมีความลังเลใจ ไม่ว่าจะงดงามเพียงใดก็อยากให้มีคนคอยอยู่เคียงข้าง แต่ก็เสียดายเขาไม่อยากเสียของดี แต่ตัดสินใจเองไม่ได้ จึงโยนความยุ่งยากนี้ให้กับอีกฝ่าย เขาขาดความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดเช่นตอนหนุ่ม คงยากแล้วที่เขาจะปกครองอำเภอหลินเจียงได้อีกนาน"

เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวเอื้อมมือไปบิดหูชายวัยกลางคน "ข้าฟังแล้ว รู้สึกเหมือนเจ้าพูดจากระทบข้านะ"

"ข้าไม่ได้พูดถึงเจ้าเลย ไหน่ไน(ท่านย่า)"

ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างขำขัน พูดต่อว่า "อีกอย่าง ยังต้องปกปิดเรื่องสังหารมังกรเจียว ระมัดระวังเผ่าพันธุ์ในแม่น้ำหยางชุนมาแก้แค้น  และต้องแสดงออกเรื่องราวให้ใหญ่โต เพื่อข่มขู่ตระกูลจ้าวให้หวาดกลัว เจ้าคิดดูสิ เรื่องงี่เง่าแบบนี้ ยังจะมีเค้าโครงของเฉินเฉียนคุนคนเก่าอยู่หรือไม่? คนที่เขาเลือกสรรมา เป็นเพียงเด็กทารกหรือยังไง? ถึงได้เปราะบางต่อคลื่นลมถึงเพียงนี้!"

"การให้ทางเลือกอันแสนสบายแก่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง แต่คาดหวังให้เขาปฏิเสธ คิดดูแล้วมันช่างน่าขันเสียจริง"

เมื่อพูดจบ เขาค่อยๆ หันหลังกลับ

"ท่านแม่ทัพใหญ่ไปเข้าเฝ้าทูลขอความช่วยเหลือจากราชสำนักเป็นครั้งที่สามแล้ว ชิงโจวเริ่มมีเค้าลางความวุ่นวาย พวกเรานักล่าปีศาจ จำเป็นต้องเป็นด่านหน้าที่ต้องสละชีวิต ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปช่วยขุนพลอาวุโสเฉินเลี้ยงเด็ก"

"ฮ่าฮ่าฮ่า" หญิงสาวร่างเล็กหัวเราะจนเท้าสั่นระริก "พูดถึงเด็กน้อย ข้ากลับชอบหญิงสาวตระกูลหลินนั่นมากกว่า แค่เพิ่งเริ่มฝึกฝนก็เรียนรู้การตามล่าปีศาจซะแล้ว ผลลัพธ์คือเกือบเอาชีวิตไม่รอดที่เมืองไป๋อวิ๋น เรื่องนี้ช่างน่าหัวเราะจริงๆ... นี่ถ้าเกิดว่าท่านแม่ทัพไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากราชสำนักได้ การฝึกฝนที่วิหารยุทธของแผนกปราบปีศาจครั้งนี้ ข้าต้องหาทางช่วยนางให้ได้ จะได้ชำระล้างกลิ่นน้ำนมให้หมดไป"

"รอจนนางกลับมาและอยู่ขอบเขตควบแน่นตัน จากนั้นนางพบว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไปเป็นองครักษ์ให้คนอื่น นางคงอัดอั้นตันใจน่าดู"

"คนที่นางโอ้อวดในจดหมายผู้นี้ เพิ่งได้ลิ้มรสเนื้อสดและกลืนกินไปแค่สองคำ จู่ๆ ก็ถูกเฒ่าเฉินจูงจมูกไปประจำการที่เมืองหลินเจียง ฮ่าฮ่าฮ่า…" นางเอามือปาดหัวตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาจากเสียงหัวเราะ

ไม่ได้เป็นการเยาะเย้ย แต่เพราะว่าสัตว์ร้ายที่ดุร้ายมากเพียงใด เมื่อเฝ้าบ้านอยู่นานๆ ใช้ชีวิตแบบสุขสบาย เขี้ยวเล็บก็ย่อมเสื่อมความคม

แม่ทัพใหญ่ทุกยุคทุกสมัย ล้วนมาจากการเป็นนักล่าปีศาจ

พวกเขาคือหมาป่า คือผู้กล้าที่ก้าวออกจากสิบสองเมืองของชิงโจว บุกเข้าไปในดินแดนราชาปีศาจ ต่อสู้กับอันตรายรอบด้าน เลียเลือดจากคมดาบท่ามกลางอันตราย!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด