ตอนที่แล้วบทที่ 61 ทดลองวิชาสังหาร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 63 ย้อนกลับสู่เกาะหลิ่วหลี่

บทที่ 62 ถูกไล่ฆ่าโดยไร้สาเหตุ


หลังจากภาพลวงตาหายไป หลี่ฟานรู้สึกอย่างคมชัดว่าตนเองดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่บอกไม่ถูก

แต่เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว กลับไม่สามารถคลี่คลายได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นอะไรกันแน่

แต่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องร้ายหรอก

หลี่ฟานตัดสินใจจะยังไม่สนใจมัน เพียงบันทึกเอาไว้ในใจเท่านั้น

เมื่อกะประมาณว่าตนเองอยู่ที่ใดในตอนนี้ หลี่ฟานสังเกตว่าดูเหมือนจะเบี่ยงเบนไปบ้างจากตำแหน่งที่ปรากฏในพิภพเซียนตอนชาติที่แล้ว

แต่ก็ไม่ได้ไกลนัก

สถานที่นี้ใกล้เกาะหลิ่วหลี่ที่สุด หลี่ฟานจึงตัดสินใจไปที่นั่นก่อน

ยังไงเขาก็ใช้เวลาอยู่ที่เกาะหลิ่วหลี่นานพอสมควรตั้งแต่ชาติที่แล้ว ดังนั้นจึงค่อนข้างคุ้นเคย

แม้เหอเจิ้งเฮ่า "ผู้ใจดี" จะโลภมากไปหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็ทำอะไรได้น่าเชื่อถือกว่า

เปรียบเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว หลี่ฟานยังคงอยากจะสังสรรค์กับคนรู้จักเดิมมากกว่า อย่างน้อยก็ช่วยลดปัจจัยที่ไม่แน่นอนลงได้บ้าง

หลังได้ตัดสินใจเลือกทิศทางแล้ว หลี่ฟานไม่ได้ขับเรือไท่เหยียน แต่กลับจับยันต์ควบคุมลมบินตรงไปยังเกาะหลิ่วหลี่

สถานะที่เขาต้องการจะแสดงตัวในตอนนี้ คือเป็นผู้ฝึกเซียนอิสระในทะเลชงอวิ่นที่บังเอิญได้ฝึกปราณได้จนถึงขั้นฝึกปราณระดับปลาย

อยากจะก้าวไปสู่ขั้นสร้างฐาน แต่หาวิธีไม่เจอ ดังนั้นจึงคิดจะเข้าร่วมพันธมิตรหมื่นเซียน

ณ พิภพเซียนในปัจจุบัน ชีวิตของผู้ฝึกเซียนอิสระนั้นแทบจะยากแสนเข็ญ

ไม่เหมือนกับสมาชิกสังกัดพันธมิตรหมื่นเซียนหรือห้ามัจฉาผู้อาวุโส ที่มีช่องทางแน่นอนให้ได้มาซึ่งวิชายุทธ์

ผู้ฝึกเซียนอิสระที่อยากได้วิชายุทธ์สักวิชา มักต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เข้าไปค้นหาในซากปรักหักพังของสำนักโบราณ

ไม่เพียงต้องเผชิญกับความลึกลับประหลาดและกับดักในซาก แต่ยังต้องระมัดระวังเพื่อนร่วมทางที่จ้องตาเขม็งอยู่ด้วย

ขาดความระมัดระวังเพียงเล็กน้อย ก็อาจจบลงด้วยความตายอย่างไร้ร่องรอย

ถึงจะอย่างนั้น ผู้ฝึกเซียนอิสระเหล่านี้ก็ยังไม่อยากเข้าร่วมสององค์กรใหญ่ เพียงเพราะไม่ต้องการถูกควบคุมและรับใช้ใครเท่านั้นแหละ

สำหรับผู้ฝึกเซียนอิสระแล้ว อิสรภาพสำคัญเหนือสิ่งใด

การเลือกแตกต่างกัน ก็เป็นเพียงความเห็นที่ต่างกันเท่านั้น ไม่มีอันไหนดีหรือเลวไปกว่ากัน

ดังนั้น สำหรับสถานะของผู้ฝึกเซียนอิสระแล้ว เรือไท่เหยียนถือว่าค่อนข้างโดดเด่นเกินไป

เพื่อจะได้ไม่ต้องพบเจอเรื่องยุ่งยากหรือความสงสัยโดยไม่จำเป็น หลี่ฟานจึงเลือกที่จะใช้วิชาควบคุมลมบินด้วยตนเอง

ถึงจะช้ากว่าหน่อย แต่หลี่ฟานก็ไม่ได้ร้อนใจอะไร พลางคิดว่าเป็นโอกาสในการฝึกฝนปรับตัวไปในตัว

ที่พูดแบบนี้เพราะตอนอยู่ต้าเสวียน หลี่ฟานรู้สึกเลือนราง ว่าในชาตินี้ตนเองจะมีความใกล้ชิดกับปราณวิญญาณโดยไม่ทราบสาเหตุ

แต่เนื่องจากเป็นดินแดนไร้เซียน จึงไม่มีโอกาสพิสูจน์ได้

พอได้กลับมาสู่พิภพเซียน รับรู้และดูดซับปราณวิญญาณรอบตัว หลี่ฟานจึงแน่ใจว่าสัญชาตญาณของตนเป็นจริง

หากจะพูดว่าในชาติที่แล้ว ต้องบังคับดูดซับปราณวิญญาณในฟ้าดินผ่านรากฟ้าดินราวกับเครื่องสูบน้ำ

แต่ในชาตินี้ เพียงแค่ความคิดอ่านของตนเคลื่อนไหว ปราณวิญญาณในฟ้าดินก็จะเข้าสู่ตันเถียนอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องใช้กำลังบังคับอีกต่อไป

ถึงจะยังสู้ความสนิทสนมกับปราณวิญญาณที่เสี่ยวเฮิงกล่าวไม่ได้ แต่ก็ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้ว

หลี่ฟานคาดเดาว่าสิ่งที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น คือเหตุการณ์ตรงรากฟ้าดินนั่นล่ะ

ในชาติก่อน รากฟ้าดินเกิดจากการเพาะบ่มจากความโลภ ความกลัว ความโกรธ ความเกลียดชัง และความเห็นแก่ตัวทั้งห้า

ขณะที่รากฟ้าดินในตันเถียนของหลี่ฟานชาตินี้ เกิดจากการสร้างขึ้นผ่าน 【หวนเจิน】 โดยตรง

หากพูดว่ารากฟ้าดินที่เพาะบ่มจาก《คัมภีร์ปราณห้าธาตุ》 เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเชิงลบอย่างความโหดเหี้ยมและความมืดมิด ส่วนรากฟ้าดินที่มาจาก 【หวนเจิน】 จะเป็นสิ่งที่ซื่อตรง สงบนิ่ง ปกติธรรมดา

ไม่คิดว่าการรับช่วงพลังยุทธ์ชาติก่อนผ่าน 【หวนเจิน】 จะทำให้ได้ประโยชน์ขนาดนี้

นอกจากจะดีใจแล้ว หลี่ฟานยังรู้สึกเลือนรางว่าอาจมีเหตุผลลึกซึ้งกว่านั้นซ่อนอยู่

ทว่าเขายังไม่ทันได้ครุ่นคิดให้มากกว่านั้น สีหน้าก็กลายเป็นมืดหม่นลงในพริบตา

เพราะในขอบเขตความรู้สึกของหลี่ฟาน มีพลังสังหารปรากฏขึ้นจากที่ไกลๆ และล็อคเป้าตรงมาทางตนเองอย่างแน่วแน่ บินเข้ามาด้วยความเร็วสุดขีด

ยิ่งไปกว่านั้น ปราณวิญญาณของคนผู้นั้นรุนแรง อย่างน้อยก็ต้องเป็นขั้นสร้างฐาน!

ถึงจะรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แต่หลี่ฟานไม่มีความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น

เรียกเรือไท่เหยียนออกมาทันที เร่งความเร็วขั้นสูงสุด แล้วหนีไปยังเกาะหลิ่วหลี่ที่ใกล้ที่สุด

คนผู้นั้นเหมือนจะไม่คาดคิดว่าหลี่ฟานจะมีเรือไท่เหยียนที่เป็นสมบัติมหัศจรรย์ จึงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นอีกหลายส่วน

บนเรือไท่เหยียน หลี่ฟานมีสีหน้าขมึงทึง

ระยะห่างมากเกินไป เลยขอบเขตการปกคลุมโดยจิตวิญญาณ

แต่จากพลังสังหารที่กำลังค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ความเร็วของอีกฝ่ายต้องมากกว่าเขาที่กำลังขับเรือไท่เหยียนอย่างแน่นอน

หลี่ฟานลังเลครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจปล่อยพลังสังหารอันเด็ดขาดไร้รูปลักษณ์ออกไปทางคู่ต่อสู้

ทันใดนั้น ทุกสิ่งเบื้องหน้าพลันมืดมัวลง ข้างหูได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ

ภาพรอบตัวเริ่มไร้ความชัดเจนและบิดเบี้ยว

ราวกับมีดวงตามากมายกำลังมองเขาจากความมืด

โชคดีที่ภาพเหมือนภาพลวงตานี้มาเร็วไปไว

แค่เพียงกระพริบตาเดียว ก็กลับมาปกติดังเดังเดิมแล้ว

หลี่ฟานรู้ดีว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นเป็นผลข้างเคียงจากการปล่อยพลังสังหารอันเด็ดขาดไร้รูปลักษณ์ข้ามขั้นไป

พลังสังหารอันเด็ดขาดไร้รูปลักษณ์นั้นเสมือนการใช้ชะตาฟ้าเท็จ

นั่นก็เพราะเมื่อยืมพลังชะตาฟ้าแล้ว ย่อมจะไม่ได้ปราศจากความเสี่ยงโดยปริยาย

ถ้าแม้แต่การอ้างอำนาจฮ่องเต้โดยมิชอบยังมีโทษถึงเป็นเผ่าพันธุ์ ไม่ต้องพูดถึงการปลอมเป็นชะตาฟ้าเลย

ยิ่งพลังยุทธ์ของตนเองกับเป้าหมายพลังสังหารห่างกันมาก ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะถูกความตั้งใจของฟ้าดินสังเกตได้ง่าย

โชคดีที่ดูเหมือนว่า ตราบใดที่ข้ามไปแค่ 1 ขั้นพลังใหญ่ ปัญหาก็จะยังไม่ใหญ่มากนัก

หลังจากปล่อยพลังสังหารอันเด็ดขาดไร้รูปลักษณ์ออกไป ครั้งแรกยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่ไม่นาน หลี่ฟานก็รับรู้ได้ถึงลมที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันในหว่างฟ้าดิน

ลมนี้พัดวนเวียนไม่หยุดตรงเส้นทางที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังบุกหน้าต่อไป ไม่นานก็ก่อตัวเป็นพายุทอร์นาโด

พายุทอร์นาโดนั้นมีแสงสีเขียวเรื่อๆ ล้อมอยู่ ดูคล้ายมังกรยักษ์ตัวหนึ่งที่คำรามกึกก้องเข้าหาฝ่ายตรงข้าม

อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว จึงเผลอโดนพายุทอร์นาโดตะครุบเอาไปอย่างจัง

หลี่ฟานจึงฉวยโอกาสนี้เร่งความเร็วหนีไป

ไม่นานก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังมาจากด้านหลัง

ฝ่ายตรงข้ามเหมือนจะสลัดพายุทอร์นาโดออกได้ พลางพุ่งเข้ามาหาหลี่ฟานด้วยความเร็วสูงขึ้นอีก

