บทที่ 83 การทดสอบแห่งความมั่นคงจบลง
"ทะเลในใจยากจะข้ามฝ่า..."
เหล่าผู้ฝึกเซียนที่ได้ยินคำพูดของฉินถัง บ้างก็ท่าทางเลื่อนลอย ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง
บ้างก็ไม่สนใจใยดี ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
แล้วเช่นนี้ วันที่สองก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้าตรู่วันที่สาม ฉินถังโผล่ให้เห็นตามเคยต่อหน้าทุกคน
เพียงแต่คราวนี้เขากลับไม่ได้ดื่มสุรา ไม่ได้เมามายเหมือนเคย ดูมีเชี่ยวชาญขึ้นมาก
"วันนี้ ก็ถึงการทดสอบครั้งสุดท้ายแล้ว" ฉินถังมองสำรวจผู้ฝึกเซียนทั้งหลาย ใบหน้าจริงจัง
"ระหว่างทางเดินบนวิถีฝึกเซียน เจ้าต้องพบเจอความยากลำบากและการล่อลวงไม่รู้จบ เจ้าจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงใจเดิมได้หรือไม่?"
"ข้าจะคอยดูให้เห็นกับตา"
พร้อมกับเสียงของฉินถัง ทุกคนรู้สึกตาพร่ามัว สลบไสลไปในทันที
...
ที่หมู่บ้านเล็กๆริมภูเขา หลี่ฟานนอนอยู่บนหลังคา มองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆตกลับขอบฟ้า รู้สึกเหมือนตนเองลืมอะไรบางอย่างไป
เติบโตมาในหมู่บ้านท่ามกลางขุนเขา ใช้ชีวิตแต่ละวันด้วยการตื่นแต่เช้า พักผ่อนยามพลบค่ำ
อย่างนี้มานานถึงสิบห้าปีแล้ว
ชีวิตเช่นนี้ธรรมดาสามัญ แต่เต็มไปด้วยความสุข
หากจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป ก็เหมือนจะไม่มีข้อเสียอะไร
แต่เขามีความรู้สึกหวั่นไหวอยู่ในใจเสมอ คิดว่าตนเองไม่ควรจบชีวิตอย่างไร้ความหมายเช่นนี้เด็ดขาด
"หลี่ฟาน หลี่ฟาน ลูกอยู่ไหนน่ะ กลับมากินข้าวได้แล้ว!"
เสียงเรียกของแม่ไม่อาจทำให้หลี่ฟานขยับเขยื้อน
เขาเงยหน้ามองฟ้า มองนกที่บินไปมาอย่างอิสระ มองดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ที่ดำรงอยู่มาช้านาน ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร
ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งค่ำคืนมาเยือน ดวงดาวเต็มฟ้า
ท่ามกลางห้วงดาวกว้างใหญ่ เขายิ่งรู้สึกถึงความเล็กน้อยของตนเอง
เขาจ้องมองอย่างนั้น จนดึกดื่น
ในที่สุดเมื่อรุ่งอรุณใกล้มาถึง เขาก็ตระหนักรู้ขึ้นมาได้โดยฉับพลัน
พลิกตัวลงจากหลังคาในคราวเดียว
เขาวิ่งเข้าไปในบ้าน พูดกับแม่ที่หลับสนิทอยู่ด้วยเสียงอันดัง "แม่ ยกเลิกการแต่งงานกับบ้านสาวหนึ่งทีเถอะ"
"ฉันจะไม่แต่งงานแล้ว ฉันจะไปเป็นเซียน!"
แม่ของเขาที่กำลังหลับใหลสะดุ้งตื่นขึ้นมา คิดว่าลูกเป็นบ้าไปแล้ว รีบลุกขึ้นมาคว้ามือหลี่ฟานพลางพูดว่า "จะไปเป็นเซียนอะไรกัน! มีเซียนที่ไหนกัน! ลูกตื่นเถอะ!"
หลี่ฟานสลัดมือแม่ออก ใบหน้าเยาว์วัยกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น "ฉันไม่รู้หรอกว่าเซียนอยู่ที่ไหน แต่ฉันจะต้องหาให้เจอแน่"
พูดจบ เขาก็เก็บข้าวของอย่างง่ายๆท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของแม่ ออกจากประตูบ้านไปอย่างไม่ลังเล
ครึ่งปีต่อมา หลี่ฟานเผชิญชะตากรรมสิ้นชีพในปากเสือ ระหว่างการสำรวจในป่าลึก
...
หน้าศาลเก่าปรักหักพัง แสงจากกองไฟที่กระพริบไหวสลับกับเสียงร่ำไห้ของคนทั้งหลาย หลี่ฟานอกเต็มไปด้วยความมึนงงงวยงง
"ศิษย์พี่ใหญ่ พ่อครูตายไปแล้ว ต่อไปนี้ศาลฉูอวิ๋นของเราจะทำอย่างไรดี?" มีเสียงหนึ่งถามขึ้นข้างๆอย่างหวาดกลัว
หลี่ฟานกำลังจะตอบ กลับได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวดังขึ้นรอบด้าน
"จะทำยังไงได้อีก แน่นอนว่าต้องแบ่งของในศาลกันแล้วก็กลับลงเขาไปสิ!" (ศาล = ศาลเจ้า)
"แต่ก่อนนึกว่าบนเขานี้มีเทพเซียนแท้ๆ ทุกคนถึงได้พากันลำบากปีนป่ายขึ้นมาหา ที่ไหนได้ กลายเป็นเฒ่าเต๋านี่เป็นตัวต้มตุ๋นชัดๆ!"
"ใช่แล้ว เทพเซียนแท้ๆจะป่วยตายกะทันหันได้ยังไง?"
ทุกคนยิ่งพูดยิ่งเจือปนอารมณ์ หลี่ฟานก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ได้แต่มองคนทั้งหลายแย่งชิงข้าวของในศาลฉูอวิ๋นไปจนหมดสิ้น
ในอึดใจนั้น บนเขามีเพียงหลี่ฟานเหลืออยู่เพียงลำพัง
เขารวบรวมกระดูกพ่อครูไปฝังอย่างเหมาะสม พลางนึกถึงสายตาที่พ่อครูมองเขาก่อนตายไป
ความไม่ยินยอมพร้อมใจ ความเสียดาย อาลัยอาวรณ์ และความหวัง...
พ่อครูเป็นคนหลอกลวงหรือ?
《คัมภีร์เฉอวิ๋นเติ้งเทียน》ที่พ่อครูถ่ายทอดให้ก็เป็นการแต่งขึ้นเองหรือ?
หลี่ฟานรู้สึกว่า คงไม่เหมือนที่ทุกคนคิดกันหรอก
เซียน อาจมีอยู่จริงๆ
สุดท้าย หลี่ฟานก็ไม่ได้กลับลงจากเขา
เขาอยู่ในศาลเพียงลำพังครึ่งค่อนชีวิต มองเมฆลอยผ่านมาแล้วจากไป เห็นวันคืนผ่านเลยไป
เฝ้าใคร่ครวญ《คัมภีร์เฉอวิ๋นเติ้งเทียน》ทั้งวัน
เมื่อกาลเวลาแตะขอบเลขห้าสิบ แต่กลับไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย
ต้องตายไปพร้อมกับความเสียดายจนวันสุดท้าย
...
ในราชวัง
หลี่ฟานมองแผ่นไม้ชื่อในจานทองตรงหน้า ความหงุดหงิดฉายออกมาในแววตา
"เอาไปเถอะ ข้ายังคงต้องฝึกเซียนต่อคืนนี้"
"ฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่ได้เสพสุขกับนางกำนัลและพระสนมมาสามเดือนแล้ว..."
"อืม?" แววเย็นชาวาบผ่านออกมาจากนัยน์ตาของหลี่ฟาน
"...ข้าน้อยขอรับพระบัญชา"
เห็นผู้จัดการขันทียอมถอยออกไปอย่างหวาดกลัว หลี่ฟานก็ส่งเสียงเย็นชา
"เป็นจักรพรรดินี่ก็ช่างน่าเบื่อเสียจริง" ความคิดนี้แล่นผ่านมาในสมองของเขา
ริบทรัพยากรของทั้งแผ่นดินมาเพื่อเจ้า
ภายนอกเจ้าดูเหมือนยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่จริงๆแล้วเจ้าได้ก้าวข้ามประตูขั้นหล่อหลอมแก่นทองคำเข้าไปแล้ว
กิจการทางโลกเหล่านี้ ช่างไร้ความหมายยิ่งนัก!
ด้วยความคิดนี้ สามเดือนต่อมา หลี่ฟานจึงทะลุฟ้าจากไปต่อหน้าขุนนางทั้งปวงในเวลาเข้าเฝ้ายามเช้า
หลังจากนั้น 216 ปีผ่านไป หลี่ฟานโดนลอบทำร้ายเข้าในระหว่างสำรวจถ้ำลับยุคโบราณ
วิญญาณสลายกายสิ้น
...
ที่ยอดหลิงอวิ๋น
"ทำไมเมฆประหลาดล่ะนี่ ก่อตัวได้นานขนาดนี้ยังไม่ยอมจางหายไปเสียที"
"พลังของฟ้าประหลาดครั้งนี้ เทียบกับตอนอาจารย์เหาะขึ้นสวรรค์เมื่อปีนั้นยังจะรุ่นแรงกว่าอีกนะ?"
"ก็ใช่แล้ว ถ้าพูดถึงกำลังการต่อสู้ อาจารย์น้อยของเราถือเป็นที่หนึ่งของสำนักเจี้ยนซานมาพันปีแล้ว!"
หลี่ฟานมองเมฆประหารที่ทวีพลังขึ้นเรื่อยๆ ความหาญกล้าก็ก่อตัวขึ้นในใจ
300 ปีแห่งการฝึกฝน จะกลัวอะไรแค่ฟ้าประหลาดเล่า?
แสงกระบี่วาบ พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากยอดเขาหลิงอวิ๋น
แหวกเมฆประหลาดออกเป็นสองซีก!
แสงอาทิตย์ส่องผ่านร่องของเมฆ ทอลงมายังสำนักหลิงอวิ๋น
ดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์พลุ่งพล่าน ประตูสวรรค์ผ่าเปิด
หลี่ฟานกระโดดเข้าประตูสวรรค์ไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หลังจากเข้าสู่พิภพสวรรค์ หลี่ฟานก็พบเรื่องน่าตกใจ ผู้อาวุโสของหลิงอวิ๋นที่เคยเหาะขึ้นสวรรค์มาก่อนกลับถูกศัตรูไม่ทราบชื่อฆ่าตายโดยไม่ทราบสาเหตุ
เขาหมั่นฝึกฝนไปพร้อมกับตามหาตัวการที่อยู่เบื้องหลัง
ทว่าแม้ผ่านไปร้อยปีก็ยังไร้ซึ่งคำตอบ
ครั้งหนึ่งระหว่างสำรวจสถานที่ลับแห่งเซียนสมัยโบราณ เขากลับถูกสหายผู้สนิทชิงลอบโจมตี เขาตายไปอย่างเต็มไปด้วยความตะลึงงันและไม่ยินยอมพร้อมใจ
...
พื้นที่สวรรค์เหนือ
หลังจากสองพันปีที่แล้ว หวนเทียนตี้ได้รวมพื้นที่ชิงเทียนเข้าด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มต้นการบุกรุกอย่างเลือดพลั่ง
ในช่วงหลายปีมานี้ เขาได้สะสมความน่าสะพรึงกลัวอันไม่มีใครเทียบด้วยการเชิดหัวเทพจักรพรรดิห้าตนและจอมเซียนสิบหกตน
ในที่สุด ก็เหลือเพียงพื้นที่สวรรค์ทิศเหนือที่ยังรักษาชีวิตรอดเอาไว้ได้
ตอนนี้ กองทัพมหาศาลกำลังรุกรานอยู่ ตั้งมั่นจะทำลายพื้นที่สวรรค์ทิศเหนือให้ได้ภายในปีนี้
กลางทัพ ฉินถังกำลังมองหวนเทียนตี้ที่กำลังหลับตาเก็บกำลัง เหมือนมีบางอย่างจะพูด แต่ก็ยังเก็บไว้
หลี่ฟานลืมตาขึ้น มองที่ทหารคนสนิทผู้นี้ที่ติดตามเขามาตั้งแต่กระจ้อยร่อยกระจัดกระจายจนพบความสำเร็จ ยากจะเห็นรอยยิ้มของเขา
"ฉินถัง เจ้าเหมือนมีอะไรอยากถามข้า?"
"ไม่ปิดบังจักรพรรดิ กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจจริงๆ"
"พูดมาเถิด ไม่เป็นไร"
"จักรพรรดิ ท่านเริ่มต้นมาจากสามัญชน ผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วน จนในที่สุดก็ก้าวขึ้นเป็นเทพจักรพรรดิ อำนาจล้นฟ้า เหล่าเซียนในสวรรค์ล้วนเกรงกลัวเมื่อได้ยินชื่อท่าน แต่เหตุใดท่านกลับไม่เคยมีท่าทีจะหยุดพักเลย? สิ่งที่ท่านแสวงหาด้วยความยากลำบากนั้น แท้จริงแล้วคืออะไรกัน?"
