บทที่ 182 ฝึกดาบ
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมตนมีลูกสาวเพียงสามคน แต่ต้องแบ่งเวลาไปเยี่ยมอย่างน้อยเดือนละครั้ง เขาที่ขาดความรักจากพ่อจึงอยากจะมอบให้ลูกของตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
และถ้าฉินชิงตั้งครรภ์ เหลียงอี้คิดว่าเขาจะมีความสุขมาก เพราะฉินชิงเป็นคนแรกที่เขาชอบมาก สนมเหล่านั้นไม่สามารถเทียบกับฉินชิงได้เลย
แต่ฉินชิงไม่ตั้งครรภ์เสียที เหลียงอี้ก็รู้สึกหดหู่ใจ นี่ก็หนึ่งปีเต็มแล้ว เมื่อคิดถึงจำนวนครั้งที่ตนไปตำหนักจงชุ่ย เหลียงอี้ก็รู้สึกไม่ควรจะเป็นเช่นนี้
“ฝ่าบาท เช่นนั้นหม่อมฉันจะฝึกอยู่ตรงนี้นะเพคะ ฝ่าบาทอยากจะไปพักผ่อนด้านล่างก่อนหรือไม่?”
จนกระทั่งได้ยินคำถามของฉินชิง เหลียงอี้จึงได้สติกลับมา
“ดีเหมือนกัน เจิ้นมองชิงเอ๋อร์รำดาบอยู่ข้างล่างแล้วกัน คราวก่อนที่ชิงเอ๋อร์รำดาบ เจิ้นยังประทับใจอยู่เลย”
ฉินชิงนึกถึงเรื่องนี้ก็ยังเคืองเขาอยู่ เพราะในวันนั้นนางถูกทรมานจนน่าสังเวช ตอนนี้พอเห็นเหลียงอี้ยิ้มหน้าบาน ก็อยากจะทุบเหลียงอี้สักที
แต่ฉินชิงก็ยังอดทนไว้ นางต้องรอขึ้นไปบนแท่นฝึกเพื่อระบายสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดลงบนการฝึกทักษะดาบ
จริงๆ แล้ว การที่ฉินชิงฝึกวรยุทธ์อย่างหนักตั้งแต่เด็กยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือฉินชิงพบว่าการฝึกวรยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่สามารถปรับปรุงคุณสมบัติร่างกายได้เท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจสงบลงได้อีกด้วย
ก็เหมือนกับคนยุคใหม่วิ่งเพื่อปลดปล่อยความเครียด หลังออกกำลังกายสมองจะปล่อยสารโดพามีนออกมา จากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นความสุข
แต่ความสุขของฉินชิงกับความสุขของคนธรรมดาอาจไม่ค่อยเหมือนกัน ความสุขของฉินชิงก็เป็นแบบนั้น วันนี้ใครยั่วยุนาง เช่นนั้นตอนที่นางฝึกวรยุทธ์ในใจของนางจะคิดถึงคนนี้อยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็ใช้คนนี้เป็นเป้าหมายในการตี
แม้ว่าจะฟังดูแปลกๆ แต่ฉินชิงรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้อยากจะตีใครจริงๆ แค่ระบายอารมณ์เฉยๆ เท่านั้น
บางครั้ง เป้าหมายที่ฉินชิงคิดก็ไม่ใช่คนเลย แต่เป็นสิ่งของ เช่นหนังสือที่อยู่ในมือของอาจารย์หญิงซึ่งใช้สอนเรื่องคุณธรรมของสตรีกับฉินชิงเล่มนั้น
แม้ฉินชิงจะอยู่ในโลกนี้ แต่บางเรื่อง ฉินชิงก็ไม่ได้อยากจะเรียนรู้จริงจัง แค่เรียนรู้ผิวเผิน แบบอยู่ต่อหน้าคนนอกต้องทำแบบไหนอะไรทำนองนั้นก็พอแล้ว ส่วนเรื่องเรียนจริงจังก็ช่างมันไปก่อนเถอะ
เนื่องจากทัศนคติที่ไม่เอาจริงเอาจังของฉินชิงเช่นนี้ ฉินชิงจึงถูกอาจารย์หญิงคนนั้นสั่งให้คัดลอกคุณธรรมของสตรีไปเรื่อยๆ เป้าหมายที่ฉินชิงใช้ตีอยู่หลายวันจนปวดมือก็คืออาจารย์หญิงคนนั้นและหนังสือในมือของนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือเล่มนั้น
แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครสามารถยั่วยุฉินชิงได้ เป็นเรื่องที่ฉินชิงเบื่อหน่อยมากเป็นเวลานาน ในแต่ละวันก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้
ฉินชิงนึกถึงเหลียงอี้ เวลาลงมือย่อมรุนแรงมาก แม้ว่าทักษะดาบจะเป็นวิชาที่เน้นการหลีกเลี่ยงและใช้ทักษะร่างกาย แต่ฉินชิงก็ยังใช้เจตนาสังหารในทักษะดาบนี้ ถึงอย่างไรในทักษะดาบก็ยังมีกระบวนท่าสังหารอยู่
เหลียงอี้มองฉินชิงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สาเหตุที่เห็นการรำดาบก่อนหน้านี้เป็นเพียงการเต้นรำ เพราะฉินชิงไม่ได้แสดงกระบวนท่าเหล่านี้ออกมาในวันนั้น
โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่ฉินชิงเลือกในวันนั้นเป็นท่าที่ง่ายมาก แทบไม่ทำให้ใครบาดเจ็บ ไม่มีกระบวนท่าสังหารอะไรทำนองนั้น เมื่อรวมกับลักษณะพิเศษของทักษะดาบนี้มันดูเหมือนการเต้นรำจริงๆ
แต่เหลียงอี้เห็นฉินชิงในเวลานี้ ทักษะดาบที่แสดงออกมามันมีกระบวนท่าสังหารคูณสิบ แบบที่ไม่ให้ศัตรูมีชีวิตรอดเลย
เหลียงอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ทักษะดาบที่ฉินชิงฝึกนั้นจะมีกระบวนท่าสังหารด้วย เพราะถ้าแค่ออกกำลังกายเท่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนทักษะดาบที่ร้ายกาจเช่นนี้
แต่เมื่อเหลียงอี้คิดย้อนกลับไป กลับเหมือนจะเข้าใจแล้ว ดาบของฉินชิงเป็นดาบที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นทักษะดาบจึงไม่ธรรมดาด้วย และทักษะดาบที่ดีจะต้องมีกระบวนท่าสังหารรวมอยู่ด้วย
อย่างไรเสียทักษะดาบส่วนใหญ่ล้วนแต่มีกระบวนท่าสังหารทั้งนั้น หากไม่มีกระบวนท่าสังหาร ก็ไม่อาจเรียกว่าทักษะดาบที่ดีได้ อย่างน้อยความสำเร็จก็ไม่สามารถไปได้จนสุดทาง
ดังนั้นทักษะดาบส่วนใหญ่จึงมีกระบวนท่าสังหาร ในบ้านของชิงเอ๋อร์ดูเหมือนจะไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องนี้ การเรียนวิชาดาบก็ควรจะเรียนให้หมดถึงจะดีที่สุด
หลังจากเหลียงอี้เข้าใจแล้ว ก็เริ่มมองฉินชิงบนแท่นฝึกอีกครั้ง ทันใดนั้น สายตาของเหลียงอี้ก็จับจ้องไปที่หนึ่งไม่ละสายตา
เหลียงอี้คิดในใจว่าบริเวณนั้นของชิงเอ๋อร์ไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าตนไม่เคยสัมผัส หรือจะเป็นเพราะเสื้อผ้า?
เหลียงอี้สังเกตอย่างละเอียด ด้วยความสามารถในการสังเกตที่เฉียบแหลมของเหลียงอี้ ก็พบปัญหาอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าที่ชิงเอ๋อร์ใส่ในวันนี้ดูเหมือนจะเล็กไปหน่อย
แม้เหลียงอี้จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษ แต่สายตาก็ยังมองไปส่วนนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เหลียงอี้คิดในใจอย่างเงียบๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจ
หลังจากฉินชิงฝึกดาบลั่วอิงเสร็จแล้ว ฉินชิงกลับคิดในใจว่าแรงของตนยังไม่พอ จึงได้แต่ฝึกไปแบบเฉื่อยๆ เช่นนี้ก่อนเท่านั้น
ตอนนี้ยิ่งฝึกกระบวนท่าสังหารด้วยกำลังของนางก็ยิ่งไม่สามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ ฝึกได้แค่เจ็ดส่วนเท่านั้น และจริงอย่างที่คิดถ้าไม่ฝึกฝนตนก็จะยิ่งอ่อนแอลงและถดถอยลงเรื่อยๆ
แน่นอนว่าฉินชิงไม่ต้องการให้ตัวเองอ่อนแอลงเรื่อยๆ หลังจากฝึกฝนแล้ว ฉินชิงก็ยังอยากจะฝึกทักษะดาบลั่วอิงให้สำเร็จ จากนั้นก็พัฒนาไปให้ได้เต็มร้อยอย่างที่ฝันไว้
แม้ว่าความฝันนี้อาจจะใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จ แต่ตอนนี้ฉินชิงไม่รีบร้อน นางอยู่ในวัง และมีเวลามากมาย
ตำหนักของนางดูเล็กไปหน่อย เมื่อมองดูสนามฝึกซ้อมแห่งนี้แล้ว ฉินชิงรู้สึกว่าตนยังต้องทำตัวออดอ้อนขอให้เหลียงอี้อนุญาตให้ตัวเองมาฝึกที่สนามฝึกซ้อมแห่งนี้ได้ตลอดเวลา
ดังนั้นฉินชิงจึงเดินลงไปด้วยเจตนาแอบแฝง นางกล่าวกับเหลียงอี้ด้วยรอยยิ้ม
"ฝ่าบาทหม่อมฉันมาฝึกดาบที่นี่บ่อยๆ ได้หรือไม่เพคะ?"
เหลียงอี้ไม่คิดว่าฉินชิงออกมาขอร้องเช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนขอร้องให้อนุญาตมาที่นี่ได้บ่อยๆ
ถึงอย่างไร ก่อนที่วังหลังจะรับสนมก็มีเพียงเจิ้งกุ้ยเฟยเท่านั้นที่มีวรยุทธ์ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เจิ้งกุ้ยเฟยก็ไม่รู้สถานที่แห่งนี้ ทุกครั้งที่ฝึกแส้นางได้แต่หาพื้นที่ที่ค่อนข้างเปิดโล่งในวังหลวงเท่านั้น จากนั้นก็ส่งนางกำนัลไปเฝ้าอยู่ข้างๆ แล้วค่อยเริ่มฝึก
ฉินชิงเพิ่งมาครั้งเดียวก็อยากมาที่นี่บ่อยๆ แล้ว อยู่ๆ เหลียงอี้ก็รู้สึกว่าฉินชิงคิดเรื่องนี้มานานแล้วหรือไม่
อันดับแรกให้ตนพานางมาที่นี่ แล้วจากนั้นก็ขอให้เขาอนุญาตให้นางมาฝึกวรยุทธ์ที่นี่ได้บ่อยๆ เหลียงอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นแน่นอน
หลังจากเห็นฉินชิงใช้กลยุทธ์พิชิตใจของตนโดยการเขย่าแขนเขา เหลียงอี้ก็ยังรู้สึกว่าตอบตกลงจะดีกว่า ถ้าฉินชิงตื๊อเขาตลอดเวลาเช่นนี้สุดท้ายเขาก็ต้องอนุญาต ไม่สู้อนุญาตนางเสียตอนนี้ไปเลย
“เอาล่ะ เจิ้นอนุญาตแล้ว”
เมื่อฉินชิงได้ยินเช่นนั้นก็คาดไม่ถึงเลยจริงๆ จึงกอดเหลียงอี้แล้วพูดว่า
“จริงหรือ? ฝ่าบาทท่านช่างดีจริงๆ ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”