บทที่ 72 วางมือประทานชีวิตอมตะ
เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ทำให้เหล่าขุนนางต้าหลี่ต่างเงียบกริบลง
โดยเฉพาะฮ่องเต้ต้าหลี่ที่สีหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าใคร
ต้องรู้ว่า ในสายตาของเหล่าเซียน พวกเขามนุษย์ธรรมดาก็ไม่ต่างอะไรจากมดปลวก
มดปลวกที่กล้าเรียกร้องจะเจออะไรหรือ?
แสงเลือดสาดท่วมเมืองหลวงต้าหลี่เมื่อยี่สิบปีก่อนก็คือคำตอบที่ดีที่สุด
พวกเขาต่างก้มหน้าลงมองพื้น เหงื่อไหลราวกับฝน ใช้หางตาชำเลืองมองดูหลี่ฟาน
แต่เสียงนั้นกลับไม่กลัวตายราวกับย้ำขึ้นมาอีกครั้งว่า "ได้โปรดช่วยชีวิตน้องสาวของข้าด้วยเถิด ท่านเซียน!"
หลี่ฟานมองไปยังทิศทางต้นเสียง ก็พบว่าเป็นซูฉางหยูวัยสิบกว่าขวบนั่นเอง
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเพิ่งสติกลับมา รีบวิ่งเข้ามากดตัวนางให้คุกเข่าลง
"หยูเอ๋อร์ เจ้ากำลังหาเรื่องอะไรอยู่!" ชายวัยกลางคนร้อนรนคุกเข่าลงเช่นกัน กดศีรษะซูฉางหยูให้โขกพื้นต่อหน้าหลี่ฟาน
ขณะที่โขกหัวก็พูดว่า "เด็กเล็กไม่รู้เดียงสา ขอท่านเซียนโปรดอภัยให้ด้วย!"
หลี่ฟานเงียบไปครู่ใหญ่
ครั้งนี้เหล่าขุนนางต้าหลี่ต่างใจหายวาบ พากันคุกเข่าลงตามฮ่องเต้
เสี่ยวเฮิงก็โขกศีรษะเช่นกัน ทว่ากล่าวอย่างระมัดระวังว่า "ท่านเซียน โปรดช่วยน้องสาวของซูด้วยเถิด"
นานทีเดียว หลี่ฟานจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้น "ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นพาข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน คราวหน้าอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก"
ทุกคนในที่นั้นต่างถอนหายใจโล่งอก
จริงๆ แล้วหลี่ฟานก็ตั้งใจจะไปดูน้องสาวป่วยหนักของซูฉางหยูอยู่แล้ว
แต่ไม่สามารถตอบตกลงได้ง่ายๆ ต่อหน้าเช่นนั้น
จึงได้แสดงท่าทีออกไปเสียก่อน
สักพักใหญ่ หลี่ฟานก็ได้เห็นซูเสี่ยวเหมยในห้องใต้ดินแห่งหนึ่ง
อุณหภูมิในห้องใต้ดินต่ำมาก ขุนนางที่ตามเข้ามาหลายคนอดสั่นเทาไม่ได้
ทารกที่ดูเหมือนจะเพิ่งเกิดได้ไม่นานนอนนิ่งอยู่บนเตียงหยกเล็กๆ
ข้างเตียงหยกกองเต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็ง
ดูเหมือนว่าร่างกายของทารกจะร้อนระอุเป็นพิเศษ จำเป็นต้องให้สาวใช้ข้างๆ คอยทุบน้ำแข็งให้แตกออกอย่างต่อเนื่อง แล้วนำไปประคบที่ตัวเพื่อลดอุณหภูมิ
เห็นฉากที่ผิดแผกแตกต่างเช่นนี้ หลี่ฟานก็หรี่ตาลง
เขาเดินเข้าไปใกล้ ปล่อยจิตสัมผัสกวาดผ่านตัวซูเสี่ยวเหมย ใบหน้าก็เครียดขึ้นมาในทันที
"พวกเจ้าถอยออกไปก่อน!"
เขาสั่งเสียงเย็น
เหล่าขุนนางจึงพากันออกจากห้องใต้ดินไป
ในห้องเหลือเพียงหลี่ฟานกับซูเสี่ยวเหมย
หลี่ฟานวางมือบนร่างอันร้อนระอุของซูเสี่ยวเหมย แยกเส้นปราณวิญญาณเล็กๆ ออกมา ส่งเข้าไปในร่างกายของนาง
หลังจากวนผ่านไปรอบหนึ่งแล้วกลับมา หลี่ฟานถึงได้แน่ใจ พร้อมเผยสีหน้าตกตะลึง
"ในร่างของซูเสี่ยวเหมยนี่ไม่มีหมอกพิษเซียนมนุษย์อยู่เลยหรือนี่?"
"แล้วนี่เป็นร่างกายแบบไหนกัน? เส้นปราณวิญญาณที่เพิ่งส่งเข้าไปในร่างนางนั่น แค่ไหลเวียนรอบหนึ่งกลับมา กลับแข็งแกร่งขึ้นได้?"
หลี่ฟานควบคุมเส้นปราณวิญญาณเส้นนั้น รวมตัวกันที่ปลายนิ้ว
คุณสมบัติแตกต่างจากปราณวิญญาณเดิมในร่างของเขาอย่างสิ้นเชิง แต่กลับมีความร้อนระอุติดมาด้วย
ทว่าไม่เหมือนกับความร้อนแรงจากเปลวไฟสีแดงที่หลี่ฟานเคยได้เห็นมาก่อน
ไม่ใช่ความร้อนจากเปลวไฟ แต่เป็น...
หลี่ฟานวิเคราะห์ก้อนปราณวิญญาณที่ปลายนิ้วอย่างละเอียด ผ่านไปนานทีเดียวกว่าจะได้ข้อสรุปคร่าวๆ
สีหน้าของเขาดูประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก
"ความร้อนจากความโกรธแค้นหรือ?"
หลี่ฟานมองซูเสี่ยวเหมยที่ยังคงหลับใหล สีหน้าเผยความรู้สึกแปลกๆ ออกมา
"นี่จะใช่สิ่งที่เรียกว่าร่างเซียนแต่กำเนิด คนที่ฟ้าริษยาอิจฉาในตำนานหรือไม่นะ?"
สองชาติที่ก้าวเข้าสู่ยุทธภพ ทำให้หลี่ฟานไม่ใช่มือใหม่ที่ไม่รู้อะไรอีกต่อไป
เขายังพอรู้เรื่องสามัญทั่วไปของยุทธภพอยู่บ้าง
ก่อนอื่นเรื่องร่างเซียนแต่กำเนิด
ทุกคนต่างรู้กันว่า มนุษย์ในยุทภพตั้งแต่เกิดมาก็มีหมอกพิษเซียนมนุษย์อยู่ในร่างกายแล้ว หากอยากฝึกเซียนก็ต้องกำจัดหมอกพิษในร่างให้หมดสิ้น
แต่ถ้าสองผู้ฝึกเซียนร่วมหอลงโรง ก็มีโอกาสที่จะให้กำเนิดทายาทที่ไม่มีหมอกพิษเซียนมนุษย์ในร่างกาย
คนกลุ่มนี้ก็เรียกว่าร่างเซียนแต่กำเนิด
ร่างเซียนแต่กำเนิดมีความเข้ากันได้ดีกับคัมภีร์วิชาและเทคนิคเซียนต่างๆ เป็นพิเศษ
พรสวรรค์ในการฝึกเซียนก็สูงมากเช่นกัน
เมื่อผสานกันแล้ว ก็ทำให้ร่างเซียนแต่กำเนิดไม่เพียงฝึกฝนได้เร็วน่ากลัว
แต่เวลาใช้คัมภีร์วิชายังได้รับพลังเสริมตามธรรมชาติด้วย
ไม่มีทางเทียบเคียงกับผู้ฝึกเซียนทั่วไปได้เลย
ถือว่าเป็นลูกรักสวรรค์อย่างแท้จริง
หลายตำนานในทวีปอันไกลโพ้น ที่ว่ามีคนฝึกเซียนได้เพียงแค่สิบกว่าปีก็ก่อเกิดแก่นทองคำได้ ก็ล้วนเกิดจากร่างเซียนแต่กำเนิดเหล่านี้ทั้งนั้น
แล้วก็เรื่องคนที่ฟ้าริษยา
ในยุทธภพนั้นมีคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีพลังเหนือธรรมชาติมาตั้งแต่กำเนิด
เช่นบางคนเกิดมาพร้อมกับดวงตาที่สาม สามารถมองทะลุความลวงได้
บางคนเกิดมาพร้อมกระดูกประหลาด มีศักยภาพไร้ขีดจำกัด พลังชีวิตแทบไม่มีวันเสื่อมสิ้น
หรือบางคนเกิดมาพร้อมความสามารถในการควบคุมน้ำ ไฟ ฟ้าผ่า เป็นต้น
คนที่เกิดมาพร้อมพลังเหนือธรรมชาติเช่นนี้ มักจะได้รับการริษยาจากสวรรค์อย่างหนักหนาสาหัส ตามแต่ระดับความแข็งแกร่งของพลังที่มี
นับตั้งแต่เกิดก็จะเผชิญเคราะห์กรรมอันยากลำบากติดตามมาด้วย
หากสามารถผ่านเคราะห์กรรมต่างๆ ไปได้ ก็จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นหลังผจญภัย
แต่หากทนไม่ไหว ก็ย่อมตายไป พร้อมกับพลังเหนือธรรมชาติที่มีมาแต่กำเนิด
นี่คือข้อจำกัดที่สวรรค์วางไว้สำหรับคนกลุ่มนี้ และเป็นบททดสอบด้วยเช่นกัน
ความเร็วในการฝึกฝนของคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติอาจจะไม่ได้เร็วมากนัก
แต่เวลาต่อกรกับผู้อื่น มักจะเป็นผู้ที่ไร้คู่ต่อกรในระดับเดียวกันเสมอ
แถมยังมีคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติแข็งแกร่งมากๆ ไม่น้อย ที่สามารถฆ่าผู้ฝึกเซียนระดับเดียวกันได้ง่ายราวกับฆ่าไก่ แม้แต่ข้ามไปหนึ่งขั้นใหญ่ก็ยังสู้ได้
คนพวกนี้ในยุทธภพต่างก็โด่งดังน่าเกรงขาม มีผลงานโดดเด่นเป็นที่เลื่องลือ
ทั้งสองกลุ่มนี้ต่างก็หายากยิ่ง มีไม่ถึงหนึ่งในหมื่นแสนเลย
แล้วตอนนี้หลี่ฟานเห็นอะไร?
สองอย่างนี้ กลับมาปรากฎอยู่ในร่างทารกคนเดียวกัน!
ไม่มีหมอกพิษเซียนมนุษย์ในร่างเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นร่างเซียนแต่กำเนิด
แม้ไม่รู้ว่าทำไมร่างเซียนแต่กำเนิดที่ต้องให้กำเนิดจากการร่วมหอลงโรงของสองผู้ฝึกเซียนจึงจะได้ ถึงได้โผล่มาในโลกเล็กที่เต็มไปด้วยมนุษย์เช่นนี้
แต่หลี่ฟานมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้มองผิด
ส่วนพลังที่เผาไหม้ร่างของซูเสี่ยวเหมยอยู่ตลอดเวลานั้น ก็น่าจะเป็นพลังเหนือธรรมชาติของนาง
หลี่ฟานคาดเดาว่า ร่างกายของนางน่าจะสัมพันธ์กับอารมณ์โกรธแค้น
ยิ่งโกรธมากเท่าไร พลังของตัวเองก็จะยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น
จนกระทั่งความโกรธแค้นเผาทำลายตัวเองและศัตรูกลายเป็นเถ้าถ่าน
ส่วนสภาพร่างกายที่ร้อนแรงของซูเสี่ยวเหมยในตอนนี้ ก็น่าจะเกิดจากการที่พลังเหนือธรรมชาติเสียการควบคุม ไม่สามารถควบคุมความโกรธในใจได้อีกต่อไป
"ร่างเซียนแต่กำเนิด คนที่ฟ้าริษยา ไม่แปลกเลยที่เพิ่งเกิดก็ต้องเผชิญเคราะห์กรรมเช่นนี้"
"ในสภาพที่ไฟโทสะเผาผลาญชีวิตในร่างตัวเองไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ ต่อให้หลบซ่อนอยู่ในห้องน้ำแข็งทั้งวัน ซูเสี่ยวเหมยก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดจนโตเป็นผู้ใหญ่แน่"
"ไม่แปลกเลย ที่ในชาติก่อนซูฉางหยูถึงได้ร้อนรนขนาดนั้น ถึงกับยอมให้ตัวเองกลายเป็นหนูทดลองของหมอกพิษเซียนมนุษย์ เพื่อที่จะได้กลายเป็นผู้ฝึกเซียนโดยเร็วที่สุด"
"ในสายตาของเขา การได้เป็นเซียนในตำนานอาจจะช่วยชีวิตน้องสาวได้ก็ได้"
"แต่น่าเสียดาย..."
หลี่ฟานมองซูเสี่ยวเหมย แล้วภูตเปลวไฟสีฟ้าในทะเลจิตก็ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลอย่างกะทันหัน
"ถ้าไม่ได้เจอข้า ต่อให้เป็นผู้ฝึกขั้นแก่นทองคำมา ก็คงรักษาชีวิตนางไว้ไม่ได้แน่"
ร่างจางๆ สีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้นตรงหน้าหลี่ฟาน
เขาเหมือนหมอกบางๆ ค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้ร่างกายเล็กๆ ของซูเสี่ยวเหมย
ยื่นมือไปแตะที่หัวของซูเสี่ยวเหมย
ความร้อนระอุบนร่างของทารกหายไปอย่างเชื่องช้า
คิ้วที่ขมวดแน่นคลายออก ซูเสี่ยวเหมยจุ๊ปากเบาๆ แล้วค่อยๆ พลิกตัว