ตอนที่แล้วบทที่ 60 ทบทวนและวางแผน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 62 ถูกไล่ฆ่าโดยไร้สาเหตุ

บทที่ 61 ทดลองวิชาสังหาร


ต้าเสวียน ภูผาเจี่ยลี่ซาน

ภูเขาสูงนับพันเมตร คมชันประหนึ่งดั่งถูกผ่าด้วยดาบ ชูตระหง่านเสียดขอบฟ้า

บนเส้นทางเขาชันกลางลาดผา เยาวชนสองหนุ่มกำลังเดินตามหลังกันเป็นแถว

ผู้ที่อยู่ข้างหน้าเป็นชายหนุ่มผอมบาง สวมหมวกฟาง ใบหน้าเคร่งขรึม

ส่วนหนุ่มน้อยที่ตามหลังดูอ่อนอายุกว่าสองสามปี แต่รูปร่างกลับสูงใหญ่กำยำ คิ้วเข้ม ตากลม ใบหน้าซื่อบื้อ

ขณะนี้ ชายหนุ่มร่างใหญ่เช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ก่อนจะนั่งพับเพียบลง "อาหรัง พักสักหน่อยเถิด เดินมาตลอดครึ่งวัน ข้าเหนื่อยจะขาดใจแล้ว"

หนุ่มผอมหันกลับไปยื่นกระติกน้ำให้ "ตรงนี้ในภูเขาบางครั้งมีเสือร้ายและสัตว์ป่าผ่านไปมา พักที่นี่อาจไม่ปลอดภัยนัก ข้ารู้ว่าข้างหน้าไม่ไกลมีถ้ำลับแห่งหนึ่ง หากเจ้าเหน็ดเหนื่อยจริงๆ เรามุ่งหน้าไปพักผ่อนที่นั่นก็ได้"

ชายหนุ่มร่างกำยำรับกระติกน้ำมา ยกดื่มอึกใหญ่หลายอึกติดต่อกัน ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก แล้วเอ่ยถามอย่างอยากรู้ว่า "อาหรัง บนภูเขาผืนนี้มีเซียนแท้ๆ อยู่จริงหรือ?"

"ต้องมีอยู่แน่ ข้าเห็นกับตาตัวเอง" อาหรังเงยหน้ามองสู่ยอดเขาที่ถูกบดบังด้วยเมฆหมอก กล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

ทว่าชายหนุ่มใหญ่ได้ยินดังนั้นกลับมีท่าทางไม่เชื่อเท่าไร "ห้าปีมานี้แล้ว ท่านเหมือนถูกผีสิง มีเวลาว่างก็แต่จะเข้ามาในภูเขาเจี่ยลี่ซานแห่งนี้ ไปๆ มาๆ นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ก็ไม่เคยพบเซียน ตามความเห็นข้า ท่านควรตัดใจได้แล้ว การสืบหาเซียนและเต๋านั้นเป็นเรื่องเลื่อนลอยเกินไป ข้าว่าท่านยังไม่สู้ฝึกวิชากำลังภายในเหมือนข้าจะดีกว่า..."

คำพูดของชายหนุ่มใหญ่ยังไม่ทันจบ ก็ถูกอาหรังขมวดคิ้วขัดขึ้นมาเสียก่อน "หวางเสวียนป้า เหตุใดท่านถึงพูดพร่ำบ่นเหมือนมารดาข้าเช่นนี้ หากยังจะเจรจามากความอีก เจ้าก็ลงเขาไปก่อนคนเดียวเถิด!"

หวางเสวียนป้าหน้าแดงก่ำจรดติ่งหู เขาเข้าใจสถานการณ์ดี จึงได้แต่หุบปากเงียบ

ทั้งสองเดินต่อไปบนเส้นทางลาดชัน

ผ่านไปไม่นาน ลมเย็นวูบหนึ่งก็พัดผ่านระหว่างภูเขาอย่างกระทันหัน

หวางเสวียนป้าแตะมือที่ใบหู สีหน้าเปลี่ยนไปในพริบตา เขาก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว ยื่นมือออกไปปิดปากอาหรัง ทำสัญญาณห้ามส่งเสียง