"เมื่อกำจัดเฉวียนเทียนตี้ รวมพื้นที่สวรรค์ได้ครบถ้วน ท่านจักรพรรดิจะมีแผนการใดต่อไปหรือ?" ฉินถังจ้องมองหลี่ฟาน เอ่ยถามคำถามในใจออกมา
"ฮ่าๆ" หลี่ฟานหัวเราะเบาๆ
"สิ่งที่ข้าปรารถนานั้น ก็เพียงแค่คำว่า 'อายุวัฒนะ' " เขากล่าวเบาๆ
ฉินถังชะงักงัน เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน
"อายุวัฒนะหรือ? ด้วยระดับพลังของท่านในตอนนี้ ไม่ถือว่าได้ครอบครองอายุวัฒนะแล้วหรือ? หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ท่านคงมีอายุอีกหลายแสนปีได้สบายๆ ไม่ใช่หรือ?" เขาถามขึ้นด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง ดูเหมือนจะไม่อาจเข้าใจได้
"อายุหลายแสนปี ก็ถือว่าเป็นอายุวัฒนะได้แล้วงั้นหรือ?" หลี่ฟานยิ้มๆ ย้อนถามกลับ
"ในสุสานหวงเทียน เหล่าจักรพรรดิสวรรค์ยุคโบราณหลายร้อยนาม ไม่ได้กลายเป็นโครงกระดูกในสุสานไปแล้วหรือ"
"แม้แต่ผู้เป็นเซียนโบราณที่ตำนานเล่าขานว่าสร้างพิภพเซียน มีอำนาจยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานเวลานี้ ตัวเขาอาจยังต้องกลายเป็นเทือกเขา ถูกข้ากดข่มไว้ใต้ราชวัง”
"ครั้งนี้ข้าจะรวมพิภพเซียน รวบรวมพลังเหล่าเซียนทั่วหล้าฟ้า สร้างวงจรอาคมครอบคลุมทั้งพิภพเซียน เพื่อทลายกรงขังเซียนที่ว่ากันว่ามีมาแต่โบราณ"
"ข้าจะก้าวข้ามเหนือเซียน ไปให้ไกลกว่านี้อีก" หลี่ฟานกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่แน่วแน่เด็ดขาด ไม่ยอมให้ใครโต้แย้ง
ฉินถังเงียบงัน
เพราะเขารู้ว่า เหนือพิภพเซียน ไม่มีอะไรอีกแล้ว
ดังนั้นเขาจึงได้แต่นิ่งเงียบก้มหน้าลง
ทุกอย่างดำเนินตามแผนของหลี่ฟาน
เพียงใช้เวลาสิบปี หลี่ฟานก็รวมพิภพเซียนทั้งหมดเข้าด้วยกัน
หลังจากนั้น เขาใช้วิธีการอันโหดเหี้ยมเกินบรรยาย ปราบปรามความเห็นต่างทั้งปวง เก็บรวบรวมทรัพยากรทั่วพิภพเซียน สร้างวงจรอาคมเพื่อทำลายพันธนาการของพิภพเซียนสำเร็จ
เมื่อวงจรอาคมเปิดใช้ ทั่วทั้งพิภพเซียนสั่นสะเทือน
ท้องฟ้าปรากฏรอยแตกนับไม่ถ้วน ทุกสิ่งในโลกเหมือนกำลังแตกสลาย
หลี่ฟานหัวเราะร่า พุ่งเข้าไปในรอยแยกเหล่านั้น
สิ่งที่รอเขาอยู่ มีเพียงความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด
...
เพียงเท่านี้ การทดสอบด่านความมั่นคงก็จบลงแล้ว
เพราะฉินถังรู้ว่า ไม่จำเป็นต้องทดสอบต่อไปอีกแล้ว
การทดสอบครั้งนี้ มีความผิดปกติเกิดขึ้น
ต่อให้ข้าสร้างภพภูมิซ้อนกันนับไม่ถ้วน ก็คงยากจะสั่นคลอนความตั้งใจมุ่งมั่นของผู้นี้
หากอาจารย์อยู่ที่นี่ เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้ ก็คงจะยินดียิ่งนัก
แต่น่าเสียดายที่...
