บทที่ 91 ความดีความชอบ
บทที่ 91 ความดีความชอบ
ฟางเหิงกะพริบตาปริบๆ ยืนนิ่งอยู่กับที่ "..."
เขาเห็นม้าปีศาจตัวหนึ่งถูกจูงโดยขุนพลหง
ข้างหน้ามัน เสี่ยวเว่ยชุดอินทรีทองคำกว่ายี่สิบคนที่กลับมาจากเขาชิงเฟิง ยืนนิ่งอยู่สองข้างของชายหนุ่มที่มีใบหน้าเคร่งขรึม
ผู้รับผิดชอบศาลาว่าการในวันนี้คือหญิงสาวจากค่ายในสองคน ฟางเหิงเห็นนางหยิบของออกมาทีละชิ้น จากนั้นส่งมอบให้เพื่อนร่วมงานอย่างระมัดระวัง
สิ่งแรกคือเสื้อคลุมที่พับเก็บอย่างเรียบร้อย มันเป็นเสื้อคลุมแขนยาว เนื้อผ้าลื่นไหล มีรูปหมาป่ากลืนจันทร์อยู่บนนั้น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของค่ายนอกที่ดูน่าเกรงขาม
จากนั้นเขาได้สวมเข็มขัดหยก และใส่มงกุฎลายหมาป่าที่ทำมาจากทองคำ ยิ่งทำให้เขาดูสง่างามและน่าเกรงขาม
"โอ้! เขาขึ้นเป็นขุนพลแล้ว!"
เสี่ยวเว่ยจำนวนมากที่ยืนดูอยู่รอบๆ เดิมทีพวกเขาต้องการดูว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ที่ไหนได้ พวกเขากลับได้มาเห็นเพื่อนร่วมงานได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
ทันใดนั้น ทุกคนต่างก็รู้สึกอิจฉา...
เขาชิงเฟิง ในความรู้สึกของคนทั่วไปแล้ว มันช่างอันตราย พวกเขากลัวว่าจะถูกเกณฑ์ไปต่อสู้จนนอนไม่หลับ ทว่าสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถ เรื่องนี้คือโอกาสที่หาได้ยาก มันสามารถเลื่อนตำแหน่งได้เร็วมากจริงๆ!
ในเวลาต่อมาหญิงสาวจากค่ายในอีกคนหนึ่ง นางได้นำเสื้อคลุมสีดำตัวใหม่ออกมาเช่นกัน
ในตอนแรก เสี่ยวเว่ยเหล่านั้นมองดูอย่างผิวเผิน แต่ขณะที่กำลังจะละสายตา จู่ๆ ร่างกายของพวกเขากลับแข็งค้าง มองกลับไปด้วยความเหลือเชื่อ!
พวกเขาเห็นว่าปลายแขนเสื้อนั้นไม่มีลวดลาย แต่กลับมีสัญลักษณ์หยินหยางที่ปักอย่างประณีตอยู่บนปกเสื้อ
หยินหยางเฉียนคุน! (หยินหยางพลิกฟ้าดิน)
นี่คือสัญลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของท่านขุนพลอาวุโสเฉินเฉียนคุน หนึ่งในสิบสองขุนพลอาวุโสแผนกปราบปีศาจ!
"..."
ทุกคนกลืนน้ำลายเหนียวลงคอโดยไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นโดยรอบก็เงียบลง ความตื่นเต้นที่ได้ดูเริ่มจางหายไปอย่างรวดเร็ว พวกเขามองหน้ากัน ต่างก็รู้สึกถึงการแข่งขันที่แฝงอยู่จางๆ
ความหมายของการเป็นองครักษ์ส่วนตัว มันสามารถสรุปได้สี่คำ
ผ่านพ้นอุปสรรค!
ด้วยผลงานมากมาย และความสามารถที่น่าทึ่ง ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองอีกต่อไป
จากนี้... เขาไม่จำเป็นต้องปีนเขาข้ามแม่น้ำ เอาชีวิตที่เสี่ยงอันตราย เพียงแค่คอยติดตามท่านขุนพลอาวุโสอยู่ข้างกาย ตั้งค่าย และเฝ้าระวังปีศาจที่อยู่ด้านนอกสิบสองเมืองของชิงโจวเท่านั้น
มันคืองานง่ายๆ ปีศาจทั้งหมดต่างก็เกรงขาม ต่างคนต่างอยู่ ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ปีศาจรุกรามมา
การเป็นขุนพลองครักษ์ส่วนตัวของเขาช่างสบาย แค่ยืนเฝ้าทุกวัน แถมอาจไม่ต้องลงมือจริงสักครั้งในรอบหลายปี เมื่อครบกำหนด ผลงานในการปกป้องเมืองก็ไม่ใช่น้อย
ถ้าท่านขุนพลองครักษ์ผู้นี้ เต็มใจพาคนไปด้วยก่อนออกเดินทางละก็...
ในชั่วพริบตา เสี่ยวเว่ยที่อยู่ด้านนอกต่างก็กรูกันไปข้างหน้าด้วยความร้อนรน
ไป๋จื่อหมิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจ
มีเพียงฟางเหิงเท่านั้นที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ที่แรกเขาดีใจที่ได้เห็นเสื้อคลุม แต่หลังจากสังเกตเห็นสัญลักษณ์หยินหยาง ทันใดนั้นสีหน้าก็ดูไม่ค่อยดี มันแฝงไว้ด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
"พวกเราขอแสดงความยินดีกับท่านใต้เท้าเสินที่ได้รับชัยชนะและกลับมา! และยินดีกับการเลื่อนยศสามขั้น!"
เหล่าเสี่ยวเว่ยในชุดอินทรีทองคำ ยกเว้นคนที่ถือเสื้อคลุม เดินถอยหลังไปสามก้าว ก้มตัวลงโค้งคำนับ พร้อมส่งเสียงเสียงดังกังวาน
เหล่าเสี่ยวเว่ยกว่าร้อยคนที่อยู่ข้างๆ ทั้งจากค่ายในและต่ายนอก ล้วนทำท่าทางเดียวกัน แม้แต่หงเล่ยที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้าของเขาก็ไม่มีรอยยิ้มหยอกล้อเหมือนเมื่อก่อน เขาคลายเชือกบังเหียน กุมมือเป็นกำปั้นแน่น "ขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าเสิน!"
"มองข้าทำไม? เจ้าไม่มีมืองั้นเหรอ?" ไป๋จื่อหมิงเหลือบมองไปที่ฟางเหิงที่อยู่ข้างๆ
“…” ฟางเหิงก้มหน้ามองแขนทั้งสองข้าง พยายามส่ายแขนไปมา
ไป๋จื่อหมิงถอนหายใจ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมมือคำนับ รู้สึกว่าวันนี้ไม่ควรออกมาจากบ้านเลยจริงๆ...
ลูกศิษย์ของท่านแม่ทัพใหญ่ อย่างมากก็เป็นแค่ขุนพล ไม่เคยมีใครไปเป็นองครักษ์ส่วนตัวให้คนอื่นมาก่อน
แม้แต่ศิษย์พี่หญิงเจียง นางก็ยังต้องอาศัยวิธีนองเลือดในการปราบปรามเมืองหยูซาน หลังจากขุนพลอาวุโสแห่งเมืองหยูซานเสียชีวิต และขึ้นเป็นขุนพลอาวุโสโดยตรง
ดังนั้น... ยศของไป๋จื่อหมิงจึงต่ำกว่าเสินอี้ในตอนนี้จริงๆ
เขาถอนหายใจออกมา
จากยศเสี่ยวเว่ย ขึ้นเป็นขุนพลองครักษ์ โดยไม่ต้องผ่านยศขุนพล นี่มันบ้าไปแล้ว! ถึงแม้ว่าบนยอดเขาชิงเฟิงจะมีมังกรเจียวขอบเขตควบแน่นตันอยู่จริง แต่นี่มันต้องเป็นความดีความชอบจากการสังหารมันเท่านั้น ไม่ใช่แค่ไปเดินเล่นบนเขาชิงเฟิงเฉยๆ แล้วกลับมาได้โดยไม่สร้างผลงานอะไรเลย
"ท่านขุนพลอาวุโสเฉินเป็นอะไรไปหรือเปล่า เด็กคนนี้เพิ่งเข้าร่วมแผนกปราบปีศาจได้ไม่ถึงเดือน เขากล้าให้ทุกอย่างเลยเหรอ?"
เมื่อได้ยินคนพูดถึงเฉินเฉียนคุน หงเล่ยก็หันมามองทันที และทันได้ยินประโยคหลัง
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นตกตะลึงทันที "อะไรนะ?"
หนึ่งเดือน...
บัดซบ!
หัวใจของหงเล่ยเต้นเร็วขึ้น
นี่เป็นฝีมือของใครกัน! ไอ้พวกขี้เกียจบัดซบเหล่านั้น ไม่อยากตายบนเตียงหรือไง!
แท้จริงแล้ว แม่งขี้เกียจราวกับสุนัขเลยทีเดียว เจ้าไปเกณฑ์คนที่เพิ่งเข้ามาทำงานแค่หนึ่งเดือนเท่านั้นเนี้ยนะ!?
ไม่แน่ใจว่าท่านขุนพลอาวุโสรู้เรื่องนี้หรือไม่? หงเล่ยไม่เคยคิดเลย เรื่องนี้มันจะมาในทิศทางนี้!
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ...
เพิ่งเข้ามาไม่ถึงเดือน เงินเดือนยังไม่ได้รับ จะเอาอะไรไปแลกกับชีวิต!
"..."
เสินอี้มองไปรอบๆ ด้วยความเงียบสงบ เขารู้สึกไม่คุ้นเคยเลยจริงๆ
เขาคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยถามว่า "แล้วตำรากับยาล้ำค่าล่ะ?"
เหล่าเสี่ยวเว่ยต่างตกตะลึง ชั่วครู่ต่อมาก็มีสีหน้าแปลกๆ
หญิงสาวจากค่ายในเอามือปิดปากเบาๆ จากนั้นผลักเพื่อนร่วมงานออกไป และเชิญเสินอี้เข้าไปในหอประชุม เดินไปหลังตู้ใหญ่ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา "ใต้เท้าเสินต้องการอะไร ท่านบอกข้าได้เลย เดี๋ยวข้าจะจดรายการไว้ รอให้ทุกคนกลับมา เมื่อตรวจสอบผลงานเสร็จแล้ว ข้าจะรีบส่งให้ท่าน"
"ข้าขออะไรก็ได้งั้นเหรอ?" เสินอี้มองนางด้วยความประหลาดใจ
จริงๆแล้ว เขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก ตอนแรกหงเล่ยสัญญาว่าจะให้ตำราขอบเขตวารีหยกขั้นต่ำ
ทว่าเขาจับตัวไต้ปิงและพ่อบ้าน เผชิญหน้ากับถัวหลง และส่งหัวมังกรเจียวให้ท่านขุนพลอาวุโส
จะพูดยังไงดี อย่างน้อยข้าขอตำราสักสองสามเล่มคงไม่น่าเกลียดใช่ไหม?
"หะ?" หญิงสาวตกตะลึงไปชั่วครู่ พูดเสียงอ้อแอ้ว่า "ถ้าเป็นตำราวารีหยกขั้นกลาง ที่นี่พอมีอยู่บ้าง แต่ที่เหมาะสมกับท่านอาจจะไม่มากนัก ส่วนขั้นนสูง หอประชุมมีเพียงเล่มเดียว..."
"ข้ายังคิดไม่ออก งั้น..." เสินอี้ไม่สนใจ เขาถอนสายตากลับ กลั้นลมหายใจสักพักแล้วเอ่ยว่า "เอาออกมาให้ข้าดูทั้งหมด ข้าอยากเลือกอย่างละเอียด"
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หญิงสาวเสี่ยวเว่ยค่ายในก็แสดงสีหน้าลำบากใจ นางพยายามเรียบเรียงคำพูดว่า "ใต้เท้าเสิน ก่อนหน้านี้ แผนกปราบปีศาจปีศาจเคยเจออัจฉริยะที่ท่องจำได้สิบบรรทัดในลมหายใจเดียว เขาถูกคนจากสำนักภายนอกส่งมาเพื่อขโมยตำรายุทธ... ต่อมาจึงมีกฎระเบียบ...เอ่อ ข้าไม่ได้ระแวงใต้เท้านะ ใต้เท้าเสินคงไม่มีความคิดเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่กฎระเบียบก็คือกฎระเบียบ"
แผนกปราบปีศาจนั้นใจกว้างก็จริง แต่ก็ต้องดูว่าเป็นสิ่งของประเภทใด
ต้องรู้ก่อนว่า ศาสตร์ต่อสู้ ตำรายุทธและยาล้ำค่าในแผนกปราบปีศาจส่วนใหญ่ มันได้มาจากการปล้นทั้งหมด
สิ่งของที่ตระกูลใหญ่มี ที่นี่มีมากกว่าสิบเท่า ไม่สิ... ร้อยเท่า ทว่าสิ่งของไหนที่ตระกูลใหญ่ไม่มี ที่นี่ก็ไม่สามารถเสกขึ้นมาเองได้
อย่างเช่นตำราขอบเขตวารีหยก ในสายตาของปรมาจารย์ยุทธในยุทธภพ มันไม่มีคำว่า "ขั้น"
ที่เรียกว่าขั้นกลาง เป็นเพราะว่าตระกูลใหญ่และสำนักต่างๆ พบว่าพลังของศาสตร์ต่อสู้ทั่วไปยังมีช่องว่างสำหรับการพัฒนา ด้วยความที่เป็นตระกูลใหญ่ มั่งคั่ง และมีอายุยืนยาว จึงทุ่มเทเวลาและความพยายามในการค้นคว้าศาสตร์ต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าศาสตร์ต่อสู้ทั่วไปในระดับเดียวกัน
ที่เรียกว่า "ขั้นกลาง" ก็เพราะว่ายังมีศาสตร์ต่อสู้ที่เหนือกว่า เช่น "วิชาทั้งห้าของท่านแม่ทัพใหญ่" ที่ยากจะเข้าใจ
หรือไม่ก็ "วิชาผสานสี่เที่ยงแท้" สามารถนำปราณที่สะสมมานานหลายสิบปี มาใช้ในช่วงเวลาสั้นๆ ศาสตร์ต่อสู้แบบนี้ คนทั่วไปได้ไปก็คงฝึกฝนไม่ได้
วิชาขอบเขตวารีหยกที่เก็บสะสมไว้ด้วยความยากลำบากนั้น ส่วนมากใช้เพื่อเพิ่มพลังและความเร็ว เสริมสร้างร่างกายและอาวุธในมือ สูงสุดก็แค่สร้างปราณกระบี่หรือปราณดาบเท่านั้น
ส่วนวิชาผสานสี่เที่ยงแท้ มันเปรียบเสมือนการจัดหาช่องทางการใช้ปราณจำนวนมาก ไม่เพียงแต่เข้าใจยาก แต่ยังมีคนจำนวนน้อยมากที่ใช้ได้
ถึงแม้ว่าพัฒนาถึงขอบเขตวารีหยกขั้นสมบูรณ์ พวกเขาจะสามารถยืดอายุขัยได้ถึงหนึ่งร้อยปีก็ตาม ต่อให้ใช้ยาล้ำค่าช่วย แต่การสะสมปราณใหม่ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย ใครที่ไหนจะมีเวลากัน!
ด้วยพลังทั้งหมดของแผนกปราบปีศาจชิงโจว พวกเขาสามารถจดจ่อกับวิชาฝึกพลังภายในอันล้ำค่าที่สุดได้ก่อนเท่านั้น
และในที่สุด พวกเขาสามารถก็คิดค้น "ตำราหลอมสุริยะสายฟ้าวายุ" ที่สร้างความฮือฮาไปทั่วสิบสองเมืองได้
"ไม่เป็นไร" ความคิดเล็กๆ น้อยๆ พังทลายลงทันที
เสินอี้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงออก "แล้ววิธีบ่มเพาะกายเนื้อ หรือวิชาท่าร่างล่ะ มีไหม?"
เมื่อได้ยินคำถามแรก หญิงสาวจากค่ายในสองคนก็ตกตะลึงไปชั่วครู่
มันบังเอิญเกินไปหรือเปล่า?
"ใต้เท้าเสิ่น ท่านเคยได้ยินชื่อสำนักวัชระหรือไม่?"
"ไม่ใช่สำนักใหญ่อะไร แค่สำนักระดับรองที่พอใช้ได้เท่านั้น"