ตอนที่แล้วบทที่ 89 กลับเมืองชิงโจว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 91 ความดีความชอบ

บทที่ 90 การต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่


บทที่ 90 การต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่

เมืองชิงโจว

ณ ประตูเมืองอันโอ่อ่าและสง่างาม ทหารสองแถวถือหอกยาวยืนตรงนิ่ง

เมื่อมองออกไปไกลๆ บนถนนหลวงที่เรียบและกว้างใหญ่หน้าประตูเมือง มีทหารม้าในชุดดำหลายร้อยคนขี่ม้าเข้ามา คล้ายกับเมฆดำหนาทึบ เสียงกีบเท้าดังกึกก้อง

แม้ว่าชาวเมืองชิงโจวจะเคยเห็นโลกมาบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยได้เห็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของแผนกปราบปีศาจแบบนี้มาก่อน

“เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?” ผู้คนเบิกตากว้าง เบียดเสียดกันบนถนนสายยาว

“เหอะ... นี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น กองทัพหลักยังอยู่ด้านหลัง คอยควบคุมดูแลอยู่” ทายาทตระกูลเล็กๆ ผู้หนึ่ง ยืนเอามือกอดอก แสดงท่าทีเยาะเย้ยต่อความไม่รู้ของผู้คน เมื่อเทียบกับพวกกองกำลังระดับสูงแล้ว พวกเขาที่มีสถานะกลางๆ นี้ ส่วนใหญ่จะต้องเข้าร่วมแผนกปราบปีศาจในอนาคต และไม่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อเหตุการณ์การกวาดล้างเขาชิงเฟิง

แต่สำหรับผู้คนทั่วไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังระดับสูงหรือแผนกปราบปีศาจ ล้วนอยู่สูงเกินเอื้อม

พี่น้องตระกูลหลี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน สีหน้าของทั้งคู่ไม่ค่อยดีนัก

หลี่ซินฮั่นไม่คาดคิดเลยว่า เพียงแค่เขาได้รับบาดเจ็บไม่กี่วัน พี่สาวของเขาจะส่งเสินอี้ไปยังเขาชิงเฟิง สถานที่แบบนั้น แม้แต่ขุนพลยังไม่กล้าพูดว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสินอี้

เขาย่อมได้ยินเรื่องราวของเสินอี้ในตอนที่เขาสลบ เสินอี้สามารถสังหารปีศาจปลาแม่น้ำขอบเขตวารีหยกขั้นปลายได้ แม้ว่าปีศาจปลาแม่น้ำจะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ก็ตาม แต่ตัวเขาเองก็ไม่มีทางจัดการได้ เรื่องนี้สร้างความชื่นชมให้เขาจริงๆ

และเขาก็ได้ยินเรื่องรางวัลที่เสินอี้ได้รับหลังจากกลับมา นั่นคือ  "ตำราหลอมสุริยะสายฟ้าวายุ" ทว่าหากเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องการกวาดล้างเขาชิงเฟิงจริงๆ  แม้เสินอี้จะมีทักษะการต่อสู้ลับๆ อยู่บ้าง แต่โอกาสรอดชีวิตก็ยังมีน้อยมากอยู่ดี

ในสนามรบที่โหดเหี้ยมเช่นนั้น สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ความคมของอาวุธ แต่ต้องมี "หนังหนา เนื้อแน่น วิ่งเร็ว ลมหายใจยาวนาน และพื้นฐานที่มั่นคง"

“……”

แน่นอนว่า หลี่มู่จินไม่ได้อธิบายสถานการณ์ในคืนนั้น นางเพียงแต่มองออกไปนอกประตูเมืองอย่างเงียบๆ

มืองดงามขาวนวลที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ... กำแน่นเล็กน้อย

คนที่กลับมาก่อนน่าจะเป็นขุนพลและเสี่ยวเว่ยที่ถูกเกณฑ์ไป เพราะพวกเขาไม่ต้องรับผิดชอบงานต่อจากนี้

ถ้าเสินอี้ยังมีชีวิตอยู่ น่าจะมีโอกาสอยู่ในขบวนนี้

แม้แต่หลี่มู่จินเองก็ไม่รู้ว่า นางเฝ้ารออะไรอยู่?

เสินอี้ที่บาดเจ็บสาหัส? หรือ...

หรือนางต้องการพิสูจน์ว่า ทางเลือกของเขาในตอนนั้นโง่เขลามากแค่ไหน?  การโยนหนังสือคำสั่งคืนเป็นการกระทำที่หุนหันพลันแล่นเกินไปหรือไม่?

นางกัดริมฝีปากเบาๆ

ยังไงก็ตาม ขอให้เขากลับมาอย่างปลอดภัยก็พอ...

