ตอนที่แล้วบทที่ 83 การทดสอบแห่งความมั่นคงจบลง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 85 ทุกสิ่งล้วนเป็นดั่งแมลงไร

บทที่ 84 นักพรตผู้ปรุงแมลงปีศาจ


ซากสำนักอวิ๋นสุ่ยเทียนกังกว้างใหญ่ไพศาล

แม้แต่ในชาติก่อน เหล่าผู้ฝึกเซียนแห่งทะเลชงอวิ่นก็ยังค้นหาลับลึกอยู่นานนับสิบปี แต่ก็ไม่อาจเข้าใจความลับทั้งมวลได้ถ่องแท้

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในปัจจุบัน ซากสำนักอวิ๋นสุ่ยแต่ละแห่งล้วนถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ

พวกผู้ฝึกเซียนที่ฟื้นขึ้นมาจากศิลารูปฉินถัง ต่างก็แบ่งแยกกันเป็นค่ายเป็นพวกในเวลาอันสั้น

บางพวกเห็นว่าด้านในซากสำนักอวิ๋นสุ่ยนั้นอันตรายถึงชีวิต แค่รอดมาได้จากเงื้อมมือฉินถังก็นับว่าโชคดีอย่างยิ่งแล้วหากยังคงดำดิ่งลึกลงไปอีก คงไม่พ้นจากความตาย

และพวกเขาถือว่าได้จดจำคัมภีร์วิชายุทธ์กลับมาแล้วบางส่วน ครั้งนี้ขอเพียงหนีรอดกลับไปได้ ก็ถือว่าได้กำไรมหาศาล ดังนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจถอยออกจากสำนักอวิ๋นสุ่ยโดยทันที

คนที่เลือกจากไปนั้นเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือก็คิดว่าเพียงแค่รูปสลักหินด้านหน้าประตูก็มีโอกาสพิเศษเพียงนี้แล้ว

แล้วข้างในห้องปรุงยาโบราณ ห้องสืบทอดธรรมะ คลังสมบัติของสำนัก ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นสถานที่จำเป็นของสำนักดั้งเดิมนั้น จะต้องมีสิ่งวิเศษล้ำค่าซ่อนอยู่สักเพียงใด?

เมื่อความโลภครอบงำจิตใจแล้ว ย่อมขยายตัวอย่างรวดเร็วในหัวใจ ไม่อาจห้ามปรามได้

ดังนั้น ผู้คนพวกนี้จึงราวกับถูกมนตร์สะกด พากันทยอยเข้าหายไปในหมอกหนา

เมื่อหลี่ฟานไล่ตามมาทีหลัง จึงพบว่าไม่มีร่องรอยของเหล่าผู้ฝึกเซียนเหลืออยู่อีกแล้ว โชคดีที่มีวิถีปราณสังหารไร้รูปลักษณ์คอยกำหนดตำแหน่งของซือคงอี้กับไป๋ลี่เฉินเอาไว้ตั้งแต่ต้น ไม่เช่นนั้นคงจะทำให้พลาดหลงทางไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม แปลกใจที่ซือคงอี้และไป๋ลี่เฉินดูจะคุ้นเคยกับรูปแบบของสำนักอวิ๋นสุ่ยเป็นอย่างดี

หลายครั้งที่พวกเขาพบทางตันท่ามกลางหมอกหนา แต่กลับหาทางออกจากช่องว่างในหมอกได้ พุ่งเข้าไปได้อย่างถูกต้อง เสมือนมีเป้าหมายชัดเจน ไม่หยุดอ้อมผ่านซากตึกที่ถูกปกคลุมด้วยควันขาว มุ่งสู่ใจกลางเรื่อยไป

นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ซือคงอี้ได้คัมภีร์อวิ๋นสุ่ยตู่ลู่ในชาติก่อนงั้นหรือ?

ส่วนข้านั้น ก็เพราะประสบการณ์ความทรงจำในชาติก่อน จึงรู้ความลับต่างๆของสำนักอวิ๋นสุ่ยได้

แต่ซือคงอี้เล่า เขารู้ได้อย่างไรกัน?

