ตอนที่ 62 องค์ชายสาม กับ ปลาหน้าโง่ (อ่านฟรี 22/06/2567)
“ข้าเอง มีปัญหาอะไรไหม?” เฟิงหู่เดินเข้าไปหาพลางกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็ไอ้หมาบ้า ถ้าไม่มีอาจารย์แกคุ้มหัวอยู่ตระกูลโจวของข้าคงกำจัดเจ้าไปนานแล้ว!” โจวชือที่เห็นว่าผู้ที่กล่าวออกมาเป็นใครก็เข้าใจทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายกล้าพ่นคำพูดดูถูกตระกูลโจวออกมา
“เฮอะ! ในตระกูลแกก็มีแค่ไม่กี่คนที่กำจัดข้าได้ หนึ่งในนั้นไม่มีเจ้าแน่นอน!” เฟิงหู่แค่นเสียงแล้วกล่าวเยาะเย้ยอีกฝ่ายกลับไป
นั่นทำให้โจวชือหน้าแดงขึ้นมาด้วยความอับอาย นินทาลับหลังก็ว่าไปอย่าง นี่อีกฝ่ายถึงกับกล้าด่าทอเขาต่อหน้าผู้คนเช่นนี่ มันไม่ไว้หน้ากันเสียเลย!
“บัดซบ! ไอ้เด็กเมื่อวานซืน แน่จริงก็รับมือข้าโดยไม่ป้องกันสิ!!” โจวชือคำรามออกมาแล้วพรุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายทันที เขาชักดาบเสริมด้วยปราณธาตุไฟฟันเข้าใส่อย่างรุนแรง
“แค่นี้ก็ลงมือเสียแล้ว แต่ก็ยังอ่อนหัดสิ้นดี!” หมาบ้าเฟิงหู่คำรามกลับไป เขาเรียกถุงมือหนังหมาป่าออกมาสวมก่อนจะโจมตีกลับไป
การโจมตีของเฟิงหู่บ้าคลั่งสมดั่งชื่อเรียก แต่ละการโจมตีจีสร้างปราณกรงเล็บขนาดใหญ่ขึ้นมาทำให้ผู้ที่ต่อสู้ด้วยรับมือลำบาก เพราะนอกจากจะต้องป้องกันการโจมตีจากกรงเล็บปราณแล้ว ยังต้องป้องกันการโจมตีจากสองหมัดของอีกฝ่ายด้วย!
“น่ารำคาญจริง ๆ !” โจวชือสบถออกมาอย่างหงุดหงิด ปราณกรงเล็บของอีกฝ่ายผนวกกับหมัดอีกสองข้าง มันทำให้เขารู้สึกเหมือนสู้กับคนที่มีสี่มือ
“เจ้าระดับสูงกว่าข้าหนึ่งขั้น แต่กลับทำได้แค่นี้เรอะ! ตระกูลโจวมันอ่อนหัดสิ้นดี!!” เฟิงหู่เร่งพลังในการโจมตีให้มากขึ้นกว่าเดิม
ถึงแม้ตัวเขาจะเป็นผู้ฝึกตนระดับราชาปราณ ขั้นสาม ซึ่งอยู่น้อยกว่าอีกฝ่ายหนึ่งขั้น แต่เพราะเคล็ดวิชาและความแข็งแกร่งของเขา ทำให้สามารถต่อสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างสูสี
“บัดซบ! ต่อให้วันนี้อาจารย์ของเจ้ามาด้วยตัวเองก็อย่าหวังว่าจะช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ได้เลย!” โจวชือเริ่มหมดความอดทน เขาส่งสัญญาณให้สมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลโจวแสดงเคล็ดวิชารวมพลังทันที
สมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลโจวยืนอยู่ด้านหลังของชายชราในตำแหน่งของดวงดาวแห่งเพลิงเพื่อแสดงเคล็ดวิชาเพลิงผสานบัวบานออกมา เคล็ดวิชานี้จะส่งพลังของผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ของดวงดาวให้กับเป้าหมายที่กำหนดไว้
พลังของโจวชือถูกยกระดับขึ้นไปอีกถึงสองขั้น ทำให้ความได้เปรียบในการต่อสู้ตกมาอยู่กับฝั่งของชายชราอีกครั้งหนึ่ง
“สมกับเป็นตระกูลโจว สู้ตัวต่อตัวไม่ได้ก็ยังมีเคล็ดวิชาหมาหมู่เกื้อหนุน น่านับถือยิ่งนัก!” เฟิงหู่แค่นเสียงกล่าวเยาะเย้ยออกมา เขาต้องต้านรับพลางถอยหนีไปด้วย
“สงครามไม่หน่ายอุบาย เจ้าสู้ไม่ได้มันก็เพราะตัวเจ้าอ่อนแอก็เท่านั้น!” โจวชือไม่อับอายแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจอีกด้วย
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง
ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทำให้บรรดาผู้ฝึกตนโดยรอบพากันถอยหนีจนหมด ทั้งปราณกรงเล็บและเปลวเพลิงปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ พลังปราณเหล่านั้นร้ายกาจเป็นอย่างมาก ผู้ฝึกตนบางรายโดนลูกหลงเข้าไปก็ถึงขั้นกระอักเลือดออกมา แต่ปราการแสงที่ครอบคลุมทั่วบริเวณกลับไม่ได้รับแม้แต่รอยขีดข่วน
“หยุดได้แล้ว!” มีเสียงตะโกนดังขึ้น น้ำเสียงนี้แฝงไปด้วยพลังอำนาจแห่งลมปราณที่เหนือกว่าทั้งสองคน จนทำให้ทั่งคู่ถูกแรงกดดันจนกระอักเลือดออกมา
ครึ่งหลัง
“นั่นมัน ท่านฟางเจ๋อ องครักษ์ขององค์ชายสามนี่นา!” มีหนึ่งในผู้ฝึกตนของขุมกำลังระดับสูงกล่าวออกมา
แต่ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ย่อมไม่รู้จักฟางเจ๋ออยู่แล้ว แต่คำว่าองค์ชายสามยังไงพวกเขาก็ต้องเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง
องค์จักรพรรดิมี พระโอรสสี่องค์ และ พระธิดาหนึ่งองค์ ซึ่งองค์ชายสามนั้นไม่ค่อยมีบทบาทหน้าที่สักเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับบุตรธิดาองค์อื่น ๆ ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าเขาจะได้รับตำแหน่งรัชทายาทในอนาคต
“คารวะองค์ชายสาม คารวะท่านฟางเจ๋อ!!” โจวชือกับเฟิงหู่ต่างหยุดการต่อสู้ลง หลังจากนั้นโจวชือและผู้คนโดยรอบต่างพากันมาคารวะองค์ชายสามกับองครักษ์ทันที
แต่ก็มีเฟิงหู่อยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้เข้ามาคารวะเหมือนดั่งเช่นผู้อื่น เขาเพียงเดินเข้ามาโอบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างสนิทสนมก็เท่านั้น
“ที่แท้ก็น้องชายหวงเย่าเฟยนี่เอง ท่านจักรพรรดิเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?” เฟิงหู่กล่าวทักทานออกมา ทั้งคู่สนิทกันมานานแล้ว เนื่องจากที่จริงแล้วจักรพรรดิหวงหยานซีกับจักรพรรดิหมาป่าสีเงินเป็นเพื่อนกันหลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น แค่ไม่มีใครได้รู้ความจริงข้อนี้ก็เท่านั้นเอง
“ท่านก็เลิกทำตัวแบบนี้ได้แล้ว มันจะทำให้ผู้อื่นไม่เคารพตัวท่านเอาได้” หวงเย่าเฟยกล่าวออกมาโดยไม่ได้สนใจกับการกระทำของอีกฝ่าย
ผู้ฝึกตนโดยรอบรวมถึงโจวชือก็ตกตะลึงไม่น้อย นี่ทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อน? ทำไมองค์ชายผู้ส่งส่งถึงไปรู้จักกับคนป่าหยาบคายแบบนั้นได้กัน?!
“ว่าแต่ เกิดอะไรขึ้นบ้าง? มีใครพอจะเล่าเรื่องราวให้ข้าทราบได้บ้างหรือไม่?” องค์ชายสามกล่าวถามออกมา ทำให้ผู้คนโดยรอบหันหน้ามองกันหนึ่งทีก่อนจะเล่าสิ่งที่พวกเขาทราบออกมา
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประมูลที่ดินแห่งนี้ การทดลองเพื่อจะเข้าไปด้านในหรือการใช้เคล็ดวิชาต่าง ๆ เพื่อสำรวจก็ล้วนไม่อาจทำได้ รวมถึงการต่อสู้ของทั้งสองคนก่อนหน้านี้ก็ด้วย
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณทุกท่านมากที่บอกเล่าข้อมูลแก่ข้า ฟางเจ๋อ มอบเม็ดยาลมปราณระดับกลางให้พวกเขาคนละเม็ดเป็นของรางวัล” องค์ชายสามกล่าวขอบคุณก่อนจะสั่งการให้องครักษ์ข้างกายนำเม็ดยาออกมามอบให้
ผู้คนโดยรอบต่างพากันดีใจเม็ดยาลมปราณระดับกลางสามารถใช้เพิ่มระดับลมปราณได้ดีสำหรับผู้ฝึกตนในสองระดับแรก ซึ่งราคาของมันก็มากถึงห้าผลึกเลยทีเดียว การที่องค์ชายมอบให้พวกเขาเพียงแค่สอบถามข้อมูลง่าย ๆ แบบนี้ก็เทียบกับลาภลอยไม่มีผิด!