ท่าทีจะฆ่ายิ่งชัดเจนขึ้น

พอใกล้จะเข้าถึงหลี่ฟานอีกครั้ง จระเข้ฉลามยักษ์ตัวหนึ่งก็กระโจนขึ้นมาจากผิวน้ำสูงลิ่ว แล้วอ้าปากกว้างกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไป

จระเข้ฉลามตกกลับคืนสู่น้ำอีกครั้ง กระเซ็นน้ำสูงเป็นฟองสีขาว

"ปัง!"

เปลวเพลิงอันร้อนแรงระเบิดขึ้นจากในน้ำ

จระเข้ฉลามถูกเผาจนไม่เหลือเป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนร่างคนผู้นั้นที่บินออกมาจากในน้ำอย่างยากลำบาก ดูท่าจะคลุ้มคลั่งขึ้นมากว่าเก่า

รับรู้ได้ถึงร่องรอยปราณวิญญาณของหลี่ฟาน เขาจึงเร่งความเร็วไล่ล่า

ทั้งสองฝ่ายได้แต่เดินหน้าไล่ล่ากันไปตลอดทาง แม้ความเร็วของฝ่ายตรงข้ามจะไวกว่าหลี่ฟานไม่ใช่น้อย แต่เขาก็ไม่สามารถตามทันหลี่ฟานอยู่ดี

เพราะทุกครั้งที่จะเข้าใกล้หลี่ฟานได้ ก็จะพบสถานการณ์ผิดปกติโผล่เข้ามากลางคัน

ในที่สุดเกาะหลิ่วหลี่ก็ปรากฏในสายตา

คนผู้นั้นระแวดระวังสำรวจไปรอบๆ เล็กน้อย ครั้นเห็นว่าไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกแล้ว จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ใบหน้าเคร่งเครียด กำลังจะใช้กฎเต๋าสังหารหลี่ฟาน

ท้องฟ้ากระจ่างในยามเที่ยงวัน แต่กลับมีสายฟ้าผ่าลงมากะทันหัน

เฉียดปะทะเข้าใส่ตัวเขาอย่างจัง

หากไม่ใช่เพราะแสงสว่างปรากฏขึ้นตามตัวในช่วงเวลาวิกฤตินั้น ช่วยลดทอนความเสียหายจากฟ้าผ่าส่วนใหญ่ไว้ได้ เขาคงเอาชีวิตไม่รอดแล้ว

ถึงอย่างนั้น คนผู้นั้นก็ยังถูกเผาไหม้เกรียมไปทั้งตัว จนแทบไม่เหลือสภาพมนุษย์

หลี่ฟานเห็นดังนั้นก็รีบบินตรงไปยังศูนย์กลางวงจรอาคมพิทักษ์เกาะหลิ่วหลี่

คนผู้นั้นลอยนิ่งอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ถึงได้หายงง

ตกใจสุดขีดพร้อมโมโหยิ่งนัก ร้องตะโกนเสียงดังว่า "เหอเจิ้งเฮ่า ไม่ออกมาช่วยข้าฆ่าไอ้ขโมยตัวน้อยนี่อีกรอบหรือไร!"

จากเกาะหลิ่วหลี่ ดังขึ้นมาเสียงที่หลี่ฟานคุ้นเคยดี "ผู้พิทักษ์หว่าน เจ้าเป็นอะไรไปถึงได้มีสภาพแบบนี้?"

...

หลี่ฟานที่กำลังบินไปยังเกาะหลิ่วหลี่ ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองจึงหยุดเคลื่อนไหวในทันที

หากถูกสองคนนี้ล้อมเอาไว้ จะไม่มีทางหนีแน่ๆ หลี่ฟานอดที่จะสบถในใจไม่ได้

จากนั้นพึมพำออกมาในใจทันที

"หวนเจิน!"

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด