ตอนที่ 1 สิบแปดป้อมตระกูลแห่งภูเขาเหลียนหวิน
ตอนที่ 1 สิบแปดป้อมตระกูลแห่งภูเขาเหลียนหวิน
ปีที่ 8329 ของจักรวรรดิซีอู่ เป็นช่วงเวลาที่เกิดความโกลาหลเกิดขึ้นมากมายและชีวิตทั่วไปถือว่าไม่มีค่ามากไปกว่าหญ้าที่เติบโตตามทางเดิน ขุนพลอันธพาลของแคว้นต่าง ๆ เร่งรีบเพื่อพิชิตดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ จนทำให้เกิดการลุกฮือของเหล่าบุรุษผู้กล้า เมื่อจักรพรรดิหมิงอู่ขึ้นครองราชย์ พระองค์ปราบปรามกลุ่มกบฏและกลุ่มเจ้าแคว้นชั่วร้ายที่ก่อความไม่สงบ เกิดการหลั่งเลือดและสังหารหมู่ตามมา กระทั่งผู้ก่อความไม่สงบไม่เหลืออีกต่อไป
ตอนกลางของจักรวรรดิซีอู่คือเขตเมืองตงหลิน ที่ซึ่งเทือกเขาตงหลินทอดแนวสาขาไปถึง ลึกเข้าไปในป่าบนภูเขา มีต้นไม้สูงชะลูดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมด้วยเนินหินสูงชันและอันตราย ไกลออกไปมีป้อมปราการสิบแปดแห่งที่สร้างด้วยหินตั้งตระหง่าน
คิดดูว่าจะต้องใช้พลังงานมากมายเพียงไหนในการสร้างป้อมปราการอันน่าสะพรึงกลัวนี้ สร้างมาได้อย่างไร ช่างก่อสร้างในสมัยก่อนสร้างป้อมปราการด้วยหินก้อนใหญ่ได้ทีละก้อน มันจึงยืนหยัดตระหง่านอย่างภาคภูมิท่ามกลางขุนเขาจนบัดนี้
มีปราสาททั้งหมดสิบแปดแห่ง แต่ละแห่งเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลเดียวกัน ทุกกลุ่มตระกูลล้วนมีแซ่เดียวกัน ตระกูลเหล่านี้เรียกรวมกันว่าสิบแปดตระกูลแห่งเทือกเขาเหลียนหวิน ซึ่งเป็นกลุ่มที่รู้จักกันดีในแคว้นตงหลิน
สนามฝึกยุทธ์ ป้อมตระกูลเย่
แม้ว่ารัศมีจากดวงอาทิตย์ยามเช้าเพิ่งจะเริ่มสาดแสงให้เห็นจากช่องภูเขาสองลูกที่อยู่ห่างไกลออกไป แต่สนามฝึกยุทธ์ก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว
“ความเพียรพยายามอย่างเคร่งครัดจะช่วยชดเชยข้อบกพร่องใดๆ ก็ได้ – นี่คือหลักการความจริงข้อแรกของการฝึก ฝึกมันทุกอย่าง เวลาที่ดีที่สุดในการฝึกในแต่ละวันคือช่วงที่แสงแรกของวันปรากฏขึ้น เนื่องจากนี่คือเวลาที่ร่างกายกระฉับกระเฉงและพลังงานตื่นตัวที่สุด”
บุรุษร่างกำยำกล่าวกับกลุ่มคนจำนวนมาก
“หากพวกเจ้าฝึกฝนอย่างจริงจังในช่วงเวลานี้ของวัน พวกเจ้าจะได้ผลเป็นสองเท่าของความพยายามของพวกเจ้า”
มีสมาชิกตระกูลหลายพันคนที่อาศัยอยู่ในป้อมตระกูลเย่ เนื่องจากเด็กอายุ 10 ถึง 18 ปีจะมีสิทธิ์ได้รับการฝึกวิทยายุทธ์ มีศิษย์ฝึกวรยุทธ์อย่างน้อย 200 ถึง 300 คนในตระกูลเย่
คนรุ่นเยาว์เหล่านี้ยืนเป็นรูปแบบสี่เหลี่ยม ฝึกวิชาหมัดมวย หมัดและเท้าของพวกเขาชัดเจนหมดจดสอดประสานกัน
"นิ่งดุจขุนเขา เคลื่อนไหวดุจพายุ นี่คือวิธีเอาชนะศัตรู ปัจจัยแรกของชัยชนะคือการโจมตีให้รวดเร็ว อาจมีหนทางตอบโต้ด้วยเคล็ดลับอื่นๆ แต่ความเร็วเป็นสิ่งที่ไม่มีวันถูกตอบโต้ได้อย่างแท้จริง โดยความเป็นจริงแล้ว พวกเราตระกูลเย่มักจะเน้นไปที่ความเร็วเป็นหลัก!”