ความสนใจใคร่รู้ในใจหลี่ฟานพุ่งพรวดขึ้นมาทันใด

พร้อมกับความระแวดระวังตัวที่เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน สองคนนี้มีความลับซ่อนเร้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว!

เงาร่างและปราณในกายถูกปิดบังจนแนบสนิท หลี่ฟานร่นระยะห่างกับพวกเขาให้พอประมาณ

ทันใดนั้น ทั้งสองก็หยุดชะงักกึก

ชั่วพริบตาเดียว ซือคงอี้กับไป๋ลี่เฉินก็แยกจากกัน พุ่งทะยานไปคนละทิศละทาง

"นี่เป็นกลยุทธ์แยกศัตรูหรือ? แสดงว่าพวกเขาจับได้แล้วสินะ?" หลี่ฟานหรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจไล่ตามทางที่ซือคงอี้หายไป

ดำดิ่งลึกเข้าไปในหมอก ไปจนถึงตึกสูงทรงหอคอยด้านหน้า

ซือคงอี้หยุดลงตรงฐานหอ แล้วหันมามองหลี่ฟานที่ซ่อนเร้นอยู่ ส่งยิ้มท้าทายมาให้

จากนั้นจึงหายวับเข้าไปในหอคอย

"น่าสนใจ ดูเหมือนเขากำลังหวังพึ่งพิงกับดักในสำนักอวิ๋นสุ่ยเพื่อสังหารข้างั้นสินะ?" เมื่อเห็นหอคอยลางร้ายที่ซ่อนอยู่ในหมอกขาวตรงหน้า ความทรงจำในชาติก่อนก็ผุดขึ้นมาในสมองของหลี่ฟาน

หอปรุงแมลงปีศาจ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายที่สุดในสำนักอวิ๋นสุ่ย

ตลอดสิบปีแรกที่สำนักอวิ๋นสุ่ยเปิดทำการ ยังไม่เคยมีผู้ฝึกเซียนคนใดรอดออกมาจากหอปรุงแมลงปีศาจได้เลย

จึงเคยถูกเหล่าผู้ฝึกเซียนแห่งทะเลชงอวิ่นมองว่าเป็นที่ต้องห้าม ห้ามเข้าสำรวจโดยเด็ดขาด

ในชาติที่แล้ว จนกระทั่งในปีที่ 21 ของการตรึงสมอ ก็เพิ่งจะมีปรมาจารย์สำนักยาวิเศษหน้าใหม่กล้าเสี่ยงชีวิตบุกเข้าไป กว่าจะไขคำตอบในเชิงกลกฎเกณฑ์ลึกลับภายในหอนี้ได้ ก็เกือบจะทิ้งชีวิตไปแล้ว

"หากเจ้าคิดอย่างนั้น ก็คงจะต้องทำให้เจ้าผิดหวังแล้วละ" หลี่ฟานยิ้มเยาะในใจ พลางเดินตามเข้าไปโดยไม่เกรงกลัว

ทันทีที่ก้าวเข้าไป ก็ได้กลิ่นอับเน่าโชยมาปะทะ ลมหนาวโบกพัดกระหน่ำ

ชั้นล่างของหอคอยเป็นคุกขังขนาดเล็ก

แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเกินไป ภายในกรงขังจึงเหลือเพียงกองกระดูกปีศาจรูปร่างประหลาด

หลี่ฟานเดินต่อขึ้นไป ชั้นสองของหอคอยก็เป็นเช่นกัน

จนขึ้นไปถึงที่สูงสุด

จากระยะไกลก็ได้ยินเสียงพึมพำดังแว่วๆมา

"พี่ชายพี่สาวต่างกำลังสู้รบกันด้านหน้า มีเพียงข้าที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย"

"ต้องปรุงโอสถให้มากๆ ถึงจะเพิ่มพลังของพวกเขาได้บ้าง"

"โอสถทุกเม็ดที่ข้าปรุง จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของศิษย์พี่ได้มากขึ้น"

"แต่สัตว์วิเศษในหอนี้ตายเกลี้ยงหมดแล้ว ไม่มีวัตถุดิบปรุงยาเหลือแล้ว จะทำยังไงดี?"

ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีน้ำเงินกว้างที่มีผมยุ่งเหยิงกำลังครุ่นคิดด้วยความหงอยเหงา  ดูกลัดกลุ้มใจ

และอีกด้านหนึ่งของเขา ก็มีเงาร่างสามร่างกำลังถูกเชือกมนตรามัดไว้ในอากาศ

ร่างหนึ่งในนั้นก็คือซือคงอี้

อีกสองร่างเป็นผู้ฝึกเซียนที่เข้ามาในสำนักอวิ๋นสุ่ยพร้อมกันครั้งนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมจึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่

สองคนนี้ใบหน้าซีดเผือก ริมฝีปากสั่นเทา ไม่แน่ใจว่ากำลังพูดอะไร

หลี่ฟานยังไม่ทันได้ขยับตัว ก็รู้สึกถึงเชือกมนตรามัดรัดที่แขนและขา จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้

ถัดมาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกดึงขึ้นไปกลางอากาศแล้ว เหมือนกับอีกสามคนที่ถูกจับไว้

เรื่องนี้หลี่ฟานพอเดาไว้ก่อนแล้ว จึงไม่ได้ตื่นตระหนก

แต่ครั้งนี้เขาจึงได้ยินชัดถึงบทสนทนาที่สองคนนั้นกำลังพูดกับตัวเอง

"เกิดอะไรขึ้น ข้าจำได้ว่าตัดสินใจจากที่นี่ไปแล้วนี่นา แต่พริบตาเดียวก็ถูกมัดอยู่ที่นี่ซะแล้ว..."

"หมดหวังแล้ว หมดหวังแล้ว เพิ่งจะออกจากสำนักอวิ๋นสุ่ยมาหยกๆ แท้ไหนได้ ก็ยังถูกลากตัวกลับมา..."

...

"โอ้ ถึงเวลาปรุงยาแล้ว!" จู่ๆ ชายในชุดคลุมสีน้ำเงินก็ลุกขึ้นจากภวังค์

"ปรุงยา ปรุงยา..." เขาล้วงมือเข้าไปในชุดคลุมกว้างของตัวเอง คลำหาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหยิบยาสีดำสองเม็ดออกมา

"ยาก็ปรุงเสร็จแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าสรรพคุณครั้งนี้จะเป็นเช่นไร" ชายคนนั้นเกาหัวแกรกๆ ดูกลุ้มใจ

หลังจากนั้น เขาก็ตบขาตัวเองฉาด "นั่นสิ ครั้งนี้เพิ่งจับหนอนไม่กี่ตัวมาพอดี จะได้เอามาทดสอบยาเลย!"

พูดจบ เขาก็หันมามองหลี่ฟานและอีกสามคนที่ถูกมัดอยู่กลางอากาศ สายตาสอดส่ายอยู่นาน "จะเลือกหนอนตัวไหนดีนะ?"

ถูกชายคนนั้นจ้องมองราวกับถูกกำหนดเป้า บรรดาเหยื่อทั้งหลายต่างก็รู้สึกหนาวยะเยือกไปทั่วทั้งตัว

พวกเขาไม่กล้าขยับเขยื้อน กลั้นหายใจนิ่งเงียบกันหมด

"ตัวนี้แหละ" ชายในชุดคลุมมองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่คนหนึ่ง แล้วยื่นมือออกไปคว้าทันที

เห็นท่าไม่ดี คนผู้นั้นก็ขืนตัวดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง

แต่ความพยายามนั้นเห็นได้ชัดว่าไร้ประโยชน์ เสียงกรีดร้องไม่ยอมหลุดออกมา

ร่างกายลอยเข้าหาชายในชุดคลุมอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นก็เริ่มเล็กลงเรื่อยๆ

ในที่สุด ก็กลายเป็นแมลงวันตัวจิ๋วในกำมือของพรตในชุดคลุม

หัวของแมลงวันยังคงเห็นเป็นใบหน้ามนุษย์ได้อย่างรางๆ สีหน้าของมันแสดงความหวาดกลัวอย่างที่สุด

ถูกชายในชุดคลุมคีบเอาไว้อย่างหลวมๆ แมลงวันหน้าคนพยายามกระพือปีกด้วยเสียงหึ่งๆ

แต่ทุกอย่างไร้ประโยชน์ เมื่อพรตในชุดคลุมใช้มือข้างหนึ่งกุมแมลงวันไว้ อีกมือก็ถือโอสถสีดำอยู่

ยาเม็ดนั้นใหญ่กว่าแมลงวันหลายเท่า ทว่ากลับถูกยัดใส่เข้าไปทั้งเม็ด

แมลงวันหน้าคนดิ้นทุรนทุรายเป็นทุกข์ บังคับกลืนยาเข้าท้องอย่างทรมาน

ท้องของมันป่องโตหลายเท่า กลายเป็นลูกบอลกลมใหญ่

พลังชีวิตของแมลงวันค่อยๆเสื่อมถอย แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความทุกข์ทรมาน

หลังกลืนโอสถเข้าไป เหมือนว่ามันกำลังถูกย่อยสลาย ขนาดเริ่มเล็กลง

แต่แล้วก็มีเสียงหึ่งๆราวกับฝูงยุงดังขึ้นอย่างกะทันหัน

ร่างของแมลงวันหน้าคนเกร็งกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้

จุดสีดำเล็กๆมากมายเจาะออกมาจากท้องของมันอย่างต่อเนื่อง

เมื่อมองให้ดี จุดสีดำพวกนั้นก็คือแมลงวันตัวน้อยที่เพิ่งเกิดใหม่

หลังจากแมลงวันน้อยเจาะออกมาจากร่าง พวกมันไม่ได้บินไปที่อื่น แต่กลับหยุดอยู่บนร่างแมลงวันหน้าคน กัดกินอย่างบ้าคลั่ง

ในไม่ช้า แมลงวันหน้าคนก็ถูกกัดกินจนไม่เหลือซาก

ชายในชุดคลุมส่ายหัวเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง

"เหมือนการทดลองยาจะล้มเหลวนะ ฤทธิ์คงแรงไปหน่อย"

พูดพลาง เขาก็อ้าปากกว้าง ดูดกลืนกลุ่มหมอกดำของแมลงวันเข้าไปในท้อง

แม้ได้ยินมาก่อนแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในหอปรุงแมลงปีศาจ และเตรียมใจไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ในตอนนี้ หลี่ฟานก็ยังอดขนลุกซู่ไม่ได้

ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นช่างสยดสยองเกินไป

พรตในชุดคลุมกวาดตามองโอสถอีกเม็ดที่เหลือในมือ ดูเหมือนจะลังเลใจ

"อีกหนึ่งเม็ดนี้จะลองดูอีกสักครั้งดีไหมนะ?"

เขาชำเลืองมองไปยังหลี่ฟานและอีกสองคน

ทั้งสามต่างกลั้นหายใจ สะกดกลั้นความรู้สึกไว้ภายใน

สักพักใหญ่ พรตในชุดคลุมก็ถอนหายใจยาว "ช่างเถอะ ที่ปรุงมาพร้อมกันแบบนี้ ผลคงออกมาไม่ต่างกันมากหรอก"

พูดจบ เขาก็คว้าโอสถสีดำอีกเม็ดขว้างเข้าปาก

กลืนยาเข้าไปแล้ว ชายในชุดคลุมกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

แต่เขากลับกลายเป็นคนเหม่อลอยอีกครั้ง

กลับไปยืนพึมพำงุมง่ามเรื่องขาดแคลนวัตถุดิบเช่นเดิม โดยไม่สนใจหลี่ฟานและอีกสองคนที่ถูกพันธนาการอยู่กลางอากาศแม้แต่น้อย

ในบรรดาสามคนที่รอดชีวิต หลี่ฟานเงียบขรึม

ซือคงอี้ก็ไร้อารมณ์

ส่วนอีกคนที่เหลือ ดูท่าจะสิ้นหวังโดยสิ้นเชิงแล้ว

"รู้อย่างนี้ตายในมือของฉินถังให้รู้แล้วรู้รอดยังจะดีกว่า อย่างน้อยก็ยังตายได้อย่างไม่ทรมาน"

...

เวลาในหอปรุงแมลงปีศาจราวกับหยุดนิ่ง

ชีวิตความตายของทุกคนขึ้นอยู่กับการกระทำของชายในชุดคลุมผู้นั้น

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาก็ฟื้นจากอาการเหม่อลอยอีกครั้ง

เช่นเดิม เขาล้วงหยิบโอสถสองเม็ดออกมาจากเสื้อคลุมตัวโต เพียงแต่คราวนี้เป็นสีเขียวประหลาด

"จะเลือกหนอนตัวไหนมาทดลองยาดีนะ?"

คราวนี้เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สายตากลับจับจ้องมาที่ซือคงอี้

"เอาตัวนี้แหละ!"

หลี่ฟานเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เขาอยากรู้นักว่าซือคงอี้มีไม้ตายอะไรกันแน่ ถึงกล้าล่อเขาเข้ามาในดงมรณะนี้

สิ่งที่ทำให้หลี่ฟานรู้สึกประหลาดใจคือ ซือคงอี้กลับไม่ได้ขัดขืนใดๆเลย

หลังจากกลายเป็นแมลงและถูกบังคับให้กลืนโอสถสีเขียว เขาก็ละลายกลายเป็นแอ่งน้ำสีเขียวในทันที

ซือคงอี้...ตายแล้ว!

"เกิดอะไรขึ้น? พลิกผันไปตรงไหนหรือเปล่า? หรือว่าในชาติที่แล้ว เพราะการติดตามของข้า ทำให้ทิศทางของเรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือ?"

"ไม่น่าใช่ ซือคงอี้เขาก็ล่อข้าเข้ามาในหอปรุงแมลงปีศาจเอง แล้วจะตายได้ง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง?"

"เขารู้อยู่แล้วว่าที่นี่เป็นดงมรณะ แต่พาข้าเข้ามา เพียงเพื่อแลกชีวิตกับข้างั้นหรือ?"

...

ขณะที่หลี่ฟานกำลังจมอยู่ในความสงสัย เขาก็สัมผัสถึงบางอย่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงเงยหน้าขึ้นมองไปด้านนอก

อยู่นอกตึกปรุงแมลงปีศาจ ไป๋ลี่เฉินซึ่งถูกวิถีปราณสังหารไร้รูปลักษณ์ติดตามไว้ กำลังค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้

และข้างกายของเขา หลี่ฟานรับรู้ได้ว่าวิถีปราณสังหารไร้รูปลักษณ์ ซึ่งเดิมทีหมดเป้าหมายจับติดตามไปแล้ว กลับไปพบซือคงอี้อีกครั้ง

แม้จะตายจากไปต่อหน้าต่อตาแล้ว แต่ซือคงอี้ก็ยังปรากฏกายอยู่นอกหอปรุงแมลงปีศาจอีกครา

"หุ่นเชิด? ร่างแยกวิญญาณ? ดูเหมือนจะไม่ใช่ทั้งคู่..."

หลี่ฟานจ้องมองแอ่งน้ำสีเขียวบนพื้น แล้วหลุดหัวเราะออกมา

"ดูเหมือนความลับของทั้งสองจะใหญ่โตกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากโขเลยนะ"

"แต่ตั้งแต่ถูกข้าจับตามองแล้ว จะเก็บเอาไว้เป็นความลับคงไม่ได้อีกต่อไป"

ในการรับรู้ของหลี่ฟาน ซือคงอี้และไป๋ลี่เฉินยังคงดำดิ่งลึกเข้าไปในสำนักอวิ๋นสุ่ยต่อไป

"ในเมื่อมีวิถีปราณสังหารไร้รูปลักษณ์คอยจับตา ก็ไม่ต้องกลัวว่าพวกมันจะหนีรอดไปได้ แต่ต้องรีบหาทางออกจากหอปรุงแมลงปีศาจนี่ให้เร็วที่สุด"

แต่การกระทำของชายในชุดคลุมสีฟ้าก็มีกฎเกณฑ์ของมันเอง หลี่ฟานไม่อาจควบคุมได้ จึงได้แต่รอคอยอย่างอดทน

อีกไม่นาน การทดลองยารอบที่สามก็มาถึง

ครั้งนี้ก็ยังไม่เลือกหลี่ฟานเช่นเดิม ทำเอาเขารู้สึกขำจนแทบน้ำตาไหล ไม่รู้ว่าตัวเองนี่โชคดีหรือซวยกันแน่

พรตในชุดคลุมหยิบโอสถสีชมพูออกมาสองเม็ด ป้อนให้แมลงหน้าคน

แมลงระเบิดออกด้วยเสียงดังสนั่น กลายเป็นกลุ่มควันสีชมพู

ในควันมีใบหน้ามนุษย์ที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดลอยขึ้นมาเป็นระยะ

เมื่อกลุ่มควันสีชมพูลอยคว้าง ใบหน้าเหล่านั้นก็ถูกบิดเบือนให้ผิดรูปไปจากเดิม แสดงความน่ากลัวยิ่งขึ้น

หลี่ฟานได้แต่ยืนดูอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นภาพเช่นนั้นก็ขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว

ในที่สุด พรตในชุดคลุมสูดดูดหมอกควันเข้าร่างในขณะที่พึมพำอยู่นั่นเอง ความทุกข์ทรมานอันยืดเยื้อจึงยุติลงได้

พรตในชุดคลุมหลุดเข้าสู่ภวังค์พึมพำอีกครั้ง

การทดลองยารอบที่สี่ในที่สุดก็มาถึง

ตอนนี้ หลี่ฟานเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในหอปรุงแมลงปีศาจ

พรตในชุดคลุมกำลังจะใช้หลี่ฟานในการทดสอบยา แต่หลี่ฟานกลับเปิดปากขึ้นอย่างกะทันหัน

"ศิษย์น้องฉง ได้ยินว่าเจ้าปรุงยาไม่มีวัตถุดิบแล้วใช่ไหม?"

ศิษย์น้องฉงชะงักมือที่กำลังจะคว้าตัวร่างหลี่ฟาน ผงกหัวลงอย่างอัตโนมัติ "ใช่ วัตถุดิบปรุงยาของข้าหมดแล้ว"

เขาพูดอย่างสำนึกผิด "นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ปรุงโอสถใหม่ๆ..."

ศิษย์น้องฉงพูดสะดุด เขามองไปที่หลี่ฟานครู่หนึ่ง เมื่อเห็นชัดถึงเครื่องแต่งกายของอีกฝ่าย สีหน้าก็ฉายแววตื่นตระหนกขึ้นมาบ้าง

"ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่นี่เอง ข้านึกว่าเป็นตัวหนอนเสียอีก!"

"ศิษย์พี่ เสียใจจริงๆนะ! ข้าจะปล่อยท่านลงมาเดี๋ยวนี้แหละ"

พอศิษย์น้องฉงพูดจบ หลี่ฟานก็รู้สึกว่าพันธนาการที่ร่างคลายตัวลงไป เขากลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง

ศิษย์น้องฉงก้มหน้างุด หลบตาไม่กล้าเผชิญหน้ากับศิษย์พี่ตรงหน้า

รำพึงด้วยเสียงเศร้าโศก "ข้าก็ทำพลาดเรื่องนี้ไปซะแล้ว มันเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ทั้งปรุงโอสถยังไม่เป็น ทั้งความคืบหน้าในการฝึกเซียนก็ช้า แถมยังกลายเป็นตัวถ่วงของทุกคน..."

หลี่ฟานเดินเข้าไปใกล้ วางมือบนบ่าของศิษย์น้องฉงเบาๆ พูดปลอบอย่างอ่อนโยนว่า

"อย่าพูดอย่างนั้นเลย ศิษย์น้องฉง โอสถที่เจ้าปรุงนั้นผลดีมาก ทุกคนชอบกินกันทั้งนั้น"

เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์น้องฉงก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ในดวงตาเต็มไปด้วยความดีใจ

"จริงหรือ ศิษย์พี่ ทุกคนชอบกินโอสถที่ข้าปรุงจริงๆใช่ไหม?"

"หรือเจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้า?" หลี่ฟานทำสีหน้านิ่วหน้าขรึม

ศิษย์น้องฉงรีบส่ายหน้า "คำพูดของศิษย์พี่ ข้าย่อมต้องเชื่อสิ"

จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงอย่างหดหู่ "แต่ข้าไม่มีวัตถุดิบปรุงยาแล้ว คงไม่สามารถปรุงโอสถที่ทุกคนชอบได้อีกต่อไป"

หลี่ฟานลูบหัวศิษย์น้องฉงเบาๆ พูดเสียงเบาราวกระซิบว่า "ไม่เป็นไร ยังไงข้าก็ยังอยู่ที่นี่"

"จงปรุงข้าให้เป็นโอสถเถอะ แบบนั้นทุกคนก็จะได้โอสถไว้กินต่อแล้ว"

"ศิษย์พี่ ท่าน..." ศิษย์น้องฉงเหมือนจะตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ลืมตาโตมองหลี่ฟานอย่างไม่วางตา

หลี่ฟานเพียงแค่ถอนหายใจ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงสะเทือนอารมณ์

"ถึงแม้ข้าจะเข้าสำนักก่อน แต่พรสวรรค์กลับด้อยกว่าใคร พลังฝึกเซียนต่ำจนน่าอับอาย ขณะที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่ในแนวหน้า มีเพียงข้าเท่านั้นที่ช่วยอะไรไม่ได้"

"ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ หัวใจข้าก็เจ็บปวดรวดร้าว เกลียดชังความอ่อนแอไร้ประโยชน์ของตัวเอง"

"ฉะนั้น จงปรุงข้าให้เป็นโอสถแล้วกัน อย่างน้อยก็ยังพอมีค่าต่อส่วนรวมบ้าง"

หลี่ฟานคว้ามือของศิษย์น้องฉงไว้ ประกายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดุจเดือด

ศิษย์น้องฉงเหม่อมองหลี่ฟานอยู่นาน เหมือนถูกสะกิดใจอย่างจัง

"ที่แท้ศิษย์พี่ก็เป็นเหมือนข้า"

"ทว่าศิษย์พี่ยังยิ่งใหญ่กว่าข้ามากนัก ยอมสละตนเองเพื่อช่วยเหลือศิษย์พี่ศิษย์น้อง"

"แต่ข้า ข้ากลับหลบหนีมาซ่อนอยู่แต่ในตึกนี้..."

ศิษย์น้องฉงกุมศีรษะตัวเองด้วยความทุกข์ระทม

"ไม่ได้! ข้าไม่อาจยืนดูให้ศิษย์พี่เสียสละโดยไม่ยอมทำอะไรเลย"

เขาเหมือนนึกบางอย่างออก เงยหน้าขึ้นพูดกับหลี่ฟานอย่างตื่นเต้น

"ศิษย์พี่! ข้าสามารถปรุงโอสถให้ท่านได้ ท่านแค่กินยาที่ข้าปรุง แล้วพลังของท่านจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ท่านก็จะได้ไปช่วยต่อสู้ในด่านหน้าได้!"

ศิษย์น้องฉงเหมือนค้นพบเป้าหมายในการดำรงชีพ ตะโกนเสียงดังว่า "ปรุงยา! ข้าจะต้องปรุงโอสถ!"

เขาล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมตัวโคร่งของตน คลำหากันไปมาชั่วครู่

แล้วก็หยิบโอสถสีทองสองเม็ดออกมา

"ศิษย์พี่! นี่คือโอสถของท่าน"

ศิษย์น้องฉงยื่นยามาให้หลี่ฟานพร้อมรอยยิ้มกว้าง สองมือประคองถวายราวกับสมบัติล้ำค่า

หลี่ฟานไม่ได้รับโอสถ แต่กลับคว้าเปิดเสื้อคลุมของศิษย์น้องฉงเสียเอง

ภายใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่โต มีเพียงโครงกระดูกเปล่าเปลือยเท่านั้น

บนกระดูกนั้น เหลือเนื้อเยื่อติดค้างอยู่เพียงเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น

ศิษย์น้องฉงกำลังใช้เลือดเนื้อของตัวเอง ปรุงโอสถอยู่นั่นเอง!

5 2 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด