บทที่ 62 ถูกไล่ฆ่าโดยไร้สาเหตุ
หลังจากภาพลวงตาหายไป หลี่ฟานรู้สึกอย่างคมชัดว่าตนเองดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่บอกไม่ถูก
แต่เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว กลับไม่สามารถคลี่คลายได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นอะไรกันแน่
แต่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องร้ายหรอก
หลี่ฟานตัดสินใจจะยังไม่สนใจมัน เพียงบันทึกเอาไว้ในใจเท่านั้น
เมื่อกะประมาณว่าตนเองอยู่ที่ใดในตอนนี้ หลี่ฟานสังเกตว่าดูเหมือนจะเบี่ยงเบนไปบ้างจากตำแหน่งที่ปรากฏในพิภพเซียนตอนชาติที่แล้ว
แต่ก็ไม่ได้ไกลนัก
สถานที่นี้ใกล้เกาะหลิ่วหลี่ที่สุด หลี่ฟานจึงตัดสินใจไปที่นั่นก่อน
ยังไงเขาก็ใช้เวลาอยู่ที่เกาะหลิ่วหลี่นานพอสมควรตั้งแต่ชาติที่แล้ว ดังนั้นจึงค่อนข้างคุ้นเคย
แม้เหอเจิ้งเฮ่า "ผู้ใจดี" จะโลภมากไปหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็ทำอะไรได้น่าเชื่อถือกว่า
เปรียบเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว หลี่ฟานยังคงอยากจะสังสรรค์กับคนรู้จักเดิมมากกว่า อย่างน้อยก็ช่วยลดปัจจัยที่ไม่แน่นอนลงได้บ้าง
หลังได้ตัดสินใจเลือกทิศทางแล้ว หลี่ฟานไม่ได้ขับเรือไท่เหยียน แต่กลับจับยันต์ควบคุมลมบินตรงไปยังเกาะหลิ่วหลี่
สถานะที่เขาต้องการจะแสดงตัวในตอนนี้ คือเป็นผู้ฝึกเซียนอิสระในทะเลชงอวิ่นที่บังเอิญได้ฝึกปราณได้จนถึงขั้นฝึกปราณระดับปลาย
อยากจะก้าวไปสู่ขั้นสร้างฐาน แต่หาวิธีไม่เจอ ดังนั้นจึงคิดจะเข้าร่วมพันธมิตรหมื่นเซียน
ณ พิภพเซียนในปัจจุบัน ชีวิตของผู้ฝึกเซียนอิสระนั้นแทบจะยากแสนเข็ญ
ไม่เหมือนกับสมาชิกสังกัดพันธมิตรหมื่นเซียนหรือห้ามัจฉาผู้อาวุโส ที่มีช่องทางแน่นอนให้ได้มาซึ่งวิชายุทธ์
ผู้ฝึกเซียนอิสระที่อยากได้วิชายุทธ์สักวิชา มักต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เข้าไปค้นหาในซากปรักหักพังของสำนักโบราณ
ไม่เพียงต้องเผชิญกับความลึกลับประหลาดและกับดักในซาก แต่ยังต้องระมัดระวังเพื่อนร่วมทางที่จ้องตาเขม็งอยู่ด้วย
ขาดความระมัดระวังเพียงเล็กน้อย ก็อาจจบลงด้วยความตายอย่างไร้ร่องรอย
ถึงจะอย่างนั้น ผู้ฝึกเซียนอิสระเหล่านี้ก็ยังไม่อยากเข้าร่วมสององค์กรใหญ่ เพียงเพราะไม่ต้องการถูกควบคุมและรับใช้ใครเท่านั้นแหละ
สำหรับผู้ฝึกเซียนอิสระแล้ว อิสรภาพสำคัญเหนือสิ่งใด
การเลือกแตกต่างกัน ก็เป็นเพียงความเห็นที่ต่างกันเท่านั้น ไม่มีอันไหนดีหรือเลวไปกว่ากัน
ดังนั้น สำหรับสถานะของผู้ฝึกเซียนอิสระแล้ว เรือไท่เหยียนถือว่าค่อนข้างโดดเด่นเกินไป
เพื่อจะได้ไม่ต้องพบเจอเรื่องยุ่งยากหรือความสงสัยโดยไม่จำเป็น หลี่ฟานจึงเลือกที่จะใช้วิชาควบคุมลมบินด้วยตนเอง
ถึงจะช้ากว่าหน่อย แต่หลี่ฟานก็ไม่ได้ร้อนใจอะไร พลางคิดว่าเป็นโอกาสในการฝึกฝนปรับตัวไปในตัว
ที่พูดแบบนี้เพราะตอนอยู่ต้าเสวียน หลี่ฟานรู้สึกเลือนราง ว่าในชาตินี้ตนเองจะมีความใกล้ชิดกับปราณวิญญาณโดยไม่ทราบสาเหตุ
แต่เนื่องจากเป็นดินแดนไร้เซียน จึงไม่มีโอกาสพิสูจน์ได้
พอได้กลับมาสู่พิภพเซียน รับรู้และดูดซับปราณวิญญาณรอบตัว หลี่ฟานจึงแน่ใจว่าสัญชาตญาณของตนเป็นจริง
หากจะพูดว่าในชาติที่แล้ว ต้องบังคับดูดซับปราณวิญญาณในฟ้าดินผ่านรากฟ้าดินราวกับเครื่องสูบน้ำ
แต่ในชาตินี้ เพียงแค่ความคิดอ่านของตนเคลื่อนไหว ปราณวิญญาณในฟ้าดินก็จะเข้าสู่ตันเถียนอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องใช้กำลังบังคับอีกต่อไป
ถึงจะยังสู้ความสนิทสนมกับปราณวิญญาณที่เสี่ยวเฮิงกล่าวไม่ได้ แต่ก็ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้ว
หลี่ฟานคาดเดาว่าสิ่งที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น คือเหตุการณ์ตรงรากฟ้าดินนั่นล่ะ
ในชาติก่อน รากฟ้าดินเกิดจากการเพาะบ่มจากความโลภ ความกลัว ความโกรธ ความเกลียดชัง และความเห็นแก่ตัวทั้งห้า
ขณะที่รากฟ้าดินในตันเถียนของหลี่ฟานชาตินี้ เกิดจากการสร้างขึ้นผ่าน 【หวนเจิน】 โดยตรง
หากพูดว่ารากฟ้าดินที่เพาะบ่มจาก《คัมภีร์ปราณห้าธาตุ》 เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเชิงลบอย่างความโหดเหี้ยมและความมืดมิด ส่วนรากฟ้าดินที่มาจาก 【หวนเจิน】 จะเป็นสิ่งที่ซื่อตรง สงบนิ่ง ปกติธรรมดา
ไม่คิดว่าการรับช่วงพลังยุทธ์ชาติก่อนผ่าน 【หวนเจิน】 จะทำให้ได้ประโยชน์ขนาดนี้
นอกจากจะดีใจแล้ว หลี่ฟานยังรู้สึกเลือนรางว่าอาจมีเหตุผลลึกซึ้งกว่านั้นซ่อนอยู่
ทว่าเขายังไม่ทันได้ครุ่นคิดให้มากกว่านั้น สีหน้าก็กลายเป็นมืดหม่นลงในพริบตา
เพราะในขอบเขตความรู้สึกของหลี่ฟาน มีพลังสังหารปรากฏขึ้นจากที่ไกลๆ และล็อคเป้าตรงมาทางตนเองอย่างแน่วแน่ บินเข้ามาด้วยความเร็วสุดขีด
ยิ่งไปกว่านั้น ปราณวิญญาณของคนผู้นั้นรุนแรง อย่างน้อยก็ต้องเป็นขั้นสร้างฐาน!
ถึงจะรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แต่หลี่ฟานไม่มีความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น
เรียกเรือไท่เหยียนออกมาทันที เร่งความเร็วขั้นสูงสุด แล้วหนีไปยังเกาะหลิ่วหลี่ที่ใกล้ที่สุด
คนผู้นั้นเหมือนจะไม่คาดคิดว่าหลี่ฟานจะมีเรือไท่เหยียนที่เป็นสมบัติมหัศจรรย์ จึงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นอีกหลายส่วน
บนเรือไท่เหยียน หลี่ฟานมีสีหน้าขมึงทึง
ระยะห่างมากเกินไป เลยขอบเขตการปกคลุมโดยจิตวิญญาณ
แต่จากพลังสังหารที่กำลังค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ความเร็วของอีกฝ่ายต้องมากกว่าเขาที่กำลังขับเรือไท่เหยียนอย่างแน่นอน
หลี่ฟานลังเลครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจปล่อยพลังสังหารอันเด็ดขาดไร้รูปลักษณ์ออกไปทางคู่ต่อสู้
ทันใดนั้น ทุกสิ่งเบื้องหน้าพลันมืดมัวลง ข้างหูได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ
ภาพรอบตัวเริ่มไร้ความชัดเจนและบิดเบี้ยว
ราวกับมีดวงตามากมายกำลังมองเขาจากความมืด
โชคดีที่ภาพเหมือนภาพลวงตานี้มาเร็วไปไว
แค่เพียงกระพริบตาเดียว ก็กลับมาปกติดังเดังเดิมแล้ว
หลี่ฟานรู้ดีว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นเป็นผลข้างเคียงจากการปล่อยพลังสังหารอันเด็ดขาดไร้รูปลักษณ์ข้ามขั้นไป
พลังสังหารอันเด็ดขาดไร้รูปลักษณ์นั้นเสมือนการใช้ชะตาฟ้าเท็จ
นั่นก็เพราะเมื่อยืมพลังชะตาฟ้าแล้ว ย่อมจะไม่ได้ปราศจากความเสี่ยงโดยปริยาย
ถ้าแม้แต่การอ้างอำนาจฮ่องเต้โดยมิชอบยังมีโทษถึงเป็นเผ่าพันธุ์ ไม่ต้องพูดถึงการปลอมเป็นชะตาฟ้าเลย
ยิ่งพลังยุทธ์ของตนเองกับเป้าหมายพลังสังหารห่างกันมาก ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะถูกความตั้งใจของฟ้าดินสังเกตได้ง่าย
โชคดีที่ดูเหมือนว่า ตราบใดที่ข้ามไปแค่ 1 ขั้นพลังใหญ่ ปัญหาก็จะยังไม่ใหญ่มากนัก
หลังจากปล่อยพลังสังหารอันเด็ดขาดไร้รูปลักษณ์ออกไป ครั้งแรกยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ไม่นาน หลี่ฟานก็รับรู้ได้ถึงลมที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันในหว่างฟ้าดิน
ลมนี้พัดวนเวียนไม่หยุดตรงเส้นทางที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังบุกหน้าต่อไป ไม่นานก็ก่อตัวเป็นพายุทอร์นาโด
พายุทอร์นาโดนั้นมีแสงสีเขียวเรื่อๆ ล้อมอยู่ ดูคล้ายมังกรยักษ์ตัวหนึ่งที่คำรามกึกก้องเข้าหาฝ่ายตรงข้าม
อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว จึงเผลอโดนพายุทอร์นาโดตะครุบเอาไปอย่างจัง
หลี่ฟานจึงฉวยโอกาสนี้เร่งความเร็วหนีไป
ไม่นานก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังมาจากด้านหลัง
ฝ่ายตรงข้ามเหมือนจะสลัดพายุทอร์นาโดออกได้ พลางพุ่งเข้ามาหาหลี่ฟานด้วยความเร็วสูงขึ้นอีก
ท่าทีจะฆ่ายิ่งชัดเจนขึ้น
พอใกล้จะเข้าถึงหลี่ฟานอีกครั้ง จระเข้ฉลามยักษ์ตัวหนึ่งก็กระโจนขึ้นมาจากผิวน้ำสูงลิ่ว แล้วอ้าปากกว้างกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไป
จระเข้ฉลามตกกลับคืนสู่น้ำอีกครั้ง กระเซ็นน้ำสูงเป็นฟองสีขาว
"ปัง!"
เปลวเพลิงอันร้อนแรงระเบิดขึ้นจากในน้ำ
จระเข้ฉลามถูกเผาจนไม่เหลือเป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนร่างคนผู้นั้นที่บินออกมาจากในน้ำอย่างยากลำบาก ดูท่าจะคลุ้มคลั่งขึ้นมากว่าเก่า
รับรู้ได้ถึงร่องรอยปราณวิญญาณของหลี่ฟาน เขาจึงเร่งความเร็วไล่ล่า
ทั้งสองฝ่ายได้แต่เดินหน้าไล่ล่ากันไปตลอดทาง แม้ความเร็วของฝ่ายตรงข้ามจะไวกว่าหลี่ฟานไม่ใช่น้อย แต่เขาก็ไม่สามารถตามทันหลี่ฟานอยู่ดี
เพราะทุกครั้งที่จะเข้าใกล้หลี่ฟานได้ ก็จะพบสถานการณ์ผิดปกติโผล่เข้ามากลางคัน
ในที่สุดเกาะหลิ่วหลี่ก็ปรากฏในสายตา
คนผู้นั้นระแวดระวังสำรวจไปรอบๆ เล็กน้อย ครั้นเห็นว่าไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกแล้ว จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ใบหน้าเคร่งเครียด กำลังจะใช้กฎเต๋าสังหารหลี่ฟาน
ท้องฟ้ากระจ่างในยามเที่ยงวัน แต่กลับมีสายฟ้าผ่าลงมากะทันหัน
เฉียดปะทะเข้าใส่ตัวเขาอย่างจัง
หากไม่ใช่เพราะแสงสว่างปรากฏขึ้นตามตัวในช่วงเวลาวิกฤตินั้น ช่วยลดทอนความเสียหายจากฟ้าผ่าส่วนใหญ่ไว้ได้ เขาคงเอาชีวิตไม่รอดแล้ว
ถึงอย่างนั้น คนผู้นั้นก็ยังถูกเผาไหม้เกรียมไปทั้งตัว จนแทบไม่เหลือสภาพมนุษย์
หลี่ฟานเห็นดังนั้นก็รีบบินตรงไปยังศูนย์กลางวงจรอาคมพิทักษ์เกาะหลิ่วหลี่
คนผู้นั้นลอยนิ่งอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ถึงได้หายงง
ตกใจสุดขีดพร้อมโมโหยิ่งนัก ร้องตะโกนเสียงดังว่า "เหอเจิ้งเฮ่า ไม่ออกมาช่วยข้าฆ่าไอ้ขโมยตัวน้อยนี่อีกรอบหรือไร!"
จากเกาะหลิ่วหลี่ ดังขึ้นมาเสียงที่หลี่ฟานคุ้นเคยดี "ผู้พิทักษ์หว่าน เจ้าเป็นอะไรไปถึงได้มีสภาพแบบนี้?"
...
หลี่ฟานที่กำลังบินไปยังเกาะหลิ่วหลี่ ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองจึงหยุดเคลื่อนไหวในทันที
หากถูกสองคนนี้ล้อมเอาไว้ จะไม่มีทางหนีแน่ๆ หลี่ฟานอดที่จะสบถในใจไม่ได้
จากนั้นพึมพำออกมาในใจทันที
"หวนเจิน!"