ในแววตาของฉินถังแฝงความรู้สึกอาลัยอาวรณ์
พร้อมกับเสียงถอนหายใจยาว ทุกคนก็ค่อยๆฟื้นจากภวังค์กลับมา
ทว่ายังคงอยู่ที่ลานเดิมตั้งแต่แรก
บ้างก็งุนงงสับสน บ้างก็สำนึกตัวแล้วหน้าซีดเผือด
บ้างก็กลับเหมือนหยั่งรู้บางสิ่ง คล้ายเข้าใจความหมาย
...
ฉินถังมองคนทั้งหลายที่แสดงท่าทีแตกต่างกัน แล้วยิ้มพูดว่า
"การทดสอบทั้งสามด่านสิ้นสุดลงแล้ว"
"ในพวกเจ้า บางคนทำได้เกินความคาดหมายของข้า บางคนก็ทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย"
"อาจารย์ผู้เฒ่าเคยบอกข้าว่า วิหารอวิ๋นสุ่ยของเรารับศิษย์ให้เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ"
เขามองพินิจผู้คน ใบหน้าอ่อนโยน "ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหลือพวกเจ้าไว้แค่ครึ่งหนึ่งก็พอ"
เหล่าผู้ฝึกเซียนที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้มดีใจ พอได้ยินคำพูดของฉินถัง สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด
"เจ้าหมายความว่ายังไง?"
ตนเองทำได้ดีแค่ไหนในการทดสอบทั้งสามด่าน พวกเขารู้กันดีอยู่แก่ใจ
ตอนนี้ฟังว่าฉินถังจะฆ่าผู้ฝึกเซียนที่มาครึ่งหนึ่ง ทุกคนตกใจและโกรธเคืองเป็นที่สุด
ในวาระสุดท้าย พวกเขาเริ่มโจมตีฉินถัง
ฉินถังก็ไม่ได้โกรธ
เพียงแต่ยิ้มเย็นชา "วิหารอวิ๋นสุ่ย หัวหน้าห้องถ่ายทอดธรรมะ ฉินถัง"
"ขอรับคำชี้แนะจากทุกท่าน"
พร้อมกับคำพูดของฉินถัง ข้างกายผู้ฝึกเซียนครึ่งหนึ่งที่อยู่ที่นั่น จู่ๆก็ปรากฏเงาร่างสีฟ้าครามขึ้นมา
พวกมันเหมือนตัวแทนที่ซ้อนทับกับเป้าหมายทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งรูปลักษณ์ พลังลมปราณ กระทั่งระดับพลัง ล้วนเหมือนกับตัวจริงไม่ผิดเพี้ยน
พอปรากฏกาย ก็เข้าโจมตีเป้าหมายแบบไม่เลือกหน้าในทันที
"ฝ่ายอาจารย์มีนิสัยเข้มงวด แต่ท่านอาจารย์เคยบอกข้าว่า ทำอะไรอย่าทำให้สุดโต่ง หากพวกเจ้าสามารถรอดพ้นจากมือของเงาสะท้อนตัวเอง ข้าก็จะไม่รังควานพวกเจ้าอีก"
มองดูเหล่าผู้ฝึกเซียนที่กำลังต่อสู้อย่างยากลำบาก ฉินถังค่อยๆกล่าวต่อ
อีกครึ่งหนึ่งของผู้ฝึกเซียนที่ไม่ถูกโจมตี รวมถึงหลี่ฟาน ต่างเลือกถอยห่างจากสนามรบ เพื่อไม่ให้ตกที่นั่งลำบาก
หลี่ฟานถอยมาอยู่ในระยะปลอดภัย สังเกตสถานการณ์ในสนามรบ
เงาสะท้อนสีฟ้าคราม ลงมือรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่มีบาดแผล
ผู้ฝึกเซียนทั่วไป ไม่ใช่คู่ต่อกรของพวกมันแน่ๆ พอต่อสู้ได้ไม่นาน ก็ตกเป็นรองอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน ก็มีผู้ฝึกเซียนจำนวนมากตายอนาถใต้น้ำมือเงาสะท้อนของตัวเอง
ส่วนที่เหลือพยายามสู้อย่างยากลำบาก ก็เห็นได้ชัดว่าจะอึดใจได้อีกไม่นานแล้ว
สุดทางที่ตัน พวกเขาต่อว่าฉินถังยับเยิน
"เจ้าตื่นเถอะ! จะรับศิษย์อะไรอีก วิหารอวิ๋นสุ่ยล่มสลายไปแล้วไม่รู้กี่ปี!"
"อาจารย์อะไรนักหนา! พอวิบัติสวรรค์มาถึง สุดท้ายก็ต้องฆ่าฟันกันเอง!"
...
"ฆ่าฟันกันเอง?" ฉินถังได้ยิน ก็ส่ายหน้าไปมา
"วิหารอวิ๋นสุ่ยของเรา น้ำใจเป็นหนึ่งเดียว เคารพนับถือ รักใคร่กัน แม้แต่การเสียสละตนเพื่อศิษย์พี่ศิษย์น้อง ก็ไม่มีใครลังเล"
"แล้วจะฆ่าฟันกันเองได้อย่างไรกัน?"
ฉินถังพูดไปเรื่อยๆ แต่จู่ๆก็เสียงเบาลง
"วิบัติสวรรค์ วิบัติสวรรค์..."
เขาขมวดคิ้ว เหมือนนึกถึงอะไรบางอย่าง
"วิบัติสวรรค์..."
เขาพึมพำคำนี้ซ้ำๆ ท้องฟ้าเหนือลานพลันมืดครึ้มลง
เงาลวงที่โจมตีผู้ฝึกเซียน ก็มีการเปลี่ยนแปลงตามมา
หมอกสีดำหนาทึบพวยพุ่งออกมาจากภายในเงาลวง ชั่วพริบตา ย้อมเงาลวงเป็นสีหมึกน่าขนพองสยองเกล้า
เงาสะท้อนสีหมึกดูน่าหวาดผวายิ่งกว่าเงาลวงสีฟ้าคราม ในพริบตา ผู้ฝึกเซียนที่กำลังต่อสู้อย่างยากลำบากก็ล้มตายไปกว่าครึ่ง
เหลือรอดอยู่ได้เพียงไม่กี่คน
ส่วนฉินถังก็ยังไม่ได้สติกลับมาจากภวังค์ เขายังคงพึมพำไม่หยุด
พื้นลานเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดำทะมึน
ฟ้าผ่าฟาดลงมาไม่ขาดสาย
เหล่าผู้ฝึกเซียนที่ไม่โดนเงาลวงโจมตี เฝ้าดูอยู่ด้านข้าง ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาในทันที
แต่เมื่อเผชิญกับฉินถังที่กำลังเข้าภวังค์ ก็ไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อน
ชั่วขณะนั้น ทุกคนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
พอดีตอนนี้ หลี่ฟานก็ค่อยๆเดินมายังด้านข้างของฉินถัง
เขาถือขวดสุรา ตบไหล่ฉินถัง ส่งมันให้
หลี่ฟานยืนยิ้ม พูดกับฉินถังอย่างเงียบๆ "ศิษย์พี่ฉิน ดื่มสุรากัน"
"ไม่ต้องใส่ใจหรอก ไม่มีวิบัติสวรรค์อะไรทั้งนั้น"
ฉินถังหันหน้ามา สูดจมูกฟุดฟิด คว้าขวดสุราไปตามสัญชาตญาณ ดื่มเข้าไปอึกใหญ่
หลังจากนั้นก็มองหลี่ฟานอย่างเลิ่กลั่ก "ไม่มีวิบัติสวรรค์หรือ?"
หลี่ฟานพยักหน้าอย่างมั่นใจ ทวนซ้ำอีกครั้ง "ใช่ ไม่มีวิบัติสวรรค์อะไรทั้งนั้น"
ดวงตาของฉินถังค่อยๆสว่างขึ้น พึมพำซ้ำๆ "ไม่มีวิบัติสวรรค์ ไม่มีวิบัติสวรรค์ ไม่มีวิบัติสวรรค์..."
"ฮ่าๆๆ เจ้าพูดถูกแล้ว! ไม่มีวิบัติสวรรค์อะไรทั้งนั้น!"
สักพักใหญ่ ฉินถังหัวเราะร่วน ในที่สุดก็กลับมาเป็นปกติ
ปรากฏการณ์ประหลาดในลานก็หายไปด้วย กลับมาสงบสุขอีกครา
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นโล่งอกไปตามๆกัน มองไปยังหลี่ฟานอย่างขอบคุณ
แต่หลี่ฟานกลับใจกระตุก
เพราะเขารับรู้ได้ว่า มีพลังสังหารเบาบางสองสาย กำลังเล็งมาที่ตัวเขา
ถึงแม้พลังสังหารสองสายนี้จะอ่อนแอมาก แต่หลี่ฟานไวต่อความรู้สึกนี้อย่างยิ่ง ไม่มีทางรับรู้ผิดแน่นอน
และเจ้าของพลังสังหารสองสายนี้ ก็คือซือคงอี้กับไป๋ลี่เฉินนั่นเอง!
หลี่ฟานแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ส่งวิถีปราณสังหารไร้รูปลักษณ์กลับไปยังทั้งสองอย่างลับๆ
แต่ยังไม่ได้ใช้งาน
เรื่องชุลมุนวุ่นวายจบลงอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกเซียนและเงาสะท้อนสีฟ้าครามก็ยุติลง
ในท้ายที่สุด มีเพียงสองคนที่รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด
ฉินถังมองคนที่ยังมีชีวิตรอดอย่างอ่อนโยน "การทดสอบจบลงแล้ว พวกเจ้าไปได้แล้ว"
ผู้ฝึกเซียนทั้งหลายไม่เข้าใจนัก พอจะพูดอะไร ก็เห็นร่างของกันและกันจางลงเรื่อยๆ ก่อนจะหายไปจากลาน
ในไม่ช้า ผู้ฝึกเซียนที่เหลืออยู่ในลานก็มีแต่หลี่ฟานผู้เดียว
ฉินถังมองหลี่ฟาน สีหน้าซับซ้อนผุดขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหาย
"ทำไมเจ้ายังไม่ไป?"
ฉินถังถาม
หลี่ฟานหัวเราะอย่างเปิดเผย "ศิษย์พี่ยังติดค้างข้าสุราดีๆอยู่ไห"
เหมือนไม่คาดคิดว่าหลี่ฟานจะตอบเช่นนี้ ฉินถังงงไปครู่ แล้วก็หัวเราะเสียงดังลั่น
"ใช่ ข้าติดค้างเจ้าสุราดีๆอยู่จริงๆ!"
สีหน้าเขาเปลี่ยนแปรไปอย่างฉับพลัน จ้องมองหลี่ฟานอย่างจริงจัง
ยื่นมือขวาออกมา ใช้นิ้วชี้แตะหว่างคิ้วหลี่ฟานเบาๆ
"คัมภีร์ฝันมายาอวิ๋นสุ่ยนี่ ข้ารวบยอดความรู้ตลอดชีวิตมาคิดค้นขึ้นเอง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้มันสูญหายไป!"
สักพักหนึ่ง ฉินถังก็เก็บนิ้วกลับ
ร่างของหลี่ฟานก็ค่อยๆจางหายตามไปด้วย
ลานกว้างใหญ่ กลับเหลือเพียงฉินถังยืนอยู่คนเดียวอีกครั้ง
เหมือนกับที่ผ่านมาหลายพันปีนี้
"ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องหญิง..."
ฉินถังหันไปมองโดยรอบอย่างเดียวดาย แต่ก็ไม่พบสิ่งใด
ดังนั้นเขาจึงยกสุราขึ้นดื่มอีกอึก
...
หลี่ฟานค่อยๆได้สติกลับมา
ตรงหน้าเป็นประตูใหญ่สูงตระหง่าน มีอักษรสี่ตัวเขียนไว้ว่า "วิหารอวิ๋นสุ่ย"
ใต้ประตู มีรูปสลักหินยืนตระหง่าน
รูปสลักทรุดโทรม เต็มไปด้วยแผลเป็น
บริเวณหัวใจเหมือนถูกทิ่มทะลุ เห็นเป็นโพรงโหว่ใหญ่
จากใบหน้าพร่าเลือนของรูปสลัก ยังพออาจมองออกว่าเป็นฉินถัง
หลี่ฟานยืนมองรูปสลักนิ่งสักพัก แล้วหยิบขวดสุราออกมาจากแหวนเก็บของ
วางมันลงอย่างเบามือที่ด้านหน้ารูปสลัก
จากนั้นก็ใช้คัมภีร์ยุทธ์ร่างเงาสะท้อนตาม มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่วิถีปราณสังหารไร้รูปลักษณ์ล็อคเป้าหมายไว้โดยเร็ว