บทที่ 279: ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์! สวยเกินไปแล้ว!
การแต่งงานเป็นเหตุการณ์สำคัญทั้งชีวิตสำหรับผู้หญิง
ฉินหลินรู้ว่าเขาเป็นหนี้จ้าวโม่ชิงมาก และการถ่ายพรีเวดดิ้งนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากที่สร้างคฤหาสน์เสร็จแล้วเขาก็จะใช้ที่นั่นเป็นสถานที่จัดงานแต่งกับเธอด้วยเลย
แต่ก่อนหน้านั้นต้องให้แม่เขาไปสู่ขอเธออย่างเป็นทางการที่ตระกูลจ้าวก่อน ‘สามสื่อหกพิธี’1 อย่าให้ขาดตก หลังจากนั้นค่อยรับตัวเธอมาจากตระกูลจ้าวอีกครั้งแบบถูกต้องตามประเพณี
ตอนนั้นแร่หยกที้งหลายที่เขาเก็บไว้เป็นลัง ๆ จะถูกขนออกมาใช้ เครื่องประดับทุกชนิดที่ให้ NPC เซบาลาทำให้ต้องเป็นของดีที่สุด
ซึ่งก่อนจะเอาให้เซบาลาทำก็ต้องหานักออกแบบเจ๋ง ๆ ซะก่อน
และถ้าหากเอามาใช้สำหรับงานแต่งแล้วรูปแบบทั้งหมดก็ไม่ควรซ้ำกัน
หลังจากส่งจ้าวโม่ชิงกลับไปที่ห้องทำงานของเธอแล้วฉินหลินก็ออกจากบ้านไร่อีกครั้งโดยไปที่โกดังเช่า จากนั้นก็เอาดินวิเศษออกมา 2 กระสอบกับน้ำพุแห่งผืนโลกที่เหลือ
เมื่อกลับมาที่บ้านไร่แล้วเขาก็โทรเรียกอวี้สุ่ยให้มาหาและสั่งว่า “ผู้จัดการอวี้ ไปหาคนมาช่วยผสมดินพิเศษสองกระสอบนี่กับน้ำแล้วเอาไปรดที่ทะเลดอกไม้รวมหน่อย”
“ดินพิเศษที่ศาสตราจารย์หลี่ไข่ทำอีกแล้วใช่มั้ยครับเถ้าแก่” อวี้สุ่ยมองดูดินพิเศษสองกระสอบแล้วถาม
“ถ้างั้นผมเอาตามสูตรที่เคยทำให้ศาสตราจารย์หลี่ไข่ก่อนหน้านี้ได้เลยใช่มั้ยครับ”
“อาฮะ เอาแบบนั้นแหละ” ฉินหลินไม่อยากพูดเยอะเดี๋ยวมันจะหายเนียน แค่โบ้ยไปให้พี่หลี่เหมือนเดิมก็พอ และที่สำคัญคือเรื่องนี้เป็นการแสดงเพื่อใช้ปกปิดการมีอยู่ของน้ำพุแห่งผืนโลก
ทว่าช่วงนี้พี่หลี่เอาแต่กักตัวทำงานวิจัยพันธุ์พืชในอุณหภูมิต่ำของตัวเองไปอย่างเมามันจนไม่โผล่หัวมาให้เห็นเลย
ดูเหมือนว่าหลังจากส่งคำร้องขอประเมินเป็นศาสตราจารย์แล้วพี่หลี่ก็ปิ๊งไอเดียอะไรขึ้นมาได้ซึ่งเป็นความคิดนอกกรอบแต่ยังอยู่ในขอบเขตงานวิจัยของตน
“ได้ครับเถ้าแก่” อวี้สุ่ยไม่ถามอะไรต่อและขนดินวิเศษทั้งสองกระสอบไปที่ทะเลดอกไม้รวมด้วยตัวคนเดียว
เนื่องจากเขาเคยทำงานนี้ให้หลี่ไข่มาก่อนเลยชินมือแล้ว เขาสั่งให้ลูกน้องไปขนเครื่องไม้เครื่องมือมาให้และขุดบ่อเติมน้ำ ผสมดินลงไปจากนั้นก็พาคนเอาน้ำนั้นไปรดต้นไม้ในทะเลดอกไม้รวม
ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนฉินหลินก็ได้รับรายงานว่าอวี้สุ่นรดน้ำเสร็จแล้ว
นอกจากนี้เขาได้ ‘บังเอิญ’ เอาถังน้ำพุแห่งผืนโลกไปที่ส่วนที่ตั้งของถังเก็บน้ำและเทมันลงในถังเก็บน้ำส่วนของทะเลดอกไม้รวม
เสร็จแล้วเขาก็เปิดระบบรดน้ำเพื่อให้น้ำที่มีน้ำพุแห่งผืนโลกผสมอยู่ได้รดลงไปทั่วทั้งพื้นที่ของทะเลดอกไม้รวมแบบเนียน ๆ และไม่มีใครสังเกตเห็นความมีพิรุธ
วันต่อมา
หลังจากที่ฉินหลินโหลดของจากเกมมาส่งบ้านไร่แล้วเขาก็รีบไปเช็กดูที่ทะเลดอกไม้รวมก่อนเลย
แน่นอนว่าเขาไม่ได้หัวดีขนาดที่จะจำสภาพของเมื่อวานนี้ได้ทั้งหมด แค่โฟกัสกับพวกที่พึ่งปลูกใหม่เป็นพิเศษเท่านั้น
พวกมันได้น้ำพุแห่งผืนโลกไปคืนหนึ่งแล้ว ต้นที่ปลูกใหม่ในวันนี้แข็งแรงกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัดซึ่งโตไวเกินว่าวงจรชีวิตโดยปกติมาก
ตลอดทั้งสัปดาห์ฉินหลินได้มาคอยเทียวเช็กเทียวชมทะเลดอกไม้รวมทุกวัน และพวกมันก็มีอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็วเหมือนเดิมคือโตโคตรเร็วในทุก ๆ วัน
เพียงสัปดาห์เดียวทะเลดอกไม้รวมได้ดูแตกต่างไปจากเดิมคนละเรื่อง ตรงที่แต่เดิมจะเห็นว่ามีการออกดอกเป็นกระจุก ๆ หย่อม ๆ ในหลาย ๆ บริเวณ แต่ตอนนี้มันออกดอกบานสะพรั่งละลานตาครอบคลุมไปทั่วทุกที่จนดูน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
อวี้สุ่ยเองก็พาคนมาเช็กดูเหมือนกันและแน่นอนว่าต้องพบความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนเช่นกัน
แต่ด้วยประสบการณ์ที่เคยเห็นในทุ่งหญ้ามาก่อนทำให้เขาไม่กระโตกกระตากอะไร
ก็นะ ดินในกระสอบเหล่านั้นสุดท้ายแล้วก็เป็นของที่ศาสตราจารย์หลี่ไข่ทำขึ้นนี่หว่า
ที่บ้านไร่ชิงหลินแห่งนี้ทุกคน ๆ ต่างรู้ดีว่าอย่าได้ริอาจตั้งคำถามกับกับสิ่งที่ศาสตราจารย์หลี่ไข่สร้างขึ้น
มาว่ากันต่อเรื่องน้ำพุแห่งผืนโลก เนื่องจากมีปริมาณที่จำกัดทำให้พืชต้องแบ่ง ๆ กันไป และปริมาณที่พืชสามารถดูดซับได้ก็มีจำกัดจึงไม่สามารถเติบโตได้อย่างไม่สิ้นสุดเหมือนที่หวังไว้ได้
ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป 10 วันพวกพืชที่ปลูกก่อนจะโตก่อนจนสุดท้ายก็หยุดโต จะมีเพียงพวกที่ปลูกทีหลังเท่านั้นที่ยังคงโตต่อได้เนื่องจากยังโตไม่เต็มที่
ซึ่งต้นไม้พวกนี้ในที่สุดก็ไปหยุดโตตอนประมาณวันที่ 15 และสภาพของพวกมันก็แตกต่างจากครึ่งเดือนก่อนโดยสิ้นเชิง
ด้วยน้ำพุแห่งผืนโลกเลยทำให้ตอนนี้พืชทั่วทั้งทะเลดอกไม้รวมโตเต็มที่และงดงามมาก ถือว่าเป็นทะเลดอกไม้รวมที่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว
เมื่อฉินหลินเห็นว่าทะเลดอกไม้รวมสมบูรณ์แบบแล้วเขาก็หาเวลาไปยังอาคารเศรษฐกิจและการค้าโหยวเฉิง
อาคารเศรษฐกิจและการค้าเป็นอาคารสำนักงาน
ด้วยการพัฒนาของอำเภอทำให้มีบริษัทขนาดเล็กจำนวนมากมาตั้ง ดังนั้นจึงเกิดอาคารประเภทนี้ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการ
แม้ว่าจะไม่ดีเท่าอาคารสำนักงานในเมืองแต่มันก็มีขนาดที่ไม่ใช่เล็ก ๆ โดยมีบริษัทชั้นนำในอำเภอมาเช่าพื้นที่ทำเป็นสำนักงาน
บริษัทวางแผนโฆษณา ‘เชียนสี่โปรดักชัน’ ของฉินเหรินที่อาศัยสัญญาระยะยาวกับบ้านไร่ชิงหลินจนสามารถพัฒนาตัวเองกลายเป็นบริษัทโฆษณาแห่งแรกในอำเภอโหยวเฉิงเองก็ได้ย้ายออฟฟิศมาที่อาคารแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
ฉินหลินมาที่นี่เป็นครั้งแรก
เมื่อมาถึง ‘เชียนสี่โปรดักชัน’ แล้วพนักงานต้องนรับก็จำหน้าได้ทันที
“เสี่ยวฉิน คุณคือเสี่ยวฉินของบ้านไร่ชิงหลินใช่มั้ยคะ!” พนักงานต้อนรับอุทานเสียงดัง
เหมือนจะเป็นไปตามแผน เพราะดูท่าเขาคงไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วว่าใครจะรู้ว่าเขาคือเจ้าของบ้านไร่ชิงหลินเวลาออกไปไหนมาไหน
เพราะในตอนนี้ตัวตนของเขาที่ฝังลึกอยู่ในใจคนก็คือฮอร์สเทรนเนอร์เสี่ยวฉินนั่นเอง
“ผมมาหาคุณฉิน หมายถึงคุณฉินเหรินน่ะครับ” ฉินหลินค่อย ๆ พูด
พนักงานต้อนรับรีบตอบทันทีว่า “งั้นก็รอซักครู่นะจ๊าเสี่ยวฉิน” พูดจบเธอก็รีบยกหูโทรศัพท์สำนักงานโทรไปที่ห้องฉินเหริน
เมื่อปลายสายรับเธอก็บอกไปว่า “คุณฉินค้า เสี่ยวฉินจากบ้านไร่ชิงหลินมาขอพบค่า”
ในห้องทำงานเมื่อฉินเหรินได้ยินคำเรียกที่แม่สาวแผนกต้อนรับพูดก็งงและถามกลับอย่างไม่รู้ตัว “เสี่ยวฉินเหรอ? เสี่ยวฉินไหนอะ?”
แล้วก็พึ่งจะนึกออกว่าเสี่ยวฉินก็คือฉินหลิน
เวร ก็พึ่งจะนึกได้ว่าตอนนี้พี่น้องของตนได้กลายเป็นเสี่ยวฉินไปแล้วนี่เนอะ
ฉินเหรินวางสายแล้วรีบออกจากห้องทำงานทันที “ไงหลินจื่อ วันนี้มาทำไรเหรอ”
ฉินหลินอธิบายว่า “จำได้มั้ยว่าฉันกะโม่ชิงมีแผนจะถ่ายพรีเวดดิ้ง เพราะงั้นเลยมาหานายไง”
ฉินเหรินรู้ถึงสถานการณ์ของฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงดังนั้นเขาจึงพยักหน้าทันที “ได้เวลาถ่ายพรีเวดดิ้งแล้วสินะ แบบนี้ต้องฉลองแล้วดิ เออใช่ บริษัทเราพึ่งจะจ้างช่างภาพอาวุโสมาพอดีเลย เด๋วฉันให้เขาไปถ่ายให้นายเลยแล้วกัน”
แน่นอนว่าฉินเหรินเองก็เป็นช่างภาพ แต่เขาก็รู้ถึงฝีมือตัวเองดีว่ายังอีกไกล
ดังนั้นตอนที่ยังเป็นธุรกิจเล็ก ๆ แค่สตูดิโอแคบ ๆ ก็พอแล้วกับตัวเขาที่เป็นช่างภาพคนเดียว แต่ตอนนี้เขาปีกกล้าขาแข็งแล้ว ไม่ใช่แค่บริษัทในอำเภอเท่านั้นที่มาใช้บริการ แม้แต่อำเภอข้างเคียงเองก็ยังมาด้วย อีกทั้งยังมีหน่วยงานทางภาครัฐมาใช้บริการอีก ดังนั้นช่างภาพที่ต้องใช้จึงต้องเก่งกว่าตนเอง
‘เชียนสี่โปรดักชัน’ ของพวกเขาไม่สามารถพึ่งพาข้อดีของการเป็นบริษัทที่มีความร่วมมือระยะยาวกับบ้านไร่ชิงหลินเพียงอย่างเดียวตลอดไปได้ ไม่งั้นอีกเดี๋ยวก็คงมีบริษัทอื่นที่เจ๋งกว่าเข้ามาแย่งลูกค้าไปหมดไม่ใช่เหรอ
แบบนั้นบริษัทอื่นโง่หรือเขาโง่กันแน่ล่ะ
“โอเคฝากด้วยนะ เอาที่นายสะดวกเลย” ฉินหลินยิ้มและบอกได้เลยว่าฉินเหรินเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้
แม่สาวพนักงานต้อนรับที่อยู่ข้าง ๆ กันนั้นได้ยินก็หูผึ่งสิ เมื่อต่อมเผือกถูกกระตุกแล้วก็เลยโพล่งถาม “เสี่ยวฉินจะแต่งงานเหรอ! กับเสี่ยวจ้าวเหรอ!”
ฉินหลินเหลือบมองพนักงานต้อนรับและเห็นสีหน้าอยากรู้อยากเห็นเต็มแก่ของอีกฝ่ายแล้วมันก็... ต้องตอบ “ครับ” ออกไป
“จริงเหรอ!”
พนักงานต้อนรับจ้องเสียวฉินไม่วางตาและพูดกับเขาว่า “ฉันเห็นคลิปตอนเธอถ่ายกับเสี่ยวจ้าวก็รู้สึกแล้วว่าพวกเธอเหมาะสมกันดี ชาวเน็ตหลาย ๆ คนก็เชียร์ให้พวกเธอได้กันไปเลย ไม่นึกเลยว่าพวกเธอจะได้กันจริง ๆ นะเนี่ย!”
ฉินเหรินได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้า พวกแทะเม็ดแตงโมจกป๊อบคอร์นพวกนี้ไม่ได้รู้อะไรเลย เอาแต่ดูแล้วก็คิดกันไปเรื่อยเหมือนดูหนัง
ไม่ได้รู้เลยว่าคู่นี้เขาจดทะเบียนสมรสกันไปตั้งนานแล้ว
จากนั้นเขาก็พูดกับฉินหลิน “ปะหลินจื่อ ดื่มชากันก่อน ถ้านายมีอะไรอยากเพิ่มเติมเด๋วไปคุยกะช่างภาพ ฉันจะได้เตรียมของให้ด้วยเลย”
“เค!” ฉินหลินเดินตามไปที่ห้องทำงานของฉินเหรินและพบกับช่างภาพที่อีกฝ่ายพูดถึงจากนั้นก็บอกถึงความต้องการของตนไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเฟิ่งกวนเสียเพ่ยกับฉีหลินหงผาวนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเตรียมของต่าง ๆ ให้สอดคล้อง และสไตล์ของภาพที่ต้องเซตกล้องก็ต้องให้มันสอดคล้องกับความวินเทจด้วย
ก็นะ หากใช้พร็อบสไตล์ดุดันแบบนิวซีแลนด์ก็คงไม่อาจใส่เฟิ่งกวนเสียเพ่ยกับฉีหลินหงผาวได้ใช่มั้ยล่ะ มันต้องสไตล์โบราณของประเทศเราซี่ถึงจะประณีตและงดงาม
หลังจากอธิบายทุกอย่างให้ช่างภาพฟังอย่างชัดเจนแล้วฉินเหรินไปบ้านไร่พร้อมกับฉินหลินเลยเพื่อจะไปถามความเห็นกับจ้าวโม่ชิงเพิ่มเติม
“เอาตามสามีบอก” เป็นคำตอบของจ้าวโม่ชิง
เรื่องนี้เธอไม่ได้เรื่องมาก แค่เอาตามสามีเธอก็พอแล้ว เพราะเธอมั่นใจว่าเขาได้เตรียมการมาอย่างรอบคอบมากพออยู่แล้วนั่นเอง
อะไรที่สามารถจัดให้อย่างประณีตเธอจะชอบเสมอ
แล้วสุดท้ายก็นัดเวลาถ่ายกัน โดยจะมีเวลาในการเตรียมตัวสามวัน อีกสามวันฉินเหรินจะพาพวกมาที่บ้านไร่ตรงเวลา
หลังจากเห็นฉินเหรินออกไปแล้วจ้าวโม่ชิงก็กอดคอของฉินหลินด้วยท่าทีที่อ่อนโยน “ใจดีจังเลยนะเธอเนี่ย~ หื้ม?”
“แค่ใจดีเองเหรอ?” ฉินหลินยิ้มพร้อมกับกอดเอวเธอพร้อมกับพูดจาหยอกล้อ
“ถ้าเธอรู้ว่าฉันเตรียมเฟิ่งกวนเสียเพ่ยแบบไหนให้ล่ะก็ พระองค์อาจอยากใส่มันจนวันตายเลยก็เป็นได้นะพะยะค่า”
“สวามีของเรานั้นดีที่สุดอยู่แล้ว” จ้าวโมชิงพูดจบก็จูบฉินหลินอย่างดูดดื่ม
ฉินหลินก็พูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ในเมื่อทรงทราบแล้วว่าข้าพระองค์เป็นคนดีที่สุด เช่นนั้นคืนนี้พระองค์ควรประทานรางวัลแก่ข้าพระองค์ใช่หรือไม่?”
จ้าวโม่ชิงก็ยิ้มหวานให้ก่อนจะโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหู “เช่นนั้นเราจะร่วมมือกับเจ้าแม้นต้องใช้กระบวนท่าที่น่าอายก็ตาม แต่เราก็จะให้ความร่วมมือในทุกกระบวนท่าที่เจ้าต้องการ...”
บทสนทนาที่เล่นละครเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยนี้ทำเอาเลือดลมสูบฉีดทั้งส่วนบนส่วนล่าง พลางคิดไปถึงวิดีโอตัวอย่างที่แสดงถึงกระบวนท่ามากมายของคุณครูโอฮาชิที่ก่อนหน้านี้จ้าวโม่ชิงไม่เคยชอบเลย
ดังนั้นจงหมั่นทำดีกับเมียเข้าไว้ เมื่อเมียประทับใจผู้เป็นผัวเองนั่นแหละที่จะได้ประโยชน์ใช่มั้ยล่ะ
............................................................................................
สามวันผ่านไปไวเหมือนตัดต่อ
ที่อาคารบริการเฉพาะของทะเลดอกไม้รวมของบ้านไร่ชิงหลิน ฉินเหรินกับพรรคพวกจากเชียนสี่โปรดักชันกำลังมือเป็นระวิงกันเลย
ช่างภาพที่พามาด้วยนั้นได้สั่งให้คนเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ถ่ายภาพไปประกอบและเซตค่า
เกาเหยาเหยากับหลินหลานจื่อพาพนักงานบ้านไร่มาตั้งเต็นท์สองหลัง
เถ้าแก่กับเถ้าแก่เนี้ยกำลังจะถ่ายพรีเวดดิ้งกัน ดังนั้นในฐานะที่เป็นผู้จัดการหญิงอันดับสูงสุดของบ้านไร่แล้วพวกเธอต้องมาช่วยบริการเป็นธรรมดา
เต็นท์ที่ว่านี้หนึ่งคือให้ฉินหลินใช้เปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนอีกหนึ่งก็ให้จ้าวโม่ชิง
และตอนนี้
สายตาของจ้าวโม่ชิงได้ถูกกล่องบรรจุภัณฑ์สองใบดึงดูดจนไม่อาจวางตา หนึ่งในนั้นบรรจุเฟิ่งกวนเสียเพ่ยที่ฉินหลินสั่งตัดให้เธอโดยเฉพาะอยู่
จนถึงตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่าเลยว่าเฟิ่งกวนเสียเพ่ยนั้นหน้าตาเป็นยังไง ได้ยินแค่จากคำสัญญาของฉินหลินว่าเธอจะต้องตกใจจนอยากใส่มันจนวันตายเท่านั้น และมันได้ทำให้เธอกระตือรือร้นอยากเปิดกล่องนั้นเดี๋ยวนี้เลย
หลังจากที่เกาเหยาเหยากับหลินหลานจื่อพาพนักงานบ้านไร่มาตั้งเต็นท์เสร็จแล้ว ฉินเหรินก็มาพูดกับฉินหลินและจ้าวโม่ชิง “หลินจื่อ โม่ชิง พวกนายไปเปลี่ยนชุดได้เลยนะ เปลี่ยนแล้วเด๋วให้ช่างแต่งหน้ามาแต่งหน้าให้”
เกาเหยาเหยากับหลินหลานจื่อแอบขยิบตาให้กัน
หลินหลานจื่อหยิบกล่องที่ใส่เฟิ่งกวนเสียเพ่ยขึ้นมา ส่วนเกาเหยาเหยาก็ควงแขนจ้าวโม่ชิง “ปะค่ะพี่โม่ชิง เด๋วพวกหนูช่วนเปลี่ยนชุดให้น้า”
จริง ๆ แล้วเป็นคำสั่งของฉินหลิน
เพราะเฟิ่งกวนเสียเพ่ยนั้นใส่เองคนเดียวไม่ได้ต้องให้คนอื่นช่วย โดยเฉพาะทรงผมที่เข้ากับมงกุฎเฟิ่งหวงนั้นหลินหลานจื่อมีฝีมือด้านนี้พอดี
และมีเหตุผลส่วนตัวด้วยคือแม่สองสาวนี้อยากเห็นก่อนใครว่าเฟิ่งกวนเสียเพ่ยที่เถ้าแก่เตรียมไว้ให้เถ้าแก่เนี้ยเป็นยังไงบ้าง
ชุดแต่งงานนั้นเป็นของธรรมดาก็จริงอยู่ แม้แต่เฟิ่งกวนเสียเพ่ยจากโรงงานเองก็ยังหาได้ทั่วไป แต่ว่าเฟิ่งกวนเสียเพ่ยของแท้นั้นหายากมาก และยิ่งเป็นของที่เถ้าแก่สั่งตัดเป็นพิเศษให้เถ้าแก่เนี้ยด้วยแล้วย่อมไม่ใช่ธรรมดาชัวร์ ๆ
ฉินหลินสวมฉีหลินหงผาวด้วยตัวเองได้ เขาเอากล่องไม้เข้าไปในเต็นท์ของตนแล้วเปลี่ยนชุดอย่างง่ายดาย
หลังจากที่สามสาวจ้าวโม่ชิง, หลินหลานจื่อ และเกาเหยาเหยาเข้าไปในเต็นท์แล้วก็พากันเปิดกล่องที่บรรจุเฟิ่งกวนเสียเพ่ยทันที
เฟิ่งกวนเสียเพ่ยอันงดงามปรากฏสู่สายตาของทั้งสามสาว
ดวงตาที่สวยงามของจ้าวโม่ชิงลุกวาวขึ้นมาทันทีที่ได้เห็น ทั้งสี ทั้งรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งลวดลายสีทองที่ปักไว้ เธอรู้เลยว่าชุดนี้ตัดมาอย่างประณีตสุดขีดแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีมงกุฎเฟิ่งหวงกันงดงามอย่างยิ่งวางถัดจากชุดแต่งงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง ลวดลายแกะสลัก หรือขอบทอง ทุกอย่างล้วนทำให้เธอต้องตกหลุมรักมันตั้งแต่แรกเห็น
หลินหลานจื่อหยิบมงกุฎเฟิ่งหวงขึ้นมาดูใกล้ ๆ และเผยสีหน้าเหลือจะเชื่อ “สี่นี่มันทองคำบริสุทธิ์เลยเชียวนะ!”
“ทองจริงหมดเลยเหรอ!” เกาเหยาเหยาอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงเมื่อได้ยิน
เธอมองดูมงกุฎเฟิ่งหวงและเริ่มคำนวณด้วยหัวสมองน้อย ๆ
เท่าที่ดูแล้วน่าจะหนักซักเจ็ดแปดร้อยกรัมใช่มั้ยหนิ
ประกอบกับสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ตึงเครียดช่วงนี้ทำให้ราคาทองเพิ่มขึ้นเป็นกรัมละ 400 งั้นมงกุฎนี่ก็เกิน 3 แสนเลยดิ! ใช่มะ?
เถ้าแก่ไม่รวยเกินไปเหรอเนี่ย?