จากนั้นบุรุษวัยกลางคนก็สาธิตเคล็ดวิชาหมัดตามลำดับ ทุกๆ ครั้งที่ออกหมัดนั้นน่าเกรงขามราวกับการโจมตีของพยัคฆ์คำรามเทียบเท่ากับเสียงฟ้าร้อง มันคือหมัดวายุของตระกูลเย่ ซึ่งเป็นกระบวนท่าหมัดมวยที่เป็นเอกลักษณ์ มีอำนาจน่าเกรงขามและสง่างามมากขึ้นด้วยการบ่มเพาะพลังสายฟ้า ภายในของตระกูลเย่
ลมกระโชกเกิดขึ้นเมื่อพลังงานภายในในแต่ละหมัดอัดกระแทกอากาศ ทำให้ใบหน้าของผู้รับชมรู้สึกแสบร้อน
และพวกเขาก็ถอยห่างออกไปสองสามก้าวทีละคน
“ลุงสามน่าทึ่งมาก!
“แน่นอน เขาคือบุคคลอันดับที่สามในตระกูล ความกล้าหาญของเขาเป็นรองประมุขตระกูลและผู้คุมกฎของเราเท่านั้น!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นขณะที่กลุ่มมองดูบุรุษวัยกลางคนด้วยความเคารพ
ชื่อของเขาคือเย่จ้านฉวง อาจารย์สอนวิทยายุทธ์หลักของบ้านตระกูลเย่ บุรุษผู้มีชื่อเสียงไร้ที่ติในหมู่เพื่อนร่วมรุ่นของเขา
พวกผู้เยาว์ในสนามฝึกส่งเสียงโห่ร้อง และทักษะที่ยอดเยี่ยมของเย่จ้านฉวงทำให้พวกผู้เยาว์ได้เปิดหูเปิดตา
ห่างจากความวุ่นวายไปไม่กี่ร้อยเมตร เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินตรงมุมสนามฝึก หลับตาและนั่งขัดสมาธิมีลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปเมื่อแสงแดดยามเช้าส่องต้องผิวของเขา แม้ว่าไม่สามารถส่องแสงในใจได้
เขาอายุเพียง 17 หรือ 18 ปี ใบหน้าราวกะแกะสลักด้วยมีด คิ้วเรียวยาวราวกับดาบ จมูกแหลมชัดราวกับหน้าผา และเขาเต็มไปด้วยความกล้าหาญ อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นจากเขา คือเขามีกลิ่นอายของความสงบสุขซึ่งเด็กในวัยเขาไม่ควรมี เด็กคนนี้ชื่อเย่เฉิน
ไม่รู้ว่าต่อกี่ครั้งแล้วที่เขาหายใจเข้าออกตามวิธีการฝึกพลังอัสนีบาต แต่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทุกครั้งที่เขาเริ่มสะสมพลังปราณได้ พลังก็จะกระจายสลายไปผ่านเส้นลมปราณที่เสียหาย ปราณที่ควรจะโคจรได้ ไม่เหลืออยู่ในตัวเขา ร่างกายของเขาไม่สามารถสะสมพลังปราณฟ้าได้
เด็กสองคนในตระกูลเดินผ่านไป และเมื่อพวกเขาเห็นเย่เฉินนั่งขัดสมาธิ พวกเขาก็แสดงอาการดูถูกเหยียดหยาม
“เส้นลมปราณของเขาขาดสะบั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสะสมพลังปราณฟ้า แต่เขายังคงแสร้งทำเป็นอยู่ที่นี่ทุกวัน”
“ไม่ต้องพูดถึงจำนวนยาที่เขากินทุกวันหรอก เฮ้อ! ถ้าให้พวกเรากินในปริมาณเท่ากัน พระเจ้าก็รู้ดีว่าจะมีดาวรุ่งกี่ดวงที่จะออกมาจากตระกูลของเรา ข้าสงสัยว่ายานั้นควรป้อนให้สุนัขรับทานมากกว่าเขาหรือเปล่า ถ้าเป็นข้าในสภาพที่น่าสมเพชแบบนั้น ข้าคงโดดน้ำตายไปนานแล้ว ดีกว่าอยู่อย่างอัปยศ!”
“หุบปาก! อย่าพูดดังไป! เขายังเป็นลูกชายของประมุขตระกูลอยู่นะรู้ไหม?”
"ลูกชายประมุขตระกูลแล้วไงเล่า? ลูกหลานตระกูลเย่ของเราไม่เคยแบ่งแยกสูงและต่ำ แล้วทำไมเขาจะต้องได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าเล่า?"
เด็กสองคนจากตระกูลจงใจพูดเสียงดัง และมันก็เข้าหูของเย่เฉิน เย่เฉินหลับตาลงแสร้งทำเป็นหูทวนลมและฝืนอดทนหัวเราะเยาะตัวเองอยู่ในใจ ถ้าเป็นเขาเมื่อก่อน เขาจะรีบเร่งวิ่งออกไปท้าสู้กับพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขาได้เรียนรู้ที่จะอดทนแล้ว ปัจจุบันเขาเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์และเขาไม่ใช่คู่มือของคนสองคนนี้เลย
ในอดีต เย่เฉินฝึกพลังลมปราณได้ถึงระดับที่ 5 เมื่ออายุ 12 ปี พลังลมปราณระดับ 6 เมื่ออายุ 13 ปี และถึงจุดสูงสุดของพลังงานลมปราณระดับ 6 เมื่ออายุ 14 ปี เขาเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในป้อมตระกูลเย่ในรอบร้อยปี ต่อมาในระหว่างภารกิจของตระกูล เย่เฉินและคุณชายห้าคนของตระกูลได้เข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาเหลียนหวินเพื่อล่าสัตว์อสูร แต่พวกเขากลับถูกซุ่มโจมตี และคุณชายทั้งห้าของตระกูลถูกสังหาร ศัตรูเหล่านั้นดูเหมือนจะทรมานเย่เฉินอย่างจงใจและทำให้เส้นลมปราณของเขาขาดสะบั้น แม้ว่าเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากคนในเตระกูลของเขา แต่เย่เฉินก็กลายเป็นคนพิการตั้งแต่นั้นมา
ราวกับว่ากลุ่มโจรต้องการให้เย่เฉินต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ – ลูกหลานตัวน้อยยังมีชีวิตอยู่ แต่พิการอย่างถาวร
ในจักรวรรดิซีอู่ บุคคลสะท้อนถึงศักดิ์ศรีของพวกเขา และผู้ที่ไม่มีความแข็งแกร่งจะถูกผู้อื่นมองผ่าน ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าการฝึกพลังในตอนเช้า เหมาะสมที่สุดสำหรับการฟื้นฟูเส้นลมปราณของเขา เขาคงไม่ได้มาที่ที่แออัดขนาดนี้
'ผ่านมาสามปีแล้ว เส้นลมปราณของข้าคงจะไม่ทางฟื้นตัวเลยใช่ไหม' ความไม่พอใจเกิดขึ้นลึกๆ ในตัวเขา เขาไม่เต็มใจที่จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์เช่นนี้
เย่เฉินยังคงพยายามรวบรวมพลังปราณอีกครั้งไม่น่าแปลกใจเลย เขายังคงล้มเหลว เส้นลมปราณที่ขาดสะบั้นของเขานั้นราวกับไม้ที่ตายแล้วซึ่งแมลงและมอดกัดกิน ไม่มีร่องรอยของชีวิต
เขานั่งขัดสมาธิบนหินเหมือนหลวงจีนเฒ่ากำลังนั่งสมาธิฝังจิตสำนึกของตนลงสู่ทะเลแห่งสติ ภาพของมีดบินปรากฏขึ้นในทะเลสติ มีดบินนี้มีสีแดงเลือด บางเฉียบราวกับปีกจั๊กจั่น และใสดุจแก้วผลึก เรืองแสง นี่คือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเย่เฉินไม่เคยละทิ้งความหวังว่าเขาจะสามารถกลับคืนสู่ความแข็งแกร่งในอดีตของเขาได้
เย่เฉินเติบโตขึ้นมาในฐานะคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีความสามารถพิเศษ แต่เป็นมีดบินที่นำเขาเข้าสู่โลกแห่งวิทยายุทธ์
จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ว่ามีดบินนี้มีวัตถุประสงค์อะไรเมื่อใดก็ตามที่ความคิดของเขาจมลงสู่ทะเลแห่งสติเขาจะพบว่ามันถูกกักอยู่ในจิตสำนึกอย่างเงียบงัน ไม่ว่าเย่เฉินจะใช้วิธีใดก็ตาม เขาก็ไม่สามารถแตะต้องมันได้
เป็นเวลาสามปีแล้วที่ตกลงมาจากจุดสูงสุดสู่จุดต่ำสุด คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทนต่อความตกต่ำดังกล่าวได้ แต่เย่เฉินยังคงต้องอาศัยบุคลิกที่เข้มแข็งของเขาและรอดพ้นจากการเยาะเย้ยของผู้คนนับไม่ถ้วน หลายปีที่ผ่านมาสอนให้เขามีความอ่อนน้อมถ่อมตนและลดความหุนหันพลันแล่นของตัวเอง
เย่เฉินพยายามฝึกพลังวิชาอัสนีบาตและมีความรู้สึกร้อนในช่องท้องส่วนล่างของเขา กระแสพลังงานลึกๆ ควบแน่นและโคจรช้าๆ ไปตามเส้นลมปราณ แต่ทุกครั้งที่มันไปถึงเส้นลมปราณขาดสะบั้น พลังปราณจะสลายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ หลังจากนั้นไม่นานพลังปราณที่รวบรวมมาด้วยความยากลำบากก็หายเหือดแห้งไปหมด
“ให้ตายเถอะ ทำไมข้ายังสะสมพลังปราณไม่ได้!”
เย่เฉินต่อยหินด้วยความโกรธ เลือดแดงสดไหลออกมาจากหมัด ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเท่านั้นที่จะบรรเทาความหดหู่และความเจ็บปวดในหัวใจของเขา เป็นไปได้ไหมว่าเขาถูกกำหนดให้เป็นคนไร้ค่าตลอดไปหรือเปล่า?
เมื่อตอนที่เขาถึงจุดสูงสุดของความแข็งแกร่งก่อนหน้านี้ เขาทะลวงพลังผ่านขอบเขตหนึ่งไปอีกระดับหนึ่งด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง ร่างกายของเขาเหมือนอ่างน้ำวนดูดซับพลังปราณฟ้าจากโลกภายนอกอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนเป็นพลังภายในอย่างรวดเร็ว มันสามารถ แม้กระทั่งแข่งขันกับยอดฝีมือระดับเจ็ด แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับร่างกายของเขาที่จะรักษาแม้แต่ร่องรอยของพลังปราณฟ้า
เย่เฉินใช้เวลานานในการสงบสติอารมณ์ของเขา เขาไม่มีทางออก ถ้าเขายอมแพ้ เขาจะเป็นคนไร้ประโยชน์ไปตลอดชีวิต!
ตามปกติ จงสงบสติอารมณ์และรวบรวมพลังงานปราณฟ้าต่อไป หลังจากใช้เวลาชั่วธูปไหม้ เขาจะรู้สึกถึงกระแสปราณเล็กน้อยที่โคจรผ่านช่องเปิดของเส้นลมปราณที่เสียหายอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กระแสพลังนั้นอ่อนแอมากเสียจนอาจหายไปในไม่กี่วินาที
เย่เฉินพยายามหนัก มีเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของเขา และในที่สุด กระแสพลังเหล่านั้นก็ค่อยๆ ควบแน่นเป็นหยด โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ทะเลปราณในช่องท้อง พลุ่งพล่านขึ้นไป แต่ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหวสั้นๆ ออกไป ประกายพลังเหล่านี้บางส่วนจะหายไปและดูเหมือนว่าจะสูญเสียไปโดยสิ้นเชิง
‘ข้าจะพลาดไม่ได้!’
ในที่สุดพลังงานพลังปราณฟ้าที่เขาสะสมได้ก็กำลังจะพังทลายลง เย่เฉินดูเหมือนจะรู้สึกถึงการร้องเรียกแปลกๆ หัวใจของเขาก็สงบลงและเขาก็เข้าสู่สภาวะแปลกประหลาด ราวกับว่ามีสายลมพัดผ่านหัวใจของเขา ท้องฟ้าก็แจ่มใส ชัดเจนไม่มีฝุ่นธุลีเลย
ภาพของมีดบินปรากฏขึ้นในใจของเย่เฉินอีกครั้ง โดยมีใบมีดเหมือนปีกจั๊กจั่น และทันใดนั้นก็มีเสียงหึ่งๆ แปลกๆ
มีดบินนี้มีพลังแปลกประหลาด ซึ่งทำให้เย่เฉินต้องการค้นหา มันคือสิ่งที่พาเขามาสู่โลกนี้ เขาไม่รู้ว่ามีดบินนี้มีความลับอะไรอยู่
เมื่อเร็วๆ นี้ มีดบินมักจะสั่นสะเทือนเป็นประจำ และความถี่ในการสั่นสะเทือนก็บ่อยมาก
เย่เฉินขยายความคิดของเขาอย่างมีความหวัง ต้องการสัมผัสมีดบิน และพยายามดูว่าเขาจะสามารถเข้าถึงมีดบินและควบคุมมันได้หรือไม่
ทันใดนั้น มีเสียงดังหึ่งๆอยู่ในใจของเขา และแก้วหูของเย่เฉินยังคงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับว่ามีบางอย่างกระแทกกระทั้นอยู่ในใจของเขา พลังที่น่าสะพรึงกลัวและสง่างามหลั่งไหลออกมาจากมีดบิน ราวกับกระแสน้ำที่โหมกระหน่ำ กระแสพลังพุ่งไปตามเส้นลมปราณที่เสียหาย และ พลังงานปราณที่เย่เฉินสะสมได้ในที่สุดก็กระจายไปในทันที
เย่เฉินรู้สึกตกใจเมื่อพบว่าพลังนี้ควบคุมไม่ได้โดยสิ้นเชิง เขารีบดึงความคิดของเขากลับมา และพลังนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที ราวกับว่ามันไม่เคยปรากฏมาก่อน
"เกิดอะไรขึ้น?"
ดวงตาของเย่เฉินเบิกกว้างพร้อมกับร่างกายของเขาที่เดินกะเผลก เขาหอบหายใจดังๆ และตรวจสอบเส้นลมปราณของเขา แต่พบว่ายังคงได้รับความเสียหาย
มีดบินลอยอยู่ในใจของเขาอย่างเงียบๆ พลังที่หลั่งไหลออกมาให้ความรู้สึกคล้ายกับปราณฟ้า แต่ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกลึกลับยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น เย่เฉินก็รู้สึกคันเล็กน้อยที่มือ เมื่อมองลงไป เขารู้สึกประหลาดใจที่พบว่าผิวหนังของมือของเขาถูกปกคลุมไปด้วยสะเก็ดผิวหนังบางๆ ปัดสะเก็ดผิวหนังออก และพบว่ามือสีอมชมพูนุ่มนวลของเขาดราวกับมือทารกเนื่องจากมือของเขาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่างไปแล้ว
“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าเลยแค่กระตุ้นพลังของมีดบินจะทำให้เกิดผลเช่นนั้น”
ใจของเย่เฉินสั่นเล็กน้อย มีดบินนี้น่าทึ่งมาก เขาอยากจะสำรวจมันต่อไปมากขึ้น แต่หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็ตัดสินใจรอจนกว่าจะถึงค่ำคืนดีกว่า
หลังจากสอนเด็กๆ ของตระกูลแล้วเย่จ้านฉวง ก็ยืนเอามือไพล่หลัง สายตาของเขากวาดมองไปที่เด็กหนุ่มที่กลับมาออกกำลังกายในตอนเช้าอีกครั้ง และไปหยุดอยู่ที่เย่เฉิน ที่มุมหนึ่งของสนามฝึกยุทธ์ เขาอดถอนหายใจอย่างเสียใจไม่ได้ สีหน้าของเขาเศร้าสร้อย หากเย่เฉินไม่ถูกซุ่มโจมตี ด้วยพลังฝึกปรือในปัจจุบันของเขาเขาอาจจะแซงหน้าเขากลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในหมู่รุ่นผู้เยาว์ของตระกูลและเขายังสามารถรับภารกิจสำคัญในการปกป้องตระกูลในอนาคตได้ น่าเสียดายที่ฟ้าริษยาอัจฉริยะ
ในความเป็นจริง เขายังคงชอบบุคลิกของเย่เฉิน เขาเป็นคนหุนหันพลันแล่นเล็กน้อยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา บุคลิกของเขาสงบเยือกเย็นลงมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเส้นลมปราณเสียห
าย เขาจะกลายเป็นอาวุธอันยิ่งใหญ่ในอนาคต เป็นแต่เพียงโชคชะตา ยากจะเข้าใจเสมอ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เย่จ้านฉวงก็เดินไปหาเย่เฉิน