บทที่ 69 ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง
ก่อนจะเข้าปลีกวิเวก หลี่ฟานตั้งค่าคะแนนผลงานขั้นต่ำไว้ที่ 100 คะแนน
เมื่อต่ำกว่าจำนวนนี้ โหมดช่วยฝึกฝนจะถูกบังคับให้หยุดลง
เหมือนกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก หลี่ฟานรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ โชคดีที่อารมณ์นี้ถูกข่มลงได้อย่างรวดเร็ว
"คะแนนผลงานนี่ใช้ไปเร็วเกินไปแล้ว"
เหมือนเพิ่งจะถือเงินก้อนถึงสามพันกว่าคะแนนอยู่เมื่อวาน แต่พริบตาเดียวก็หมดเกลี้ยงอีกแล้ว
"ยังเหลือเวลาอีกราวๆ สองปีกว่าวิหารอวิ๋นสุ่ยจะเปิด ก่อนหน้านี้ยังต้องหาวิธีเก็บคะแนนผลงานเพิ่มพลังให้แข็งแกร่งขึ้นอีก"
จากนั้นก็เริ่มเลือกดูหน้าภารกิจในกระจกเทียนเสวียนอีกครั้ง
หลี่ฟานเลือกที่จะข้ามภารกิจที่พันธมิตรหมื่นเซียนประกาศออกมาโดยตรง
เมื่อถึงขั้นฝึกปราณระยะปลายแล้ว ภารกิจทางการที่รับได้ยังคงเป็นภารกิจที่ได้ผลตอบแทนน้อยแต่ไม่ค่อยมีความเสี่ยงเท่าไร
เช่น ช่วยเป็นผู้ช่วยปรุงยา ผลิตอุปกรณ์ หรือจารยันต์ หรือไม่ก็ช่วยซ่อมแซมตรวจสอบวงจรอาคมจากทะเลชงอวิ่นทั่วทุกหนแห่ง ฯลฯ
การันตีความปลอดภัย แต่ได้คะแนนผลงานช้าเกินไป
หากหลี่ฟานมีใจจะเรียนรู้การปรุงยา ผลิตวัตถุ งั้นก็อาจจะยอมรับพิจารณาได้
แต่ในเมื่อวิหารอวิ๋นสุ่ยจะเปิดแล้ว ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือต้องหา "บันทึกภาพอวิ๋นสุ่ย" มาให้ได้ก่อน
น่าเสียดายที่ครั้งนี้ดูเหมือนหลี่ฟานจะโชคไม่ค่อยดีเท่าไร
มองดูอยู่นาน ก็ไม่เจอภารกิจที่ถูกใจซักที
คิดสักพักแล้วหลี่ฟานก็หยิบยันต์สื่อสารที่เหอเจิ้งเฮ่าให้ออกมา ส่งข้อความไปหาเขา
"ขอถามท่านเหอ มีวิธีเก็บคะแนนผลงานอย่างรวดเร็วหรือไม่? ข้าดูในกระจกเทียนเสวียนอยู่นาน ส่วนใหญ่ค่าตอบแทนของภารกิจมีแค่ไม่กี่สิบคะแนน แต่ข้าฝึกฝนวันเดียวก็ต้องใช้ไปถึงสามสิบคะแนนแล้ว แบบนี้เมื่อไรจะแลกซื้อคัมภีร์ฝึกฝนขั้นสร้างฐานได้กัน"
หลี่ฟานพูดด้วยน้ำเสียงบ่นเล็กน้อย
ส่งข้อความเสร็จ หลี่ฟานก็วางยันต์สื่อสารไว้ที่ข้างๆ
หลี่ฟานรอคอยคำตอบจากเหอเจิ้งเฮ่าด้วย ขณะเดียวกันก็เริ่มฝึกฝนด้วย
แม้จะไม่มีเม็ดไข่มุกช่วย ความเร็วในการฝึกฝนก็ช้าลงไปมาก แต่โดยรวมก็ยังคงค่อยๆ พัฒนาไปได้เรื่อยๆ
แบบนี้ผ่านไปอีกสามวัน ในที่สุดเหอเจิ้งเฮ่าก็ส่งข้อความตอบกลับมา
"ฮ่าๆๆ พวกเราพันธมิตรหมื่นเซียนก็เป็นแบบนี้แหละ ผู้ฝึกเซียนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาหลายปีต่อสู้ดิ้นรน กว่าจะแลกได้คัมภีร์หนึ่งเล่ม ทุกคนก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น"
"แต่ว่า..."
เหอเจิ้งเฮ่าเปลี่ยนเรื่องแล้วพูดต่อ "ในเมื่อท่านเป็นคนที่ข้าแนะนำให้เข้ามา ข้าก็ย่อมต้องช่วยท่านหน่อยแหละ"
"อย่างไรข้าก็หวังว่าท่านจะเข้าสู่ขั้นสร้างฐานให้ได้เร็วๆ นี้!"
"แต่ว่า เรื่องนี้ไม่สะดวกจะพูดทางยันต์สื่อสารหรอก หากท่านยินดี ก็แวะมาที่เกาะหลิ่วหลี่สักหน่อยสิ เราค่อยคุยกันให้ชัดๆ"
...
แต่เดิมหลี่ฟานก็แค่ลองถามดูเล่นๆ ไม่คิดว่าเหอเจิ้งเฮ่าจะตอบตกลงอย่างรวดเร็วขนาดนี้
"ถือเป็นฝนตกต้องตามฤดูจริงๆ แต่ก็ต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ..." นึกถึงที่เหอเจิ้งเฮ่าทั้งสองชาติก่อนหน้านี้ก็ยังคงใจกว้างกับทุกๆ คนอยู่ตลอด ถือเป็นเรื่องผิดปกติในหมู่ผู้ฝึกเซียนเลยทีเดียว หลี่ฟานครุ่นคิดอย่างใคร่ครวญ
แล้วไม่รอช้า ก็ออกจากกระจกเทียนเสวียนทันที มุ่งหน้าสู่เกาะหลิ่วหลี่
วงกตอาคมปกป้องเกาะหลิ่วหลี่ เหอเจิ้งเฮ่านั่งจิบชาอยู่ในศาลาบนยอดเขา เหมือนรอคอยมาเป็นเวลานานแล้ว
"ดูเหมือนท่านจะอดใจรอไม่ไหวแล้วสินะ" เหอเจิ้งเฮ่าเห็นหลี่ฟานแล้วหัวเราะเสียงดัง
เขาปรบมือ แล้วภูเขาใต้เท้าของทั้งสองก็เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมา
ต่อมา หลี่ฟานก็เห็นภาพมหัศจรรย์ที่เทือกเขาโดยรอบค่อยๆ ลอยตัวขึ้นสูง
แต่ไม่นาน หลี่ฟานก็ตระหนักได้
ไม่ใช่ภูเขาอื่นๆ กำลังลอยขึ้น แต่เป็นภูเขาที่เขายืนอยู่กำลังจมลง
ภูเขาจมตัวลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาถึงใต้ระดับพื้นดิน มายังพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหมอกสีเงินปกคลุม
หลี่ฟานเงยหน้าขึ้นมอง เทือกเขาต่อเนื่องในวงกตอาคมปกป้องเกาะ ตอนนี้เหมือนกลุ่มดาวที่ลอยอยู่เหนือหัว
ภูเขาและธารน้ำกระจัดกระจายอยู่ แต่กลับดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระเบียบเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกัน
ดูเหมือนอยู่นิ่ง แต่ก็กำลังหมุนวนอยู่ตลอดเวลา
เหอเจิ้งเฮ่ามองสีหน้าของหลี่ฟานแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ "ท่านว่าวงจรอาคมดาวเทียมของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?"
หลี่ฟานในชาติก่อนก็ไม่เคยเห็นสภาพที่แท้จริงของวงอาคมปกป้องเกาะหลิ่วหลี่ พอได้เห็นในครั้งนี้ก็พูดออกมาอย่างจริงใจว่า "วงจรอาคมดาวเทียม...ช่างวิเศษยิ่งนัก แต่ทำไมวงอาคมปกป้องเกาะหลิ่วหลี่นี่ดูเหมือนจะ..."
เหอเจิ้งเฮ่ารู้ว่าหลี่ฟานจะถามอะไรแล้ว ยิ่งภูมิใจมากขึ้น "นั่นก็เพราะว่าวงอาคมของเกาะหลิ่วหลี่นี่ข้าสร้างขึ้นเองทั้งหมด มันจึงแตกต่างจากเกาะอื่นๆ นั่นเอง"
หลี่ฟานตกใจในทันใด "ไม่นึกเลยว่าท่านจะเชี่ยวชาญทางด้านอาคมด้วย?"
แต่ก็สงสัยอยู่บ้าง "วงจรอาคมดาวเทียมใหญ่โตขนาดนี้ ท่านอยู่แค่ขั้นสร้างฐานก็สร้างมันได้เชียวหรือ?"
เหอเจิ้งเฮ่าไอแล้วพูดด้วยท่าทางจริงจัง "ก็มีคนคอยช่วยอยู่ข้างๆ แต่การวางผังวงจรอาคมนี่ข้าเป็นคนหลักจริงๆ"
"ไม่ปิดบังท่านหรอก สมบัติวิเศษที่ข้าใช้สร้างฐานนั่นคือแผนที่ระบบภูเขาและธาระน้ำร้อยสายหนึ่ง เพราะเหตุนี้ ข้าจึงมีพรสวรรค์ด้านอาคมที่ผู้ฝึกเซียนทั่วไปไม่อาจเทียบได้ หากพูดถึงแต่อาคมโดยไม่เอ่ยถึงระดับพลัง แม้แต่ผู้วางอาคมขั้นหล่อหลอมร่างทารกธรรมดาก็อาจเทียบไม่ติดข้า" เหอเจิ้งเฮ่ากล่าวอย่างเต็มไปด้วยความมั่นใจ
"อย่างนี้นี่เอง..." หลี่ฟานพยักหน้า แล้วก็ถามต่ออีก "ไม่ทราบว่าที่ท่านพูดถึงคือเรื่องอะไรกันแน่? จึงต้องทำเป็นความลับขนาดนี้"
เหอเจิ้งเฮ่ายิ้มแป้นแล้วตอบว่า "ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตหรอก แค่ค่อนข้างผิดข้อห้ามนิดหน่อย"
"ท่านรู้ไหม หลายปีก่อน พวกมนุษย์ในยุทธภพถูกเนรเทศไปยังโลกเล็กๆ ที่อยู่รอบนอกกันหมด?"
หลี่ฟานหรี่ตาลง "ก็เคยได้ยินคร่าวๆ"
เหอเจิ้งเฮ่าพูดต่อไป "จริงๆ แล้วในโลกเล็กๆ พวกนั้น มีของมีค่าอยู่ไม่น้อย แลกเป็นคะแนนผลงานได้เยอะเลย แต่ถ้าจะให้คนเดียวไปเก็บรวบรวม ค่อนข้างเสียเวลาและแรงเกินไป ไม่คุ้มเท่าไร"
"แต่ว่า พวกมนุษย์ที่มีอำนาจมีอิทธิพลในโลกเล็กๆ นั้นมักจะหาทางกลับมายุทธภพให้ได้ ดังนั้น..."
หลี่ฟานเข้าใจแล้วว่าเหอเจิ้งเฮ่าต้องการจะทำอะไร "ดังนั้น?"
"เราสามารถใช้เรื่องนี้เป็นเงื่อนไข ให้พวกมนุษย์ช่วยเราเก็บของต่างๆ พอดีข้ารู้จักโลกเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เรียกว่าต้าหลี่ ข้างในกว้างใหญ่มาก มีสมบัติล้ำค่าผลิตออกมาหลายอย่าง แม้กระทั่งทรายร่วงทะเลดาวก็มีไม่น้อย"
"ทรายร่วงทะเลดาวเป็นวัตถุดิบธรรมดาที่ใช้ในการวางอาคม ราคาต่อหนึ่งชั่งมักอยู่ระหว่างสองถึงสามคะแนนผลงาน..."
เหอเจิ้งเฮ่าพูดอธิบายอย่างไม่หยุดไม่หย่อน แต่กลับรู้สึกว่าสายตาของหลี่ฟานที่มองเขานั้นแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ ก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาไม่ได้
จึงรีบพูดต่อ "อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสิ ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่"
"ผู้ฝึกเซียนผู้สง่างาม ไฉนจะยอมไปทำเรื่องเช่นนี้ได้ ใช่ไหม"
"แต่ท่านไม่รู้หรอก ว่าเรื่องพรรค์นี้ ถ้าท่านไม่ทำ ก็ย่อมมีคนอื่นไปทำอยู่ดี"
"โลกเล็กหนึ่งโลก เก็บกวาดสิบกว่าปีต่อครั้ง ก็ได้คะแนนผลงานมากกว่าสองพันแล้ว ให้มีโลกแบบนี้มาอีกหลายๆ โลก มันก็เท่ากับว่าทุกปีจะได้รับคะแนนผลงานฟรีๆ มากกว่าสองพันคะแนนไม่ใช่หรือ?"
"เห็นไหม พอข้าอธิบายให้ฟังแบบนี้แล้ว ท่านก็คิดว่ามันมีเหตุผลขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ?"