การเอาที่นางชนะและเป็นฝ่ายคิดถูก ไม่สำคัญเท่ากับ "ความกรุณาที่เขาช่วยชีวิตนาง"

แต่มันเป็นโอกาสที่ยากมาก

แม้แต่เขาชิงเฟิงก็ยังหายไป พอจะจินตนาการได้ว่าสถานการณ์ที่นั่นเลวร้ายแค่ไหน เสี่ยวเว่ยที่ถูกเกณฑ์ไปชุดที่สอง มีโอกาสสูงที่จะถูกส่งไปสู้เพื่อลดจำนวนศิษย์ของสำนัก

“กึก!”

พร้อมกับเสียงรั้งสายบังเหียน ม้าปีศาจหลายร้อยตัวหยุดลงพร้อมเพรียง

ร่างในชุดสีดำทยอยลงจากม้า

ตามกฎที่ตั้งโดยแม่ทัพใหญ่แผนกปราบปีศาจ ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน ขุนพลและเสี่ยวเว่ยทั้งหมดห้ามขี่ม้าภายในเมืองชิงโจว

ผู้ฝ่าฝืน จะถูกลงโทษโดยการปรับเงินและเฆี่ยนตี

ประชาชนต่างแห่กันไปที่ประตูเมืองอีกครั้ง แม้แต่ลูกหลานตระกูลใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมา "จะได้เห็นท่านขุนพลอาวุโสเฉินหรือไม่?"

"นั่นไง! ท่านขุนพลอาวุโสเฉินเฉียนคุน!"

มีเสียงคนหนึ่งตะโกนลั่นขณะชี้นิ้วไปทางด้านนอก ภายใต้เสียงร้องนั้น สายตาอันนับไม่ถ้วนก็หลั่งไหลไปยังจุดที่นิ้วนั้นชี้ไปเสมือนคลื่นยักษ์

กระทั่งเมื่อบรรดาคนสวมเสื้อสีดำทั้งหมดลงจากหลังม้า จึงมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาในหมู่พวกเขา

เสี่ยวเว่ยชุดอินทรีทองคำกลุ่มหนึ่งเดินเข้าเมืองอย่างช้าๆ  ด้วยสายตาเย็นชา พวกเขารีบเคลียร์เส้นทางด้านหน้าทันที

เสี่ยวเว่ยหลายคนสวมเสื้อคลุม ยืนอยู่รอบม้าปีศาจ

บนหลังม้าปีศาจที่สูงใหญ่ ชายหนุ่มรูปงามยื่นมือจับสายบังเหียน ร่างกายในชุดดำผอมเพรียวแต่ตั้งตรง ชายเสื้อปลิวไสว

ใบหน้าขาวเนียน ดวงตาสดใสจ้องตรงไปข้างหน้า สันจมูกโด่ง ริมฝีปากบางเม้มแน่น เมื่อจับคู่กับดาบสีดำที่ขวนอยู่เอว มันช่างดูน่าเกรงขาม

แม้ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้น หรือแม้จะไม่มีเสี่ยวเว่ยชุดอินทรีทองคำคอยดูแล แต่ผู้คนท่ีมาชุมนุมก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกไปสองสามก้าว

“บัดซบ! ถึงท่านขุนพลอาวุโสเฉินจะหน้าตาดี… แต่ท่านจะอายุน้อยขนาดนี้ได้อย่างไร?”

ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แล้วผลักคนที่ตะโกนเมื่อกี้นี้กลับเข้าไป แต่เหล่าหญิงสาวก็ยังจ้องมองใบหน้านั้น แม้จะไม่ใช่ท่านขุนพลอาวุโสเฉิน แต่ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร

เสี่ยวเว่ยเคลียร์ทางให้เขา ท่านขุนพลคอยคุ้มกันและจูงม้า คนที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ สถานะของเขาจะต่ำไปได้อย่างไร?

ท่ามกลางฝูงชน พี่น้องตระกูลหลี่จู่ๆ ก็หายใจไม่ออก

หลี่ซินฮั่นมองลายเมฆสองขีดบนแขนเสื้อของบุคคลนั้นอย่างงุนงง มองดูใบหน้าที่คุ้นเคย ตบหน้าตัวเองสองครั้ง จากนั้นมองไปที่พี่สาวที่กำลังตะลึงงัน "เอ่อ... ข้าไม่ได้จำผิดคนใช่ไหม?"