"ข้างหน้ามี..." กำลังจะเอ่ยเตือน แต่กลับชะงักค้าง

หยดเหงื่อเย็นหยดหนึ่งไหลลงจากหน้าผาก

ปรากฏว่าบนทางเขาข้างหน้าพร้อมกับเสียงเสียดสีแผ่วเบา มีงูขาวยักษ์ตัวหนึ่งค่อยๆ เลื้อยลงมาตามผิวหน้าผา

งูยักษ์นั้นมีร่างกายใหญ่โต ขนาดเพียงส่วนหัวโผล่พ้นออกมา ก็ยาวถึงเจ็ดแปดเมตรได้

ส่วนลำตัวที่เหลือซุกซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ระหว่างภูเขา ไม่อาจรู้ได้ว่ายาวขนาดไหน

หัวงูกว้างใหญ่เท่าอ่างล้างหน้า ดวงตาสีแดงฉานมหึมาส่องประกายน่าขนพองสยองเกล้า

เลื้อยส่งเสียงลิ้นแลบออกมาเป็นระยะ ชูคอไต่ผนังหน้าผาไปยังเบื้องล่าง

เห็นสัตว์ประหลาดน่าขนลุกขนพองแบบนี้ ทั้งหวางเสวียนป้าและอาหรังต่างหัวใจแทบวาย ไม่กล้าขยับเขยื้อน แม้แต่ลมหายใจก็สะกดกลั้น

ร่างอันมหึมาของงูขาวลากผ่านพื้นนานเนิ่นนาน กว่าจะค่อยๆ หายไปจากสายตาทั้งสองคน

ฟู่...

หวางเสวียนป้าถอนหายใจยาว กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินเสียงกระหืดกระหอบดังขึ้นอีก

หัวงูยักษ์ กลับโผล่พ้นออกมาจากหน้าผาอีกครั้งอย่างกะทันหัน จ้องตรงมาทางพวกเขาสองคนไม่คลาดสายตา!

หวางเสวียนป้าและอาหรังแข็งค้างกลายเป็นหินไปอีกหน

"ซ่า ซ่า..."

งูขาวแกว่งหัวไปมา เลื้อยตัวเข้าใกล้สองหนุ่ม

อ้าปากกว้าง ระบายลมเหม็นคละคลุ้งออกมา

ถึงตอนนี้ ที่ทั้งสองตกอยู่ใต้ร่มเงาของงู ผมบนศีรษะก็เกือบจะถูกมันกลืนเข้าปากไปแล้ว หวางเสวียนป้าไม่อาจกลั้นความกลัวไว้อีกต่อไป

เขาส่งเสียงคำรามก้อง กล้ามเนื้อทั่วร่างพองโป่ง เรือนกายขยายใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งชั้น

กระโจนตัวขึ้น ถีบหมัดเข้าใส่หัวงูเบื้องล่าง

"กิ๊ง!"

เสียงกึกก้องประหนึ่งโลหะปะทะกัน!

พร้อมกันนั้น อาหรังก็ลงมือ

เหยียบเท้าลงบนหินผา ทำให้มันแตกละเอียดเป็นผุยผง ส่วนเงาร่างของเขาพร่ามัว หายวับไปโผล่ด้านหลังงูขาวในพริบตา

กำหมัดเปลี่ยนเป็นนิ้วชี้ พุ่งปักใส่ร่างงูด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบนับสิบครั้ง

"กิ๊ง! กิ๊ง! กิ๊ง!..."

เสียงปะทะกันดังกังวาน

ทว่า การโจมตีหนักหน่วงทั้งมวลครั้งนี้ กลับไม่อาจเจาะทะลุผิวหนังของงูขาวได้แม้แต่น้อย!

งูขาวส่งเสียงคำรามก้อง สะบัดหางฟาดใส่หวางเสวียนป้า

"ปัง!"

หวางเสวียนป้าถูกกระเด็น ปะทะเข้ากับผนังหน้าผาดังสนั่น ก้อนหินเล็กๆ กระเด็นกระจาย

งูขาวไม่ได้ไล่ติดตามไปจัดการหวางเสวียนป้า หากแต่หันหัวกลับมา อ้าปากกว้างงับเข้าใส่อาหรัง

อาหรังหลบหลีกไม่ทัน ได้แต่ยื่นมือทั้งสองข้างออกไป เกาะกรามของงูขาวด้วยสุดกำลัง

งูขาวส่งเสียงแหลมประหลาด กระตุกหัวเข้าหาอย่างแรงกล้า

ร่างของอาหรังเกือบจะถูกกลืนหายไปในปากของงูขาวที่อ้ากว้างมโหฬาร ทว่าเขาส่งเสียงครางในลำคอ ทั้งแข็งขืนต้านทานได้สำเร็จ

หลังจากยื้อยุดอยู่นานสองนาน งูขาวเมื่อเห็นว่ายังกลืนกินมนุษย์ตัวจ้อยนี้ไม่ลง ก็บ้าคลั่งเกรี้ยวกราด

มันสะบัดร่างไม่หยุด เหวี่ยงร่างของอาหรังกระแทกกับทางเดินภูเขาและผนังหน้าผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวังจะสลัดเขาให้หลุดออกไป

อาหรังทุกครั้งที่กระแทกพื้น นิ้วก็จะแทงลงไปในเนื้อในเลือดของงูขาวดุจดาบคม

เวลาผ่านไปนานเช่นนี้ บริเวณทางเดินภูเขาจุดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยการปะทะระหว่างอาหรังกับหินผาสารพัด แสงสีแดงวาบขึ้นในตางูขาว ของเหลวสีดำขุ่นพุ่งกระฉูดออกมาจากปาก

อาหรังหลบได้หวุดหวิดเพียงแค่ศีรษะ แต่ร่างกายก็ยังโดนน้ำพิษสาดเต็ม

"ซู่ว..."

ภายใต้การกัดกร่อนของน้ำพิษ เผยให้เห็นเนื้อในของอาหรังซึ่งมีแสงสีทองอ่อนเรืองรองปรากฏ

เขาส่งเสียงครางในลำคอ คราวนี้ไม่อาจต้านทานต่อไปได้อีก ถูกงูขาวสะบัดทิ้งไปด้านข้าง ร่างกระแทกไปกองอยู่ข้างหวางเสวียนป้าที่หมดสติไป

เขาพ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะฝืนยันกายลุกขึ้น จ้องมองงูขาวที่กำลังเลื้อยเข้ามาใกล้ นัยน์ตาฉายแววหมดหวัง

นับตั้งแต่วันนั้นยามเย็นที่ได้เห็นเซียนผู้หนึ่งเหาะเหินเดินอากาศบนภูเขาเจี่ยลี่ซานนี้ด้วยสองตาของตนเอง เขาก็ไม่อาจลืมภาพเหตุการณ์นั้นได้เลย หมกมุ่นแต่จะแสวงหาเซียนและเต๋า

เขานับครั้งไม่ถ้วนที่บุกป่าฝ่าดงเข้าไปในเทือกเขานี้ เพียงเพื่อจะตามหาท่านเซียนผู้นั้น ขอคารวะเป็นอาจารย์ของตน

จนกระทั่งขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งกับมารดา

ใครจะคิดว่า นอกจากจะไม่พบเซียน กลับจะมาสิ้นชีวิตในปากของปีศาจตัวนี้

หากนึกถึงตัวเขา อาหรังลูกชายคนรองตระกูลซุน ผู้มีพละกำลังมาแต่กำเนิด เชี่ยวชาญทุกสรรพวิชา กลับต้องมาตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ จะยอมรับได้อย่างไร?

ทว่าร่างของเขาถูกบดบังอยู่ใต้เงาของงูขาว ไม่มีแรงเหลือพอจะขัดขืนอีก อาหรังได้แต่หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง

ขณะที่อาหรังยอมรับชะตากรรมรอความตาย จู่ๆ ก็มีเสียงนกกระเรียนขาวร้องกังวานดังมาจากยอดเขาลิบลับ

งูขาวได้ยินเสียงร้องนั้น ตัวสั่นเทิ้มราวกับได้พานพบศัตรูตัวฉกาจ ชูคอขึ้นสูง ส่งลิ้นออกมาสะบัดไปมา ตั้งท่าจ้องมองไปยังทิศทางต้นเสียงอย่างเขม็ง

อาหรังเห็นว่ามีความหวัง จึงลืมตาขึ้นมอง

เห็นนกกระเรียนขาวตัวหนึ่งบินโฉบมาจากไหนไม่รู้ กำลังต่อสู้กับงูขาวอย่างดุเดือด

นกกระเรียนขาวบินวนไปมาอย่างคล่องแคล่วว่องไว หลบหลีกการโจมตีของงูได้อย่างราบรื่น ใช้จะงอยปากคมจิกลงไปบนตัวงูอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดบาดแผลเนื้อฉีกขาด

ถึงแม้งูจะเคลื่อนไหวไม่คล่องเท่านกกระเรียนขาว แต่หนังหนาเนื้อแน่น กระเรียนขาวจิกใส่นับสิบครั้งก็ไม่ทำให้มันบาดเจ็บพิการอะไรมาก

ขณะที่งูขาวเพียงแค่งับโต้ตอบถูกนกกระเรียนขาวสักครั้ง ก็พอจะทำให้มันบาดเจ็บสาหัสแล้ว

เวลาผ่านไป สถานการณ์ของนกกระเรียนขาวเริ่มเสียเปรียบ

อาหรังเห็นสัตว์ประหลาดสองตัวนี้สู้กันอุตลุต ไม่มีใครสนใจมาทางฝ่ายเขา จึงฝืนทนอุตส่าห์ยันกายลุกขึ้น ตั้งใจจะช่วยหวางเสวียนป้าหนีไปในจังหวะนี้

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงคล้ายคลื่นยักษ์ถาโถมมาจากทั่วทุกทิศในภูเขา

อาหรังชะงัก เงยหน้าขึ้นมอง ได้พบกับภาพอัศจรรย์

บนท้องฟ้า ฝูงนกนับไม่ถ้วนโผบินออกมาจากซอกเขาทุกแห่งหน ประหนึ่งกลุ่มเมฆดำทะมึน มุ่งหน้าตรงมาที่นี่

ส่วนบนภูเขา มีหนูตัวเล็ก สัตว์เลื้อยคลาน ไปจนถึงลิงกับเสือดาว ตลอดจนสัตว์อีกมากมายที่อาหรังไม่เคยเห็น ผุดโผล่ออกมาจากทุกซอกทุกมุม รวมตัวกันเป็นสายน้ำอันยิ่งใหญ่ มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่นกกับงูกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด

อาหรังสติกลับมาในตอนนี้ สีหน้าซีดเผือด

หากตกอยู่ในห้วงคลื่นสัตว์อันเกรียงไกรนี้ พวกเขาสองคนจะไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน!

งูขาวตาแดงก็รับรู้ถึงภยันตรายที่กำลังมา มันไม่สู้กับนกกระเรียนขาวอีกต่อไปแล้ว เพียงต้องการหนีออกไปจากที่นี่

แต่ใครจะรู้ นกกระเรียนขาวกลับยังไม่ยอมปล่อยให้มันหนีง่ายๆ ราวกับงูกับนกมีแค้นใหญ่หลวงที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกัน ต่อให้ตัวเองจะบาดเจ็บสาหัส เลือดโชกเต็มตัว ก็ยังไม่ยอมปล่อยงูไป

ใช้เวลาไม่นาน คลื่นยักษ์ฝูงนกกับสัตว์ป่าก็พุ่งเข้ามาใกล้

พวกมันทั้งหมดเมินเฉยต่อนกกระเรียนขาวและอาหรัง เป้าหมายในดวงตามีเพียงงูขาวตัวใหญ่เท่านั้น!

งูขาวส่งเสียงร้องด้วยความหวาดผวา แต่ก็ถูกสัตว์นับไม่ถ้วนล้อมไว้หมดแล้ว เบื้องบนไร้ทางหนี ใต้ดินไม่มีประตูให้ลอด

สัตว์พวกนี้ดุร้ายอำมหิตราวกับเสียสติ กระโจนเหยียบย่ำกันเอง แย่งชิงกัดแทะร่างของงูขาว

ต่อให้ฟันของตัวเองจะแตกกระจาย เลือดนองเต็มปาก ก็ไม่มีใครยอมคายปากง่ายๆ

มีสัตว์จำนวนไม่น้อยที่ตายลงทันทีเพราะกัดกินตัวเองจนขาดใจ แต่ก็จะมีสัตว์ตัวใหม่กระโจนเข้ามาแทนที่ทันควัน

งูขาวตัวนี้เหมือนได้ก่อเรื่องผิดบาปมหันต์ที่ไม่อาจให้อภัยไว้ได้

นกบินและสัตว์ทุกหนแห่งต่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว จะต้องกัดกินงูขาวจนหมดสิ้น

สู้กันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะล้มตาย!

งูขาวถูกคลื่นสัตว์ป่าท่วมท้น แรงขัดขืนดิ้นรนค่อยๆ น้อยลงทุกที

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดก็หยุดนิ่งไม่ไหวติงอีก

หลังจากนั้น สัตว์ต่างๆ ก็ค่อยๆ แยกย้ายจากไป

ส่วนงูขาวตาแดงร่างใหญ่มโหฬารตัวนั้น กระดูกแม้แต่ชิ้นเดียวก็ไม่เหลือไว้แล้ว

หลังจากเห็นฉากอันประหลาดเหลือเชื่อเช่นนี้กับตา อาหรังยืนอึ้งอยู่กับที่ นานแสนนานกว่าจะสามารถเอ่ยปากได้

เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พักใหญ่กว่าจะตั้งสติอีกครั้ง

ทันใดนั้น เขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก กวาดสายตามองซ้ายขวา ก่อนจะร้องตะโกนเสียงดัง "ท่านเซียน ท่านอยู่แถวนี้หรือไม่?"

"ต้องเป็นฝีมือของท่านแน่ ใช่หรือไม่?"

ในสายตาเขา ฉากคลื่นสัตว์อันผิดธรรมชาติที่เพิ่งเกิดขึ้น ต้องเป็นน้ำมือของท่านเซียนผู้นั้นที่เร้นกายอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้อย่างแน่นอน

อาหรังอารมณ์พลุ่งพล่าน ร้อนรนกระวนกระวาย

แต่น่าเสียดาย ต่อให้เขาตะโกนจนเสียงแหบแห้งแทบขาด ก็ไม่มีวี่แววของท่านเซียนให้เห็น

เขาจึงจมลงในความสิ้นหวังอย่างลึกซึ้ง

ทว่าในตอนนั้น ไม่ไกลจากที่อาหรังอยู่นัก หลี่ฟานกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้า

ท่านเซียนอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทว่าสายตามนุษย์ธรรมดาไม่อาจเห็นได้

"เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่เลว ดูเหมือนมีร่างกายที่พิเศษสักหน่อย ใจปรารถนาเต๋าก็หนักแน่นยิ่งนัก" หลี่ฟานมองอาหรัง นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยคำชม

"แต่น่าเสียดาย ตัวข้าเองยังไม่มีที่ยืนมั่น จะสอนเจ้าได้อย่างไร" หลี่ฟานส่ายหน้ายิ้มๆ

"คงต้องรอโอกาสอันเหมาะสมในภายภาคหน้า แล้วค่อยมอบวาสนาให้เจ้าอีกครั้งหนึ่ง!"

เขาชี้นิ้วไปทางอาหรังเบาๆ

ซุนอาหรังรู้สึกสับสนอลหม่านในทันใด ก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้างุนงง สุดท้ายแล้วก็แบกร่างหวางเสวียนป้าที่ยังคงหมดสติอยู่ เดินลงเขาจากไป

มองส่งทั้งสองจากไปจนลับตา หลี่ฟานจึงหันไปสังเกตที่เกิดเหตุที่งูขาวถูกสัตว์ป่ากัดกินอีกครั้ง ในใจอิ่มเอมยินดียิ่ง

"ที่ข้าตั้งใจศึกษาค้นคว้ามานานถึงเก้าปี ไม่ได้สูญเปล่า วิชาสังหารไร้รูปร่างนี้ช่างวิเศษนัก"

เมื่อครู่ที่ภูเขาเจี่ยลี่ซานแห่งนี้ บรรดานกและสัตว์ต่างดุร้ายคลุ้มคลั่ง รุมกัดกินงูขาว ก็เป็นฝีมือของเขาแน่นอน

ชาตินี้ เนื่องจากหลี่ฟานเพิ่งบำเพ็ญเพียรถึงขั้นชำนาญพลัง หลีกเลี่ยงไม่ให้หมอกพิษเซียนกับมนุษย์มาทำอันตรายแก่ตน จึงมาเก็บตัววิเวกที่ภูเขาเจี่ยลี่ซานนี่เอง

ระหว่างรอให้【หวนเจิน】เติมพลังเต็ม เขาก็บำเพ็ญเพียรอย่างหนัก

ในดินแดนไร้เซียน ไม่มีปราณวิญญาณให้ดูดซับเลย เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาเรียนรู้ทำความเข้าใจกระแสปราณฟ้าดินที่เคยได้สังเกตเห็นในชาติก่อน

เก้าปีที่ขลุกอยู่กับการบำเพ็ญ ในที่สุดเขาก็รู้แจ้งและประมวลวิชาสังหารไร้รูปร่างขึ้นมาได้สำเร็จ

เพียงคลายวิชานี้ออกมา ก็สามารถอำพรางเลียนแบบเป็นพลังสังหารของเต๋าภายในขอบเขตและระดับหนึ่ง

เมื่อฟ้าลิขิตให้ต้องประสบชะตาอำมหิต ก็ย่อมมีหายนะมากมายเกิดขึ้น

ผู้ที่ถูกวิชาสังหารไร้รูปร่างของหลี่ฟานเล็งเป้าหมายไว้ ไม่ต้องให้เขาลงมือเอง ก็จะต้องพบกับชะตากรรมอันเลวร้ายเอง

เช่นงูขาวตาแดงเมื่อครู่นี้ ถูกวิชาสังหารของหลี่ฟานคุกคาม จึงก่อให้เกิดพลังมรณะล้างผลาญจากเต๋าขึ้นทั่วทั้งเขาเจี่ยลี่ซาน

ฟ้าดินปั้นสรรพสิ่ง เจตจำนงแห่งฟ้าดินปกครองชีวิตทั้งผองไว้

เหล่าสัตว์นับไม่ถ้วนจึงถูกชักจูงให้เกิดพลังมรณะอย่างไม่รู้จบสิ้นขึ้นต่องูขาว

พลังมรณะนี้จะไม่หายไปจนกว่างูขาวตายอย่างไม่เหลือซาก

อาศัยเจตจำนงแห่งเต๋าเทียมๆ แล้วนำมาใช้ นี่คือจุดเด่นของวิชาสังหารไร้รูปร่าง

นอกจากอานุภาพจะเหนือชั้นแล้ว ยังมีรูปแบบวิธีอันแยบยล อีกทั้งยังปกปิดซ่อนเร้นเป็นเลิศอีกด้วย

วิชาสังหารไร้รูปร่าง ก็เหมือนกับพลังมรณะจากเต๋า เป็นเพียงความปรารถนาและกฎเกณฑ์ล้วนๆ

ผู้ฝึกเซียนทั่วไปไม่มีทางสังเกตเห็นได้เลย

รวมคุณสมบัติเด่นมากมายไว้ในตัว จึงกลายเป็นอาวุธลับสังหารที่ขาดไม่ได้ของการปล้นสะดมและฆ่าคน

ไม่น่าแปลกใจที่หลี่ฟานจะพอใจนัก

แน่นอน การทดลองใช้วิชาสังหารไร้รูปร่างครั้งแรกมีเป้าหมายเป็นเพียงสัตว์ป่าธรรมดา จึงดูยิ่งใหญ่อลังการไปหน่อย

ส่วนเรื่องที่ว่าหากนำวิชานี้ไปใช้กับผู้ฝึกเซียนที่มีขั้นเดียวกันหรือสูงกว่า ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร หลี่ฟานต้องรอวันข้างหน้าค่อยลองด้วยตนเองอีกทีจึงจะรู้

หลังทดสอบวิชาที่เพิ่งคิดค้นขึ้นเสร็จ หลี่ฟานก็กลับมายังกระท่อมหญ้าบนยอดภูเขาเจี่ยลี่ซานที่ใช้เป็นที่หลบซ่อนเร้นกาย

เขาเก็บกวาดข้าวของอย่างคร่าวๆ จากนั้นก็เช็คดูความคืบหน้าการเติมพลัง【หวนเจิน】

ตอนนี้เต็ม 99% แล้ว

"ถึงเวลาที่จะย่างกรายในพิภพเซียนอีกครั้งแล้ว"

หลี่ฟานจึงเรียก 'เรือไท่เหยียน' ออกมา บินมุ่งหน้าไปยังเมืองเสวียนจิง

ด้วยความยิ่งใหญ่ของผู้เป็นเซียน เขาได้สะสมทรัพย์สมบัติล้ำค่าและเสบียงอาหารจำนวนมากเหมือนในชาติก่อน

หลังจากบรรจุเต็มลำเรือไท่เหยียนแล้ว หลี่ฟานก็มาถึงนอกสุสานของเฉียนหง

ด้วยระดับขั้นของเขาในปัจจุบัน การห้ามปรามของ "ศิลาจารึกหยุดยั้ง"  ไม่อาจทำอันตรายแก่เขาได้อีกต่อไป

หลี่ฟานเข้าไปในสุสานเฉียนหง หยิบเอาส่วนของศิลาจารึกหยุดยั้งที่ผูกพันกันอยู่ในช่องว่าง【หวนเจิน】ออกมา

ศิลาจารึกหยุดยั้งทั้งสองก้อนหลอมรวมกัน กลายเป็นศิลาจารึกหยุดยั้งก้อนใหม่

ไม่เหมือนของเดิมที่ผุพังเก่าคร่ำ มีเพียงรอยแตกร้าวอยู่บ้างเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ความแตกต่างคงห่างกันอีกนิดหน่อย

หลี่ฟานไม่ใส่ใจมากนัก

หลังจากได้สัมผัสพลังอันทรงอานุภาพของ 'ไข่มุกทะเลกว้าง' มาแล้ว เขาจึงไม่ค่อยแยแสศิลาจารึกหยุดยั้งนี้สักเท่าไร

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายก็ต้องขายต่อให้กับกระจกเทียนเสวียน เพื่อแลกเอาคะแนนผลงานอยู่ดี

หลี่ฟานหยิบทั้งสองวิชายุทธ์และเรือไท่เหยียนที่เสียหายจากในสุสานเฉียนหงมาเก็บไว้ จากนั้นก็ออกเดินทางทันที

หลังจากบินออกไปได้ระยะหนึ่ง เขากลับตัวมาอีกครั้ง เก็บกระดูกของเฉียนหงเอาไว้ ตั้งใจจะนำกลับไปในพิภพเซียน เพื่อทำให้ความปรารถนาสุดท้ายก่อนตายของเฉียนหงเป็นจริง

คราวนี้หลี่ฟานไร้อุปสรรคขวางกั้น ผ่านวงกตสำนักเหินหายไปในพิภพเซียนได้อย่างราบรื่น

เมื่อได้กลับมาเห็นท้องทะเลชงอวิ๋นสีฟ้าครามอีกครั้ง หลี่ฟานรู้สึกเหมือนผ่านมานานแสนนาน

เขานำกระดูกของเฉียนหงออกมา เปลี่ยนให้เป็นเถ้าถ่าน โปรยลงไปในทะเลกว้าง

ณ เบื้องบนท้องนภา มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นฉับพลัน

กลีบดอกไม้หนึ่งดอก ร่วงหล่นจากกิ่งก้าน ปลิวไสวตามแรงลม ไม่หยุดหย่อน

"เฉียนหง ผู้ฝึกเซียนขั้นสร้างฐาน บำเพ็ญเพียรเต๋ามาสองร้อยหกสิบห้าปี ด้วยสมบัติวิเศษ 'เหมยเคล้าลม' สร้างฐานรากเต๋าขึ้นมา"

"เร่ร่อนไร้ที่อยู่นอกบ้านถึงสามพันหกร้อยเจ็ดสิบปี บัดนี้วิญญาณได้หวนคืนบ้านเกิด กลับคืนสู่ฟ้า!"

ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ดำรงอยู่ไม่ถึงเวลาดื่มน้ำชาครึ่งถ้วย ก็สลายหายไปไม่มีร่องรอย

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด