บทที่ 17 : เจ้าหุบปากได้หรือไม่?
บทที่ 17 : เจ้าหุบปากได้หรือไม่?
หลังจากที่นั่งอยู่ในห้องได้สักพัก แม่เซียวก็เดินออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม
วันนี้ สือชิงลั่วตื่นแต่เช้าและรู้สึกง่วงงุน
นางเดินไปล้างตัวและกลับมาที่ห้องของพวกเขาเพื่อทำที่นอน แล้วก็หันไปเห็นเตียงเล็กที่มุมหนึ่งของห้อง
นางไม่คิดที่จะทรมานตนเอง
นางจึงเดินขึ้นไปนั่งบนเตียงของเซียวหานเจิงและถามว่า “เจ้าจะนอนด้านในหรือด้านนอก?”
เซียวหานเจิงประหลาดใจกับการตัดสินใจของสือชิงลั่ว
เขาหัวเราะเบาๆและพูดว่า “ข้าคิดว่า เจ้าจะให้ข้าไปนอนบนเตียงเล็กๆเสียอีก”
สือชิงลั่วพูดอย่างขุ่นเคือง “หากว่าตอนนี้เจ้าไม่ใช่คนป่วยละก็ ข้าย่อมต้องให้เจ้าไปนอนบนเตียงเล็กแน่”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณเจ้าแล้ว” เซียวหานเจิงไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
สือชิงลั่วโบกมือ “ด้วยความยินดี”
“ทำไมเจ้าไม่มานอนด้านนอกล่ะ?”
เซียวหานเจิงไม่ว่าอะไร “ได้สิ!”
ดังนั้น สือชิงลั่วจึงถอดรองเท้าและข้ามขาของเขาเพื่อเข้าไปนอนด้านในของเตียง
เตียงของเซียวหานเจิงกว้างประมาณ 1.8 เมตร
ทั้งสองต่างก็มีรูปร่างผอมบาง ดังนั้น เตียงด้านที่สือชิงลั่วนอนจึงมีพื้นที่เหลือเยอะ
นางคลุมตัวด้วยผ้าห่มและมองไปทางเซียวหานเจิง “เจ้าไม่นอนเหรอ?”
เซียวหานเจิงรู้สึกว่านางใจกล้ามาก “เจ้าไม่กลัวเหรอว่าข้าจะทำอะไรเจ้า?”
สือชิงลั่วกรอกตา “ขอเถอะ สภาพร่างกายของข้าที่ดูไม่ต่างจากถั่วงอก ทั้งผอมซูบและเหลืองซีด สภาพของข้าย่ำแย่เช่นนี้ เจ้ายังมีอารมณ์ทำมันอยู่อีกหรือ?”
เซียวหานเจิงอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น”
ทำไมเด็กสาวคนหนึ่งถึงได้กล้าพูดถึงตัวเองเช่นนี้?
สือชิงลั่วเลิกคิ้วและมองเซียวหานเจิง
นางยังคงยิ้มอยู่ “ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยร่างกายที่อ่อนแอของเจ้าที่แค่ลมพัดก็ล้ม ถึงเจ้าคิดจะทำ แต่เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะทำได้?”
เซียวหานเจิงที่เดิมกำลังยิ้มอยู่ก็มีสีหน้าดำคล้ำ
สตรีนางนี้ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน นางกล้าสงสัยความสามรถของเขา...
เขาจึงอธิบายออกไปว่า “ก่อนที่ข้าจะป่วย ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก”
สือชิงลั่วหาวอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงเจ้าจะกลับไปแข็งแรงเหมือนแต่ก่อน แต่เจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรบ้าๆหากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า หากเจ้ากล้าล่วงเกินข้า ข้าจะทุบหัวเจ้าเสีย”
“ข้าจะนอนแล้ว เชิญเจ้าตามสบาย!” จากนั้น นางก็ม้วนผ้าห่ม แล้วหลับตาหันหลังให้กับเซียวหานเจิง
เซียวหานเจิง “......” ไม่เพียงแต่นางจะใจกล้าเท่านั้น แต่นางยังเป็นแม่เสือตัวน้อยด้วย
เขานั่งใช้ความคิดว่าเขาควรทำอะไรต่อจากนี้
ก่อนหน้านี้ ภรรยาตัวน้อยของเขาได้พูดไว้ว่า นางจะเป็นผู้หาเงินเข้าบ้าน แต่เขาก็ไม่ได้เก็บมาคิดเป็นเรื่องจริงจัง
ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกนาง แต่ในฐานะบุรุษแล้ว เขาควรแบกรับความรับผิดชอบในการดูแลครอบครัวนี้
แน่นอนว่า เขาไม่ปฏิเสธเรื่องที่ภรรยาของเขาคิดหาเงินหรือทำเรื่องเหล่านั้น
ในเมื่อเขาตัดสินใจทดลองใช้ชีวิตร่วมกันกับนางและเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจแย่ลงหากเขาไม่เห็นด้วยกับนาง
เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอ มุมปากของเขาก็ยกขึ้น
เขาดับตะเกียงและล้มตัวลงนอน
ในชีวิตก่อน เขามีอาการนอนไม่หลับทุกวัน และยิ่งนอนหลับยากขึ้นในตอนกลางคืน
เขาจำต้องพึ่งพายาเพื่อนอนหลับให้ได้ห้าถึงหกชั่วโมง
เขาคิดว่า เขาคงนอนไม่หลับเมื่ออยู่ๆก็มีคนมานอนข้างๆเช่นนี้
ใครจะรู้ว่า เซียวหานเจิงจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนที่ฟ้าสว่างแล้ว
ตัวเขาเองก็ยังแปลกใจ
สือชิงลั่วตื่นแล้ว และกำลังฝึกไทเก็กเพื่อสุขภาพอยู่
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนั้น วันเวลาของนางในวัดเต๋าเป็นไปด้วยดี
นักพรตเต๋าไม่ได้ทารุณพวกเขา และพวกเขามีอาหารเติมเข้าท้องในทุกๆวัน
แต่นักพรตเต๋าไม่กินเนื้อ พวกเขาจึงต้องกินผักตามมังสวิรัติ
หลังจากที่ไม่ได้กินเนื้อมาหลายปี สารอาหารในร่างกายของเจ้าของร่างเดิมจึงขาดสมดุล
เมื่อนางกลับไปอยู่ที่บ้าน นางก็ต้องตื่นแต่เช้าและนอนดึก
นางต้องทำงานหนักในทุกๆวัน
ไม่เพียงแต่อาหารที่กินจะแย่เท่านั้น แต่นางยังได้สารอาหารที่ไม่เพียงพออีกด้วย
มันจึงนำไปสู่การขาดสารอาหาร ทำให้ผิวที่ขาวและร่างกายที่เคยแข็งแรงของนางเปลี่ยนเป็นเหลืองซีดและซูบผอม
ในชีวิตก่อนของนาง นางเป็นสาวงาม พร้อมทั้งร่างกายที่มีส่วนโค้งเว้าอย่างที่ผู้หญิงหลายคนปรารถนา
เจ้าของร่างเดิมมีส่วนที่คล้ายคลึงกับนางเจ็ดถึงแปดส่วน แต่ตอนนี้ นางทนดูสภาพของตัวเองไม่ได้จริงๆ
โชคดีที่นางไม่มีกระจก นางจึงเห็นใบหน้าของตนเองสะท้อนผ่านผิวน้ำเท่านั้น ไม่อย่างนั้น นางคงต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ
ดังนั้น นางจึงต้องรีบดูแลร่างกายของตัวเองให้ดี
นางต้องฟื้นฟูร่างกายของนางให้ได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดส่วนของชีวิตก่อน
ในตอนที่นางกำลังคิดอยู่นั้น นางก็รู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองจากด้านหลังของนาง
นางจึงหันกลับไปและเห็นเซียวหานเจิงยืนอยู่ที่ประตูพร้อมกับไม้เท้า
คืนก่อน นางได้ให้เขาดื่มกลูโคสและสารอาหารเพื่อบำรุงกำลังของเขา
ที่สำคัญไปกว่านั้น นางยังได้ให้เขาดื่มน้ำจากสระในช่องว่างไปหลายครั้ง วันนี้ เขาจึงสามารถเดินได้เองแล้ว
เซียวหานเจิงยิ้มและถามว่า “หมัดมวยที่เจ้ากำลังฝึกอยู่คืออะไรหรือ?”
เขาไม่เคยเห็นวิชาหมัดมวยเช่นนี้มาก่อน
มันดูอ่อนโยน แต่มีพลังแฝงอยู่ภายในนั้น
สือชิงลั่วตอบ “ไทเก็กเพื่อสุขภาพ อาจารย์สอนข้ามา”
“เมื่อไหร่ที่ร่างกายของเจ้าแข็งแรงขึ้นแล้ว ข้าจะสอนวิชาหมัดมวยนี้ให้กับเจ้า มันช่วยเรื่องการไหลเวียนโลหิต หยินหยางสมดุล และร่างกายแข็งแรง”
เซียวหานเจิงพยักหน้าและยิ้ม “ได้!”
เขาเคยเห็นนักพรตเต๋าที่ชาวบ้านพูดถึงอยู่สองครั้ง
เมื่อเห็นว่านางผอมราวกับไม้เสียบ ร่างกายของนางยังดูไม่แข็งแรงนัก
ดูคล้ายกับคนที่เสพติดการทำอะไรบางอย่างและนอนดึกดื่น
นางดูไม่เหมือนกับคนที่รู้วิธีการฝึกหมัดมวยเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเลยสักนิด
สือชิงลั่วฝึกวิชาหมัดมวยของนางเสร็จแล้ว
นางเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แล้วมองไปทางเซียวหานเจิงและถามว่า “เจ้าอยากกินเต้าหู้หรือไม่?”
เซียวหานเจิงงุนงง “อะไรคือเต้าหู้?”
สือชิงลั่วยิ้ม “มันคืออาหารชนิดหนึ่ง”
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมไม่มีเรื่องของเต้าหู้อยู่เลย แต่นางก็ยังไม่มั่นใจว่าที่โลกนี้จะมีเต้าหู้อยู่หรือไม่
ตอนนี้ เมื่อนางได้ยินคำตอบจากปากของเซียวหานเจิง นางก็รู้ว่าไม่มีเต้าหู้อยู่ในโลกนี้
เต้าหู้ถูกบันทึกไว้ในสมัยราชวงศ์ซ่ง
ราชวงศ์ต้าเหลียงในตอนนี้มีความคล้ายคลึงกับช่วงต้นของสมัยราชวงศ์ถัง
แม้ว่าที่อื่นจะมีเต้าหู้แล้ว แต่แคว้นของพวกเขาต้องยังไม่มีแน่นอน
สือชิงลั่วพูด “วันนี้ เรามาทำเต้าหู้กินกันเถอะ”
ครั้งหนึ่ง นางเคยเดินทางไปท่องเที่ยวที่หมู่บ้านเต้าหู้
โดยที่มีเต้าหู้เป็นตัวหลักที่ใช้ดึงดูดนักท่องเที่ยว
ไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมโรงงานผลิตเต้าหู้โดยไม่คิดเงิน แต่พวกเขายังสามารถเรียนวิธีการทำเต้าหู้ได้อีกด้วย
นางก็ได้เรียนร่วมกับเพื่อนของนางที่ไปด้วยกัน
ก่อนที่นางจะกลับ เพื่อนของนางก็ได้ซื้อน้ำเกลือและแบ่งให้นางส่วนหนึ่ง บอกว่า นางสามารถกลับไปทำเต้าหู้เองที่บ้านได้
ระหว่างทางกลับ นางกลัวว่าน้ำเกลือจะเลอะกระเป๋า นางจึงเก็บมันไว้ในช่องว่างแทน
เมื่อกลับไปแล้ว นางก็ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท
เมื่อนางกำลังจัดระเบียบช่องว่างในตอนที่อยู่บ้านสือ นางก็พบมันอยู่ที่มุมหนึ่งของช่องว่าง
เวลาในช่องว่างหยุดนิ่ง ทำให้มันไม่หมดอายุไปก่อน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางเรียกร้องต้องการถั่วเหลืองจากบ้านสือเป็นสินเจ้าสาว
เซียวหานเจิงมองนางยิ้มๆและถามว่า “อาจารย์ของเจ้าก็สอนเรื่องนี้เช่นกันหรือ?”
สือชิงลั่วสบเข้ากับดวงตาสีดำของเขาที่ดูเหมือนจะสามารถมองเห็นบางอย่าง นางจึงเสมองไปทางอื่นโดยไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
แล้วนางก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ “ถูกต้องแล้ว! ข้ายังนำน้ำเกลือเข้มข้นสำหรับทำเต้าหู้มาจากวัดเต๋าบนเขาด้วย”
หากพวกเขาได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันมากขึ้น คนฉลาดเช่นเซียวหานเจิงต้องรู้ความลับของนางเป็นแน่
ดูเหมือนเขาจะสงสัยว่านางไม่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากวัดเต๋าแห่งนั้น
แต่ถึงเขาจะสงสัยแล้วอย่างไร? นางไม่กลัวอยู่แล้ว
ต่อให้ตายยังไง นางก็โยนเรื่องทุกอย่างไปให้นักพรตเต๋าอยู่ดี
มันไม่สำคัญว่าจะมีใครคิดสืบสาวความเป็นมาหรือไม่
เพราะนักพรตเต๋าก็ได้ตายไปแล้ว และเขายังระเบิดวัดเต๋าจนเละเป็นจุนไปแล้ว ไม่มีทางที่จะพิสูจน์เรื่องที่นางพูดมาได้
“ดี แล้วต้องทำเช่นไร? อยากให้ข้าช่วยหรือไม่?” ถึงเซียวหานเจิงจะสงสัย แต่เขาก็ไม่คิดเปิดโปงนาง
ในเมื่อภรรยาของเขาบอกว่าเรียนมาจากนักพรตเต๋า หากในอนาคตมีคนถามขึ้นมา เช่นนั้นก็โยนไปให้นักพรตเต๋าเสียก็สิ้นเรื่อง
ถึงยังไง สำหรับชาวบ้านแล้ว นักพรตเต๋าก็คือเซียน
เมื่อเป็นเซียน แน่นอนว่าเขาต้องรู้เรื่องราวต่างๆมากมายอย่างที่หลายคนไม่เคยรู้เห็นมาก่อน
สือชิงลั่วไม่ได้รู้ตัวเลยว่า เซียวหานเจิงคิดช่วยนางอยู่
นางเพียงรู้สึกว่า บุรุษผู้นี้ไม่เลวและฉลาดมาก