กฎของแม่ทัพ เขาคุ้นเคยมากกว่าใคร

เพราะเมื่อไม่นานมานี้ เขาเพิ่งถูกเฆี่ยนตีมา

"น่าจะ...  เอ่อ ไม่ผิดคน"

หลี่มู่จินระงับเสียงสั่นเครือในลำคอ เงยหน้ามองม้าตัวสูงใหญ่เดินผ่านหน้านาง แล้วค่อยๆ เดินผ่านไป

อีกฝ่าย แม้แต่จะมองมาสักนิดก็ยังไม่มี

ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้มีรอยยิ้มหรือแสดงสีหน้าเย้ยหยันอย่างที่เคยจินตนาการว่า... เขาจะเยาะเย้ยนางในเรื่องที่หยิบหนังสือคำสั่งออกมา ด้วยท่าทางมั่นใจในวันนั้น

แล้วก็…… เขาผ่านหน้านางไปอย่างเงียบๆ

“......”

“เฮ้ๆ ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ ทำไมหน้าตึงใส่ข้าล่ะ?”

หงเล่ยเดินตามข้างม้าปีศาจ เอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า "พวกเราคือแผนกปราบปีศาจ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่เก็บภาษีนะ"

“ข้าก็แค่แสดงอารมณ์ไม่เก่งน่ะ”

เสินอี้ตอบอย่างเรียบเฉย จ้องมองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า ใบหน้าของเขาแข็งทื่อเล็กน้อย

แต่จริงๆ แล้ว เขากำลังแอบเช็ดเหงื่อที่ฝ่ามือบนขนม้า

หงเล่ยสังเกตเห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเขาพลางเบ้ปาก ถ้าเขาเป็นคนที่อยู่บนม้าละก็... เขาจะโบกมือไปมาโดยไม่หยุด เรียกเสียงโห่ร้อง นั่นถึงจะสุดยอด!

ในที่สุด พวกเขาก็หลุดพ้นจากฝูงชนที่ตื่นเต้นได้ พวกเขามาถึงอาณาเขตแผนกปราบปีศาจได้ซะที

เสินอี้ไม่ลังเลที่จะพลิกตัวลงจากหลังม้า

ขณะที่เขาเพิ่งขยับตัว หงเล่ยก็ใช้ไหล่ดันน่องเขาอย่างแรง กัดฟันเอ่ยว่า "ท่านขุนพลอาวุโสเฉินสั่งไว้ ถ้ายังไม่ถึงศาลาว่าการ กล้าลงจากม้า ขาพวกเราทั้งสองต้องหักแน่ๆ"

“......”

.

.....

ในเวลาเดียวกัน

ที่โรงหมดแผนกปราบปีศาจ ในอาคารไม้ไผ่ที่เรียบง่าย

ไป๋จื่อหมิงกำลังโมโห เขาใช้เข็มจิ้มไปที่แขนของฟางเหิง พลางฟังเสียงครางเบาๆ ของอีกฝ่าย  แล้วกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า "ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะเข็ดหรือไม่? ครั้งหน้า ข้าจะสาธิตให้เจ้าดูวิชาฝังเข็มขอบเขตควบแน่นตัน ท่ี่ท่านอาจารย์ขอมาจากราชสำนักให้เจ้าดู"

"ผ่านมาหลายวันแล้ว มันจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกันนะ?"

ฟางเหิงนอนบนเตียง รู้สึกชาที่แขนทั้งสองข้าง อารมณ์ร้อนรนเล็กน้อย

"น่าสนใจ ใช้เงินเดือนข้าไปมากมายเพื่อรักษา ตอนนี้แม้แต่คำว่า 'ศิษย์พี่' ก็ไม่เรียกแล้ว"

ไป๋จื่อหมิงยิ้มอย่างอ่อนโยน ยื่นมือออกไปจิ้มเข็มลงไปอีกสิบกว่าเข็ม

ฟางเหิงทั้งตัวกระเด้งขึ้นเหมือนปลาคาร์ฟ เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนบนหน้าผาก เกือบกัดฟันจนแตก เขาต้องรีบร้องขอความเมตตาว่า "ศิษย์พี่ไป๋……ข้ารีบจริงๆ……ข้าต้องไปที่เขาชิงเฟิง……"

"ถ้าอาจารย์รู้ว่าลูกศิษย์ของเขาไร้ค่าละก็...เฮ้อ ท่านเป็นถึงยอดฝีมือเซียนยุทธเชียวนะ  แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างต่อเนื่องถึงสองครั้ง เจ้าในฐานะศิษย์ยังจะต้องทนไปติดพันกับคนที่เย็นชาเช่นนั้นอีกเหรอ?"

ไป๋จื่อหมิงถอนหายใจพลางส่ายหน้า จากนั้นเก็บเข็มเงินใส่กล่องไม้ทีละเล่ม

เขาลุกขึ้นยืนตบเสื้อผ้า แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า"ไปกันเถอะ"

"ไปไหน?"  ฟางเหิงเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย

"ไปพบกับเสี่ยวเว่ยท่ี่ลงมือโหดเหี้ยมคนนี้ ดูว่าเขามีความสามารถมากแค่ไหน?"

ไป๋จื่อหมิงมีดวงตาสงบ กอดกล่องเก็บเข็มแบนราบไว้ในอ้อมแขน "เขาใช้โอกาสตอนที่ศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงไม่อยู่บ้าน เขาจึงได้โอกาสตีเจ้าจนเป็นอย่างนี้ ถ้าศิษย์พี่หญิงเจียงรู้เข้าละก็... นางคงคิดว่า ข้าได้ละทิ้งศาสตร์การต่อสู้ และเอาแต่มุ่งศึกษาวิชาแพทย์จนลืมวิธีต่อสู้ไปหมดแล้วละมั้ง?"

เขากลับมาแล้ว?  เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?

ฟางเหิงลุกขึ้นอย่างร้อนรน ขยับริมฝีปากเล็กน้อย ในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างท้อแท้

"ศิษย์พี่ เป็นข้าท่ีลงมือก่อน"

"เจ้าออกแรงกี่ส่วน?"  ไป๋จื่อหมิงคาดเดาไว้แล้ว

"สิบส่วนต่อหนึ่งส่วน"  ฟางเหิงก้มหน้าลง ถอนหายใจในสายตาสงสัยของอีกฝ่าย "ข้าใช้แรงเต็มสิบส่วน ส่วนเขาตบข้าลงกับพื้นด้วยมือข้างเดียว"

"……"

สุดท้าย ไป๋จื่อหมิงทำท่าจะเก็บกล่องเข็ม "เกือบลืมไปแล้ว หมอย่อมมีจิตเมตตา หมอไม่ควรทะเลาะวิวาท  เรื่องแบบนี้ไว้ให้ศิษย์พี่หญิงเจียงจัดการดีกว่า"

ฟางเหิงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่นกับเขา เลยกล่าวยิ้มๆ ว่า "ถ้าท่านสู้กับเขา แน่นอนว่าศิษย์พี่ไป๋ย่อมเก่งกว่า เพราะว่าวิธีการของท่านช่างโหดเหี้ยม ถึงเขาพอมีทักษะบ่มเพาะกายเนื้ออยู่บ้าง แต่ยังห่างไกลจากท่านนัก"

ศิษย์พี่ไป๋คือผู้เชี่ยวชาญท่ีสามารถสังหารเขาได้ในชั่วพริบตา เสินอี้ชอบต่อสู้แบบประชิดตัว ทว่าศิษย์พี่ไป๋มีเข็มท่ีชุบด้วยยาพิษจากปีศาจขอบเขตวารีหยก ผู้ฝึกตนทั่วไปเพียงสัมผัสก็ตายทันที

การที่จะป้องกันตัวจากเขาให้ได้เป็นเรื่องยาก แถมเขายังชอบยิ้มแย้ม ทว่ากลับเล่นงานแบบเงียบๆ

วินาทีก่อนยังทักทาย  วินาทีต่อมาเข็มพิษก็มาถึง!

เมื่อเทียบกันแล้ว เสินอี้ดูมีบุคลิกท่ีแข็งแกร่งกว่า ทุกครั้งเขาชอบโจมตีก่อน แต่นั่นก็ทำให้เขาเสียเปรียบได้ง่าย

"ข้าจะถือว่า เจ้าชมข้าแล้วกัน" ไป๋จื่อหมิงยิ้มออกมา

จากนั้นไป๋จื่อหมิงไม่สนใจอะไร ทั้งสองก้าวออกจากกระท่อมไม้ไผ่ ตอนนี้เขาสงสัยเสี่ยวเว่ยผู้นั้นแล้วจริงๆ

พวกเขาสองคนเดินไปที่ศาลาว่าการแผนกปราบปีศาจอย่างรวดเร็ว

ในไม่ช้า พวกเขาก็เห็นเสี่ยวเว่ยจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา ปิดกั้นหน้าประตูศาลาว่าการจนแน่นขนัด

(ในเรื่องนี้นะครับ แต่ละเมืองจะมีสถานที่เรียกว่า 衙门 Yámén มันจะเป็นอาคารหรือเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ หรือไม่ก็สถานที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ระดับสูง และบริเวณพักอาศัยของข้าราชการในสมัยจีนโบราณ ในนิยายเรื่องนี้จะขอใช้คำว่าศาลาว่าการนะครับ)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด