บทที่ 181 อิจฉา
ด้วยท่าทางกังวลของเหลียงอี้ และคำที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่ คำที่บอกว่าร่างกายไม่ดี ท้อง บำรุงรักษาอะไรพวกนั้น ฉินชิงก็เข้าใจทันทีว่าเหลียงอี้คิดอะไรอยู่
ดังนั้นจึงพูดว่า
"ฝ่าบาท ท่านทรงกังวลเกินไปแล้ว หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเลยเพคะ แม้ว่าหม่อมฉันจะมีโรคที่มาจากครรภ์แม่ แต่ก็รักษาหายดีตั้งนานแล้ว หม่อมฉันมีวิชาแพทย์ ฝ่าบาทลืมไปแล้วหรือเพคะ? ถ้าร่างกายของหม่อมฉันไม่สบาย หม่อมฉันก็สามารถดูแลตัวเองได้เพคะ"
เหลียงอี้ถึงได้นึกขึ้นมาได้ ฉินชิงเข้าใจวิชาแพทย์ เลยคิดว่าเมื่อครู่นี้ตนคงยังไม่ได้สติกลับมา ใบหน้าของเหลียงอี้เลยร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
หลังจากเหลียงอี้สังเกตแล้วก็หายใจเข้าลึกๆ พยายามเก็บอาการกระอักกระอ่วนของตนกลับไป แล้วกล่าวว่า
"เมื่อครู่นี้เจิ้นยังไม่ได้สติ ชิงเอ๋อร์เองก็ได้วิชาแพทย์ ถ้าร่างกายมีปัญหาอะไรก็สามารถรักษาตัวเองได้แน่นอน"
หลังจากพูดประโยคนี้จบแล้ว เหลียงอี้จึงไม่อยากจะพูดหัวข้อนี้ต่อไปอีก ดังนั้นจึงพูดต่อไปว่า
"ชิงเอ๋อร์อยากฝึกวรยุทธ์ไม่ใช่หรือ? พวกเราไปกันเถอะ"
ฉินชิงรู้ว่าเหลียงอี้อยากให้นางมีลูก ความตั้งใจนี้เหลียงอี้บอกฉินชิงชัดเจนตั้งนานแล้ว ฉินชิงเองก็อยากมีลูกเช่นกัน
อย่างไรเสียสถานการณ์ในตอนนี้ ฉินชิงก็คิดว่าหลังจากตนร่วมมือกับฮองเฮาโค่นสนมโหลว ตำแหน่งสนมชั้นสูงในวังหลังก็น่าจะเหลือไม่กี่คน
และตอนนี้เหลียนเหม่ยเหรินก็กำลังท้อง หลังจากเด็กคลอดออกมา ถ้าเป็นผู้ชาย ก็สามารถหยุดยั้งความโลภได้
ถึงอย่างไรถ้าเป็นเด็กผู้ชาย เมื่อโตขึ้นแม้ว่าการเลือกองค์รัชทายาทไม่ได้จำเป็นต้องเป็นโอรสของฮองเฮาหรือองค์ชายใหญ่ เหลียงอี้เองก็ไม่ใช่องค์ชายใหญ่ และไม่ใช่โอรสของฮองเฮา ฮ่องเต้องค์ก่อนในปีนั้นมีลูกหลายคน พระองค์สิ้นพระชนม์โดยที่ยังไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท ในกรณีนี้องค์ชายใหญ่หรือโอรสของฮองเฮาก็มีคุณสมบัติที่เหมาะสมมากกว่า
แม้ว่าจะเป็นลูกสาว ฉินชิงก็เชื่อว่าตนสามารถปกป้องลูกของตนได้ดี ยิ่งไปกว่านั้นพ่อของเด็กคนนี้ก็รอการมาถึงของเขาเช่นกัน
ฉินชิงเชื่อ ตราบใดที่เหลียงอี้ตั้งใจ ถ้าอยากจะปกป้องเด็กตนนี้ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร ถึงอย่างไรวังหลวงก็ยังเป็นวังหลวงของเหลียงอี้
แม้แต่ฉินชิงก็ตั้งตารอการมาถึงของเด็กคนนี้ แต่ฉินชิงเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะตั้งครรภ์ได้เมื่อไหร่
บางทีตอนนี้อาจจะท้องแล้ว หรืออาจจะอีกหนึ่งปีหรือสองปี เรื่องท้องยังไงมันก็ขึ้นอยู่ที่ความโชคดีอยู่ดี
เหมือนกับฟางกุ้ยอี้และเหลียนเหม่ยเหรินในตอนนี้ที่เพราะความโชคดีเช่นกัน แต่สนมหรง แม้ว่าในปีที่ตนยังไม่ได้เข้าวัง นางจะได้รับความโปรดปรานมากแต่ก็ยังไม่ท้อง
ดังนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับความโชคดี และความโชคดีนี้เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ที่สุด ฉินชิงคิดว่าเป็นเช่นนี้ไปก่อนแล้วกัน ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
ฉินชิงเดินตามเหลียงอี้ไปที่ใจกลางของสนามฝึกซ้อม ด้านข้างมีอาวุธต่างๆ วางอยู่ เช่นดาบ หอก กริช ลูกศร ง้าว หน้าไม้เป็นต้น ล้วนแต่เป็นอาวุธเย็น มีอาวุธประเภทเดียวกันมากมาย
เหลียงอี้เห็นฉินชิงจ้องอาวุธที่วางอยู่ทางด้านขวา จึงกล่าวว่า
"ชิงเอ๋อร์อยากเลือกสักชิ้นหรือไม่?"
เมื่อได้ยินคำถามของเหลียงอี้ ฉินชิงจึงรีบส่ายหน้า
"ไม่แล้วๆ เพคะ อาวุธเหล่านั้นหม่อมฉันยังไม่คุ้นเคยกับมัน หม่อมฉันนำอาวุธมาเองเพคะ"
"เจิ้นจำได้ อาวุธของชิงเอ๋อร์คือดาบเล่มนี้ใช่หรือไม่" เหลียงอี้เคนเห็นดาบของฉินชิงอยู่ในห้องหนังสือ และดูเหมือนจะเป็นดาบดีด้วย
และก่อนหน้านั้นฉินชิงก็เคยรำดาบต่อหน้าเขา ทำให้เหลียงอี้ประทับใจอย่างมาก ถึงอย่างไรคืนนั้นเขาก็กินฉินชิงจนเกลี้ยง
"ใช่แล้วเพคะ อาวุธของหม่อมฉันก็คือดาบ หยินซั่น เอาดาบข้ามา" ฉินชิงหันหน้าไปพูดกับหยินซั่น
หยินซั่นจึงหยิบดาบในมือนางกำนัลน้อยอีกคนแล้วมอบให้ฉินชิงทันที
รูปร่างของดาบนั้นไม่ได้น่าเกรงขาม แต่กลับดูงดงาม สั้นและบางกว่าดาบของบุรุษทั่วไปเล็กน้อย
หลังจากฉินชิงรับดาบมาก็มอบให้เหลียงอี้ดูแล้วพูดว่า
"นี่ก็คืออาวุธของหม่อมฉันเองเพคะ อยู่กับหม่อมฉันมานานมาก อยู่มาห้าหกปีได้แล้วเพคะ"
ฉินชิงมอบดาบของตนให้เหลียงอี้ดู เหลียงอี้มองพิจารณาอาวุธชิ้นนี้ก็มองออกในทันทีว่านี่ต้องเป็นดาบชั้นดีอย่างแน่นอน
อาจจะแย่กว่าดาบของตนเล็กน้อย ต้องเป็นฝีมือนักตีดาบเก่งกาจที่ใช้วัสดุชั้นดีทำออกมาอย่างแน่นอน
"ดาบของชิงเอ๋อร์เป็นดาบดี คราวก่อนเจิ้นเห็นในห้องหนังสือก็รู้แล้ว คิดไม่ถึงว่ายิ่งได้มองใกล้ๆ ก็ยิ่งมั่นใจขึ้น ภายนอกดูบางเฉียบแต่เนื้อแท้คือเหล็กกล้าที่หักยากดั่งโคลน"
"ดาบเล่มนี้พ่อของหม่อมฉันเป็นคนมอบให้ เขาไปหานักตีดาบจูหลิง จึงได้ดาบดีๆ เช่นนี้เพคะ"
"จูหลิงงั้นหรือ เจิ้นเองก็เคยได้ยิน อาวุธล้ำค่าของเจิ้นก็มีหลายชิ้นที่เป็นฝีมือของจูหลิง แต่ว่าพ่อของชิงเอ๋อร์ให้ดาบแบบนี้กับชิงเอ๋อร์ได้เป็นเรื่องที่เกินคาดของเจิ้นจริงๆ"
ฉินชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม "เพราะตอนหม่อมฉันยังเด็กก็ชอบเล่นดาบเล่นหอก พ่อของหม่อมฉันก็เลยอยากตามใจหม่อมฉันเพคะ"
เหลียงอี้ยังรู้สึกว่าการที่พ่อของชิงเอ๋อร์มอบดาบให้ชิงเอ๋อร์ ไม่ใช่แค่คำว่าตามใจจะสามารถตัดสินเรื่องนี้ได้ ไม่มีบ้านไหนที่รักลูกสาวแล้วส่งดาบดีๆ แบบนี้ให้
ถึงอย่างไรก็มีสตรีไม่กี่คนที่จะอยู่กับดาบไปทั้งชีวิต ส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่เป็นพวกคนที่ท่องยุทธภพ คนที่มีอำนาจหน่อยก็หวังแค่อยากให้ลูกสาวของตนได้แต่งงานกับคนดีก็พอ
เรื่องฝึกดาบและวรยุทธ์ไม่ค่อยมี แต่ชิงเอ๋อร์ฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่เด็ก แม้ว่าจะเพื่อออกกำลังกาย แต่ก็ได้รับการเห็นดีเห็นงานจากพ่อแม่
และตอนที่พูดถึงน้องสาวของชิงเอ๋อร์ก่อนหน้านั้น ก็ฝึกดาบฝึกหอกเช่นกัน มองปราดเดียวก็ทำให้เห็นว่าตระกูลฉินทั้งตระกูลน่าจะเปิดกว้าง
อีกอย่างเหลียงอี้ก็เชื่อว่า พ่อของชิงเอ๋อร์รักชิงเอ๋อร์มาก ฝีมือการตีดาบของจูหลิงใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ
พ่อของชิงเอ๋อร์ก็คงใช้ความพยายามไปไม่น้อย นี่ก็คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพ่อของชิงเอ๋อร์รักนางมากแค่ไหน
เหลียงอี้นึกถึงความรักของพ่อ จากนั้นก็มองไปที่ฉินชิงซึ่งยังคงเล่นดาบอยู่ อยู่ๆ ก็รู้สึกอิจฉาอยู่ในใจ
เขาตอนเป็นองค์ชาย ไม่ได้โดดเด่นเมื่อเทียบกับองค์ชายอีกหลายคน ดังนั้นจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ
เมื่อนึกถึงตัวเองที่มีความสุขหลังจากได้มองพ่อและได้พูดบางอย่างกับพ่อ จู่ๆ เหลียงอี้ก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าการเป็นฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไร
หากเป็นไปได้ เหลียงอี้อยากโตมามีพ่อที่มีจิตใจเมตตาอย่างเช่นพ่อของฉินชิง มีครอบครัวที่อบอุ่นมีความสุข สมาชิกในครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกัน ทุกคนในครอบครัวมีใจอันหนึ่งอันเดียวกัน
แม้ว่าตระกูลฉินจะไม่นับว่ามีอำนาจมาก แต่ในเมืองหลวงก็ถือว่าอยู่ในระดับกลาง แม้ว่าตระกูลจะอยู่มานาน แต่ก็ไม่เคยขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดเลย
ตั้งแต่เด็กจนโตก็อยู่ในวังหลวง เหลียงอี้ไม่รู้สึกว่าอำนาจและเงินทองคือของดี สิ่งที่เหลียงอี้ต้องการก็คือความรักที่จริงใจ