มือของหลินหลานจื่อที่ถือมงกุฎอยู่เริ่มจะสั่น ๆ ขึ้นมา เพราะเธอกำลังถือมงกุฎเฟิ่งหวงราคา 3 แสนกว่าอยู่ในมือ ลองใครมาถือดูซิว่าสั่นไม่สั่น
“ด้ายสีทองบนชุดนี่ก็ไม่ใช่ด้ายด้วยมั้ง น่าจะทำจากทองจริงเหมือนกัน ใช่มั้ยคะ” เกาเหยาเหยาพูดพร้อมกับชี้ไปที่ลายปักสีทองบนตัวชุด
หลินหลานจื่อตอบอย่างมั่นใจ “ว่าถ้ามงกุฎนี่ทำจากทองจริงล่ะก็ ด้ายนี่ก็ต้องทองจริงด้วยเหมือนกัน!”
จ้าวโม่ชิงฟังสองสาวคุยกันพลางหยิบชุดเฟิ่งกวนเสียเพ่ยขึ้นมากางดู
และเมื่อกางออกดูมันก็เผยให้เห็นความงดงามที่มันมี ดั่งงานศิลปะอันวิจิตรซึ่งดึงดูสายตาทุกคนไม่ให้ละไปไหน
จ้าวโม่ชิงยิ่งมองก็ยิ่งดีใจ ดีใจที่ฉินหลินให้ความใส่ใจมาก ๆ และแทบรอสวมใส่มันไม่ไหวแล้ว เธอให้เกาเหยาเหยากับหลินหลานจื่อช่วยใส่ให้ทันที
เฟิ่งกวนเสียเพ่ยตัวนี้มีชายเสื้อยาวซึ่งงดงามมาก และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสวมใส่ได้โดยที่ไม่มีคนช่วย
หลินหลานจื่อกับเกาเหยาเหยาก็ช่วยเธอสวมทันที อีกทั้งหลินหลานจื่อยังช่วยเธอทำผมและจัดทรงอย่างบรรจงเพื่อให้เข้ากับมงกุฎเฟิ่งหวงด้วย
และเมื่อจ้าวโม่ชิงสวมเฟิ่งกวนเสียเพ่ยกับมงกุฎเฟิ่งหวงแล้วทั้งหลินหลานจื่อและเกาเหยาเหยาต่างก็ตกตะลึงไปเลย ทั้งคู่ต่างก็มีสีหน้าเหลือจะเชื่อ
เพราะจู่ ๆ เถ้าแก่เนี้ยก็เปลี่ยนไปในทันทีที่สวมทั้งสองชิ้นเข้าชุดกัน เธอสวยมาก มีเสน่ห์ที่ไม่อาจอธิบายได้ซึ่งดึงดูดทุกคนที่ได้เห็นแม้กระทั่งผู้หญิงด้วยกันอย่างพวกเธอเอง อีกทั้งยังทำให้ผู้หญิงด้วยกันอย่างพวกเธอต้องรู้สึกต้อยต่ำ
ความโบราณของมันยังให้บรรยากาศพิเศษเหมือนว่าเถ้าแก่เนี้ยเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งจากสมัยโบราณผู้ข้ามกาลเวลามายังยุคนี้ ทำให้พวกเธอต้องเหม่อมองอย่างงุนงง
นี่คือผลของโบนัสคุณสมบัติเสน่ห์ +2, โดดเด่น +2 และวินเทจ +2
ด้วยโบนัสคุณสมบัติเหล่านี้แม้แต่คนขี้เหร่ก็ยังสวยได้ เพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงจ้าวโม่ชิงที่สวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
หลินหลานจื่อที่เหม่อมองจ้าวโม่ชิงอยู่ได้พูดว่า “นี่เหยาเหยา ในอนาคตผู้ชายที่จะแต่งกะเธอต้องให้เฟิ่งกวนเสียเพ่ยแบบนี้กะเธอก่อนนะค่อยตอบตกลง”
เกาเหยาเหยาหันขวับมาทันที “พี่หลานจื่อคิดว่าหนูโง่เหรอคะ ถ้าทำงั้นล่ะก็หนูก็ไม่ต้องแต่งงานกันพอดีสิ”
ปล.
สามสื่อหกพิธี (三书六礼) เป็นพิธีแต่งงานแบบจีนโบราณ
三书 = เทียบ (สื่อ) 3 แบบ : เทียบหมั้น (聘书) เทียบสินสอด (礼书) เทียบเชิญเจ้าสาว (迎书)
六礼 = พิธีทั้ง 6 : ทาบทาม (纳彩) ถามชื่อ (问名) ดูสมพงศ์ (纳吉) หมั้น (纳征) ดูฤกษ์ (请期) รับตัวเจ้าสาว (迎亲)