“ท่านฟางเจ๋อ ท่านมองสำรวจอะไรด้านในได้หรือไม่ ?” องค์ชายสามกล่าวถามองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกาย ชายคนนี้เป็นถึงราชาปราณขั้นหกเลยที่เดียว นับว่าสูงยิ่งกว่าโจวชือและเฟิงหู่เสียอีก
“ไม่เลยขอรับองค์ชาย ปราการแสงนี้แข็งแกร่งมาก ข้าว่าคงมีแต่ผู้ฝึกตนระดับจอมราชาปราณขึ้นไปถึงจะสามารถฝ่าเข้าไปได้” ฟางเจ๋อตอบกลับไปตามตรง เขาลองใช้วิชาลับแบ่งวิญญาณส่วนหนึ่งเพื่อจะเข้าไปสำรวจด้านใน แต่กลับถูกดีดกลับมาซะอย่างนั้น
“ปรากฏการณ์ฟ้าดินเยี่ยงนี้ คงมีสมบัติล้ำค่าจุติอยู่ด้านในเป็นแน่ แต่ก็น่าแปลก ทำไมถึงได้ปรากฏออกมาโดยปราศจากร่องรอยเช่นนี้” องค์ชายสามกล่าวออกมาอย่างครุ่นคิด ซึ่งก็ตรงกับความคิดของขุมกำลังอื่น ๆ เช่นกัน
“ได้ยินว่าที่ดินผืนที่คือที่ดินอาถรรพ์ เพิ่งถูกประมูลขายไปวันนี้สินะ ท่านโจวชือ ท่านพอจะบอกเล่าถึงชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของที่ดินแห่งนี้ได้หรือไม่ ?” องค์ชายสามหันไปกล่าวกับโจวชือ เขาต้องการข้อมูลอย่างละเอียดมากกว่านี้
“ได้ขอรับองค์ชาย เรื่องทั้งหมดมันเป็นเช่นนี้ ...” โจวชือก็บอกเล่าเรื่องทั้งหมดที่เขาได้เจอมา โดยไม่ลืมที่จะใส่ความอีกฝ่ายซึ่งเขาเกลียดชังอย่างเต็มที่ จนทำให้มันดูเหมือนว่าอีกฝ่ายหาเรื่องเขาก่อนซะอย่างนั้น แต่ถึงจะมีผู้ที่รู้ความจริงในเรื่องนี้ ก็ไม่มีใครกล้ากล่าวแย้งออกมายอยู่ดี
“เป็นชายหนุ่มที่น่าสนใจจริง ๆ” องค์ชายสามกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ท่านอย่าได้ไปสนใจคนป่าเถื่อนไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นนั้นเลยขอรับองค์ชาย” โจวชือกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“เจ้าหมายถึงใครกัน ?” มีเสียงหนึ่งถามกลับมา
“ก็ไอ้เด็กไร้หัวนอนปลายเท้า กับสัตว์เลี้ยงเดรัจฉานนั่นไง พวกมันไม่เห็นจะมีอะไรดีสักนิด อาศัยทีเผลอเล่นงานข้อก็เท่านั้น” โจวชือที่เห็นว่ามีคนกล่าวถามเขาซึ่งไม่ใช่เจ้าชาย เขาจึงตอบกลับไปโดยไม่ใส่ใจสักนิด โดยลืมไปว่าเสียงที่ว่านั่นมันดังมาจากด้านหลังเขาซึ่งเป็นปราการแสงที่ไม่น่าจะมีผู้ใดยืนอยู่
“ไอ้แก่บัดซบ! โดนข้าถุยน้ำลายใส่ไปทียังไม่เข็ดรึไง? มาเจอกันอีกรอบไหมล่ะ !” คราวนี้น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกได้ดังตอบกลับมา ทำให้ชายแก่ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีที่โดนดูถูก เขาจึงหันกลับไปเพื่อจะต่อว่าอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมใคร
แต่เมื่อหันกลับไปเขาก็ได้แต่มึนงง ทำไมเป็นไอ้ปลาบัดซบนี่อีกแล้ว!
แล้วมันออกมาจากปราการแสงสูงแกร่งเยี่ยงนั้นได้ยังไง?!