MDB ตอนที่ 428 มุ่งสู่ทางใต้พันไมล์, ภูเขากู่คอง
หวังตู้จื่อรับรู้ถึงหยาดฝนที่หยดลงมาตามร่างกายของเขา ตอนแรกก็รู้สึกจั๊กจี้ แต่สิ่งที่ตามมาคือคลื่นแห่งความอบอุ่นอันแสนปลอบโยน
ราวกับว่าเขาแช่อยู่ในอ่างน้ำอุ่น
แม้แต่สัตว์เลี้ยงของเขา อีแร้งที่น่ารังเกียจก็ยังรู้สึกสบายใจเช่นเดียวกัน
สัตว์เลี้ยงของหวังตู้จื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อหลายปีก่อน ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ แต่ยังมีพิษสะสมอยู่ในร่างกายเนื่องจากการกินอาหารที่เป็นเนื้อเน่า
แม้ว่าเนื้อเน่า ๆ พวกแร้งจะกินเป็นแกติ แต่ปัจจัยที่ทำให้อาการรุนแรงขึ้นก็คืออาการบาดเจ็บของมัน พวกมันขัดขวางความสามารถในการระงับสารพิษ และเป็นสาเหตุของความเจ็บปวดแสนสาหัสเป็นเวลาหลายปี
หวังตู้จื่อเองก็ต้องอดทนต่อความทุกข์ทรมานเช่นกัน ต้องขอบคุณพันธสัญญาโลหิตของพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถผ่านมาได้หลายปี
แต่อย่างไรก็ดี ความเจ็บปวดที่สั่งสมมานาน ได้ทำให้ร่างกายของเจ้าแร้งทรุดโทรมอย่างต่อเนื่อง จนทำให้รูปร่างหน้าตาของมันจึงน่าเกลียดน่ากลัวเยี่ยงนี้
เมื่อมีสารพิษสะสมในร่างกายของมนุษย์หรือสัตว์วิเศษมากเกินไป พวกมันจะเริ่มมีรูปร่างผิดปกติ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ได้รับการแก้ไขด้วยฝนพลังวิญญาณ หลังจากร่างกายเปียกโชก อาการบาดเจ็บเรื้อรังของพวกเขาจะค่อย ๆ จางหายไป และสารพิษก็ถูกขับออกจากร่างกายเช่นเดียวกัน
แม้แต่เต่าเฒ่าก็ยังตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น ก่อนหน้านี้เขาได้รับการรักษาโดยชางเอ๋อร์ และผลการรักษาจะสำเร็จด้วยดี แต่สัตว์เลี้ยงของเต่าเฒ่าก็ยังคงอ่อนแอและแห้งเหี่ยว
แต่ด้วยฝนพลังวิญญาณนี้ทำให้เต่าเฒ่าและสัตว์เลี้ยงของเขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขาฉีกผ้าเสื้อออกไปพร้อมกับมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และเพลิดเพลินไปกับการรักษา
แม้จะมองด้วยตาเปล่า เขาก็สามารถเห็นเต่าโตขึ้นทีละน้อย
ก่อนหน้านี้มันสูงเพียงถังเหล็ก แต่เพียงไม่กี่วินาที มันก็สูงเป็นครึ่งหนึ่งของมนุษย์ ดูเหมือนว่ามันจะสามารถรองรับน้ำหนักของผู้ชายที่โตแล้วได้สามถึงห้าคนได้อย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่าเฒ่าเต่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของคู่หูของเขา
มาดามผีเด็กเดินเข้ามาตรงเบื้องหน้าฝูงชน และเริ่มป่าวประกาศ
“นี่คือความมหัศจรรย์ของภัณฑารักษ์! อย่างที่พวกเจ้าเห็น ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ภัณฑารักษ์ทำไม่ได้!”
มาดามผีเด็ก ชายโลงศพ และเต่าเฒ่าเคยได้รับการเคารพในฐานะเทพหลิงหนานทั้งห้า พวกเขามีความสัมพันธ์แนบแน่นราวกับพี่น้องร่วมสายเลือด
แต่ด้วยเหตุการณ์บางอย่าง หนึ่งในนั้นจึงเสียชีวิต ส่วนที่เหลือได้รับบาดเจ็บสาหัส หลายทศวรรษต่อจากนั้น พวกเขาใช้ชีวิตด้วยความทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่อง
หากผีเด็กไม่ได้รับการรักษาจากภัณฑารักษ์ เฒ่าเต่าก็คงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้ และชายโลงศพเองก็ต้องยอมจำนนต่อพิษบาดแผลของเขาเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เฒ่าเต่าได้พบกับภัณฑารักษ์ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด จากนั้น เขาก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้
“ผีเด็ก โลงผุ พวกเจ้าจำตำนานเต้าจวินเมื่อสมัยก่อนได้หรือไม่?”
‘เต้าจวิน!?’
ยอดฝีมือชั่วร้ายทุกคนตกตะลึงเมื่อได้ยินชื่อนี้
ไม่มียอดฝีมือชั่วร้ายคนใดที่จะลืมชื่อของเต้าจวินได้ ท้ายที่สุดแล้ว เขาคือผู้ที่ก่อตั้งการจัดอันดับเมื่อหลายร้อยปีก่อน และในชุมชนวายร้าย เต้าจวินเป็นเหมือนบรรพบุรุษของพวกเขา
ย้อนกลับไปตอนที่เขายังอยู่ เขาได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นยอดฝีมือชั่วร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนโลก
“เป็นที่รู้กันว่าเต้าจวินสวมหน้ากากทุกที่ที่เขาไป เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าภัณฑารักษ์มีความเชื่อมโยงกับเต้าจวิน”
เฒ่าเต่าเป็นคนตรงไปตรงมา ดังนั้นเขาจึงบอกสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกไป โดยไม่ผ่านการคัดกรอง
มันเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือชั่วร้ายระดับสูงก็ไม่เคยพบกับเต้าจวินแม้แต่ครั้งเดียว
ถึงกระนั้นก็มีตำนานมากมายเกี่ยวกับบุคคลนี้
“ข้าก็ทราบถึงตำนานนี้เช่นกัน และเมื่อได้เห็นภาพวาดของเต้าจวิน เป็นเรื่องจริงที่เขามักจะสวมหน้ากากที่มีคำว่า 'เต้า' เขียนไว้เสมอ เท่าที่ข้ารู้ ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขามาก่อน”
หนึ่งในยอดฝีมือชั่วร้ายพูดแทรกเข้ามา
หน้ากากที่มีคำว่า 'เต้า' เขียนอยู่
มันเป็นหน้ากากสีขาวที่มีคำว่า 'เต้า' เขียนอย่างลวก ๆ ด้วยหมึกสีดำ นั่นคือสาเหตุที่เต้าจวินได้รับฉายามา มันเป็นเพราะหน้ากากที่เขาสวม
“มันเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น เพราะหน้ากากของภัณฑารักษ์มีเพียงลวดลายของสัตว์วิเศษเท่านั้น”
อีกาดำกล่าวและฝูงชนพยักหน้าเห็นด้วย ท้ายที่สุดแล้ว เต้าจวินผู้โด่งดังก็อยู่แค่ในชุมชนวายร้ายของพวกเขา ถึงเขาจะเป็นบุคคลที่มีอยู่จริงเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่สิ่งวีรกรรมต่าง ๆ ของเขา มันอาจถูกอุปโลกน์ขึ้นมาก็ได้ แต่ภัณฑารักษ์นั้นมีอยู่จริง
“เอาล่ะ หวังตู้จื่อ เจ้าช่วยบอกเบาะแสมาก่อนหน้านี้มาให้เราที เรายังห่างไกลจากความแน่ใจว่าภัณฑารักษ์จะพบเป้าหมายที่เขากำลังมองหาอยู่ วานรยักษ์ขาวตัวนั้นเป็นศิษย์ใหญ่ของภัณฑารักษ์ และตอนนี้เขาหายตัวไป ตอนนี้เราได้รับรางวัลจากภัณฑารักษ์แล้ว ข้าจึงขอเสนอให้เราออกไปร่วมค้นหาด้วยเช่นกัน เพื่อจะได้มีความคืบหน้าเร็วขึ้น”
มาดามผีเด็กแนะนำ
ฝูงชนเห็นด้วยกับข้อเสนอของเธอทันที
พระภิกษุในวัดต้าหลัวไม่อาจมีความสุขไปกว่านี้อีกแล้วที่ได้ยินเรื่องนี้ เพราะมันส่งสัญญาณการจากไปของยอดฝีมือชั่วร้าย และมีแนวโน้มว่าจื่อหยินจะอยู่กับลิงขาว ดังนั้นหากพบลิงตัวนี้ มันก็จะนำไปสู่คนของพวกเขาเหมือนกัน
หลังจากกลุ่มพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็แยกย้ายกันไป...
ในเวลาเดียวกันนั้นเองที่หลินจินกำลังก้าวเท้าเข้าไปในเมืองฉีหลง
เมืองนี้เป็นจุดตัดระหว่างสามทวีปที่แตกต่างกัน จึงทำให้ที่นี่เป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ น่าแปลกที่มันอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศขนาดกลางซึ่งไม่มีอำนาจเลย กำแพงโทรมของเมืองฉีหลงสะท้อนถึงสถานะของชาติที่ปกครองมัน ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อค้าที่เดินผ่านสถานที่นี้ เมืองนี้อาจจะไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก
ทหารรักษาเมืองเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงอย่างน่าประหลาดใจ แม้ชุดเกราะของพวกเขาอาจเป็นสนิมและทรุดโทรม แต่การแสดงออกของพวกเขาเคร่งขรึมและตื่นตัว ดาบของพวกมันแหลมคม และหอกขัดเงาของพวกมันก็แวววาวภายใต้แสงแดด
ด้วยหน้ากากบนใบหน้าของเขาและชางเอ๋อร์ในอ้อมแขนของเขา พวกทหารรักษาเมืองคงจะไม่ยอมให้เขาเข้าเมือง เนื่องด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแอบเข้าไปในเมืองด้วยวิธีการพรางตัว
ด้วยเหตุนี้ คนทั่วไปจะไม่สังเกตเห็นเขาเลย
เมืองฉีหลงไม่ใหญ่นัก ดังนั้นเขาจึงไปถึงอีกฟากของเมืองได้ในเวลาไม่นาน หากใครต้องวนรอบเมือง หนึ่งชั่วโมงก็เกินพอแล้ว หากพวกเขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วของหลินจิน เวลาที่ใช้ก็จะลดลงจนไม่กี่อึดใจ
เมื่อเข้าไปในเมือง หลินจินก็ได้รับการยืนยันว่าวานรยักษ์ขาวคือลิงขาวตัวน้อยที่หวังตู้จื่อบรรยายไว้
เขาแน่ใจเพราะชางเอ๋อร์ได้กลิ่นอายของออร่าสัตว์ปีศาจของวานรยักษ์ขาว
แม้ว่าจะเป็นกลิ่นอายอันเบาบาง แต่เธอค่อนข้าแน่ใจว่ามันเป็นของเขา
สิ่งนี้ทำให้หลินจินตื่นตัวเต็มที่ในทันที
ตามที่หวังตู้จื่อกล่าว ลิงขาวมีเชือกผูกรอบคอของเขาโดยนักพรตลัทธิเต๋า ซึ่งถูกจูงไปรอบ ๆ ราวกับว่าเขาเป็นสุนัข
พร้อมกับมีจื่อหยินเดินตามหลังพวกเขาไป
มีคำอธิบายที่หลินจินสามารถนึกขึ้นได้ อย่างแรก นักลัทธิเต๋าเฒ่าเป็นคนที่มีความสามารถสูงที่สามารถเอาชนะทั้งวานรยักษ์ขาวกับจื่อหยินได้ ทั้งสองจังถูกตัวเป็นเชลยของเขา
และความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือ นักพรตลัทธิเต๋ากับจื่อหยินร่วมมือกันจับวานรยักษ์ขาว
ทั้งสองนี้เป็นคำอธิบายที่หลินจินพบว่าเป็นไปได้มากที่สุด แต่ไม่ว่าจะในกรณีไหน เขาก็ไม่ควรประมาทนักพรตลัทธิเต๋า จากการเดาของหลินจิน อีกฝ่ายต้องแข็งแกร่งพอ ๆ กับพระอธิการคนหนึ่งของวัดต้าหลัว
หลินจินต้องระวังตัวให้ดี
ด้วยกลิ่นอายของวานรยักษ์ขาว ชางเอ๋อร์จึงพาหลินจินไปที่โรงเตี๊ยม
มีลูกค้าไม่มากนักที่โรงเตี๊ยม จากโต๊ะที่มีอยู่ไม่กี่โต๊ะ ครึ่งหนึ่งของทั้งหมดว่างเปล่า อย่างไรก็ตาม มีโต๊ะตัวหนึ่งวางไวน์หนึ่งขวด และพู่กันอันหนึ่งวางอยู่ข้างจดหมาย
โต๊ะตรงนั้นมีออร่าของวานรยักษ์ขาวอยู่ เมื่ออยู่ใกล้เช่นนี้ แม้แต่หลินจิน ก็สามารถสัมผัสได้
เมื่ออ่านจดหมาย ใบหน้าของหลินจินก็ขมวดคิ้ว
มีประโยคไม่กี่ประโยคที่เขียนอยู่บนกระดาษ
เมื่อคำถูกเขียนด้วยพลังวิญญาณ มันจะปรากฏเป็นกระดาษเปล่าสำหรับคนทั่วไป มีเพียงผู้ที่ทำการบ่มเพาะแบบหลินจินเท่านั้นที่สามารถอ่านเนื้อหาได้
แทนที่จะแปลกใจกับสิ่งนี้ หลินจินกลับตกใจกับสิ่งที่เขียนลงไปซะมากกว่า
“มุ่งหน้าไปทางใต้นับพันไมล์ ไปยังภูเขากู่คอง ข้าจะรอเจ้ารอชมสิ่งที่น่าสนใจจากเจ้า! - นักพรตลัทธิเต๋า”
แม้ว่าจดหมายจะไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าข้อความนี้ส่งถึงใคร แต่หลินจินแน่ใจว่ามันส่งมาให้เขา
มันเป็นเพราะพู่กันที่วางอยู่ข้างกระดาษ ขนแปรงทำจากขนของวานรยักษ์ขาว และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงต้องมาที่นี่ตั้งแต่แรก
ดูเหมือนว่า ถ้อยคำในจดหมายนี้ มันจะถูกเขียนโดยใช้ขนของวานรยักษ์ขาว!!!