บทที่ 12 วิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูงสุด
หยางเสี่ยวเทียนสวมอาภรณ์ชุดใหม่ที่มารดาของเขาซื้อให้กลับมาที่จวน
เมื่อมองดูขนมอบของขึ้นชื่อประจำหมู่บ้านเต้าหัวที่มารดาเขายัดใส่มือมา หยางเสี่ยวเทียนก็ให้รู้สึกฝืดเฝื่อน เพราะบิดาของเขาจะต้องไปที่หมู่บ้านเฮยเฟิงหลังวันปีใหม่นี้
“เซียนสวรรค์ระดับสี่ ขั้นเซียนสวรรค์สิบสี่คน” หยางเสี่ยวเทียนพึมพำกับตัวเอง
เขาที่อยู่ในร่างเด็กน้อยพอจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ของหมู่บ้านเฮยเฟิงจากการฟังสิ่งที่บิดามารดาสนทนากัน หยางเสี่ยวเทียนยิ่งปรารถนาให้ตนแข็งแกร่งมากพอที่จะสามารถช่วยเหลือบิดาได้
แต่ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึงสิบวันก่อนปีใหม่ ไม่ว่าเขาจะฝึกฝนได้เร็วแค่ไหนหรือต่อให้มีวิญญาณยุทธ์คู่ เขาก็ยังไม่อาจไปถึงระดับเซียนสวรรค์ได้ในเวลาเพียงแค่นี้
หยางเสี่ยวเทียนขมวดคิ้วด้วยสีหน้าหงุดหงิด เขาตัดสินใจเดินไปที่เนินเขาหลังหมู่บ้านตระกูลเพื่อขจัดความกลัดกลุ้มในใจ เด็กน้อยเริ่มฝึกมวยไทเก๊กด้วยสมาธิอันมุ่งมั่น ท่วงท่ายังคงพริ้วไหวดั่งสายน้ำ
ในตอนที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังฝึกมวยไทเก๊กอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีบางอย่างตกมากระทบที่หน้าผากของเขา
หยางเสี่ยวเทียนยกมือขึ้นปิดหน้าผากที่ปวดเร่าๆของเขาพร้อมกับมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นสัตว์วิญญาณที่ทั้งร่างถูกหุ้มด้วยเกราะสีทองอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
สัตว์หุ้มเกราะสีทองมีรูปร่างคล้ายตัวนิ่ม แต่เกล็ดของมันเป็นสีทองวาววาม สัตว์วิญญาณชนิดนี้แม้ด้านการโจมตีจะอ่อนด้อยอยู่บ้างแต่กลับมีการป้องกันที่แข็งแกร่งมาก
ในมือของมันถือลูกสนสองสามลูก เห็นได้ชัดว่ามันเพิ่งขว้างมาใส่หยางเสี่ยวเทียน
เมื่อสัตว์วิญญาณเกราะทองเห็นหยางเสี่ยวเทียนพุ่งเข้ามาโจมตี มันก็เอามือปิดปากแล้วหัวเราะ ทำให้หยางเสี่ยวเทียนโมโหจนเสียการควบคุม
“กระเรียนสยายปีก!” หยางเสี่ยวเทียนพุ่งไปข้างหน้าพร้อมออกกระบวนท่าไทเก๊ก
แต่สัตว์วิญญาณตัวนิ่มกลับสามารถหลบการโจมตีของหยางเสี่ยวเทียนได้อย่างคล่องแคล่ว จากนั้นมันก็เว้นระยะห่างจากเขากว่าสามสิบฉื่อก่อนจะส่ายก้นใส่หยางเสี่ยวเทียนอย่างล้อเลียน
ท่าทางของมันเช่นนี้สมควรถูกสั่งสอน!
หยางเสี่ยวเทียนไล่ตามมันอีกครั้ง
สัตว์วิญญาณเกราะทองวิ่งหนีพร้อมกับส่ายก้นให้หยางเสี่ยวเทียนที่กำลังไล่ตามมันอยู่ แม้ว่าวิญญาณยุทธ์กับกำลังภายในจะแข็งแกร่ง แต่เขากลับไม่อาจโจมตีถูกเจ้าตัวเล็กนั่นเลยสักครั้ง
ในตอนนี้ หนึ่งคนกับหนึ่งสัตว์ก็ไล่กวดกันก่อนจะหลงเข้าไปในหุบเขาลึกโดยไม่รู้ตัว
ในที่สุด เขาก็ไล่ตามสัตว์วิญญาณเกราะทองจนมาถึงหุบเขาที่ไม่เด่นสะดุดตา มันวิ่งหายเข้าไปในทุ่งหญ้าที่สูงทึบ หยางเสี่ยวเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งเดินก่อนจะฝ่าทุ่งหญ้าเข้าไป หลังเดินไปได้ครู่หนึ่งเขาก็พบสถานแห่งหนึ่งคล้ายถ้ำเล็กๆ
ถ้ำแห่งนี้ซ่อนอยู่ในหุบเขาที่ลึกมากจนไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก
เมื่อมองไปที่ถ้ำอันมืดมิดตรงหน้า เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไป
ภายในถ้ำเล็กๆ แห่งนี้นั้นลึกกว่าที่เขาคาดไว้มาก หลังจากเดินไปได้สักพัก นอกจากไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุด ทางเดินนั้นกลับยิ่งนานยิ่งกว้าง ทว่าในถ้ำนั้นมีแสงสว่างน้อยมาก ส่งผลให้หยางเสี่ยวเทียนทำได้เพียงงมหาเส้นทางในความมืดมิดเท่านั้น
ระหว่างที่เขาเดินไปได้ประมาณสามร้อยฉื่อและหยางเสี่ยวเทียนเริ่มครุ่นคิดว่าจะกลับออกไปดีหรือไม่ ในตอนนั้นเอง สัตว์วิญญาณเกราะทองก็โผล่ออกมาจากความมืดมิดโบกมือให้กับเขา
หยางเสี่ยวเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามมันไปอีกครั้ง
เขาเดินเป็นชั่วระยะเวลาราวหนึ่งถ้วยชา (ราวๆ 15 นาที) เส้นทางในถ้ำก็แตกแขนงออกเป็นหลายเส้นทาง
สัตว์วิญญาณเกราะทองเดินนำหยางเสี่ยวเทียนเข้าไปในถ้ำที่มีลักษณะคล้ายเขาวงกต เขาเดินตามเจ้าสัตว์น้อยผ่านเส้นทางคดเคี้ยวกว่าสิบสาย พลันมีแสงปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา หยางเสี่ยวเทียนเร่งฝีเท้เข้าหาแสงนั้น เมื่อเขาเดินมาถึงพื้นที่ที่มีแสงสว่าง หยางเสี่ยวเทียนก็ให้ตกตะลึงกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
“สถานที่นี้ราวกับสรวงสวรรค์” หุบเขาเล็กๆ อยู่ตรงหน้าเต็มไปด้วยเสียงสกุณาขับขาน พร้อมกับมวลหมู่ดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมอวลราวฤดูวสันต์
ในเวลานี้สัตว์วิญญาณเกราะทองที่อยู่ใต้หุบเขาเล็กๆก็โบกมือให้หยางเสี่ยวเทียนอีกครั้ง
หยางเสี่ยวเทียนกัดฟันก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดลงไปที่เชิงเขาด้านล่าง เขาเหินลงไปบนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ทีละกิ่ง เขากระโดดย้ายกิ่งไปมาหลายครั้งจนในที่สุดหยางเสี่ยวเทียนก็ลงมาถึงเชิงเขาเบื้องล่าง
ในหุบเขาแห่งนี้กว้างมาก อาจกว้างได้ถึงหลายร้อยหรือหลายพันหมู่(หมู่=ไร่) เบื้องหน้าสายตาอุดมไปด้วยไม้ผลหลากหลาย ดอกไม้และสมุนไพรปกคลุมไปทั่วส่งกลิ่นหอมอวลนาสิก
หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก
ในเวลานี้ สัตว์วิญญาณเกราะทองวิ่งขึ้นไปบนต้นไม้พร้อมกับหยิบผลไม้หนึ่งมากัดกร้วมคำใหญ่ จากนั้นมันจึงโยนอีกผลให้หยางเสี่ยวเทียน เขาหยิบผลไม้สีเขียวขึ้นมาดูก่อนจะกัดเข้าไป รสชาติที่กำซาบฟันของเขาเต็มไปด้วยความหวานละมุน หลังจากที่น้ำผลไม้เข้าสู่ท้องของเขา คลื่นความอบอุ่นก็พรั่งพรูออกมาทำให้ทั้งร่างกายของเขารู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าตกตะลึง!
หยางเสี่ยวเทียนรีบกลืนเข้าไปทั้งผลและนั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อโคจรพลังทางจิตวิญญาณ
ไม่กี่ชั่วยามต่อมา ในที่สุดหยางเสี่ยวเทียนก็ขัดเกลาพลังของผลวิญญาณได้สำเร็จ เขาพบว่าทั้งกำลังภายในและวิญญาณยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก เทียบเท่ากับการฝึกฝนอย่างหนักหลายวันเลยทีเดียว
สิ่งนี้ทำให้หยางเสี่ยวเทียนมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
อาศัยสิ่งนี้ เขาอาจบรรลุขั้นต่อไปก่อนปีใหม่ก็เป็นได้
แม้ว่าจะมีความหวังเพียงริบหรี่ แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
ในตอนที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังจะกินผลต่อไปเพื่อฝึกฝน เขาก็เห็นสัตว์วิญญาณเกราะทองโบกมือให้ เขาอีกครั้งพร้อมกับชี้ไปข้างหน้า
หยางเสี่ยวเทียนกวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะเห็นทางเข้าถ้ำที่อยู่บนหน้าผา ทางเข้านี้ดูแตกต่างจากเส้นทางที่เขามา ราวกับว่ามีใครสักคนอาศัยอยู่ในนั้น
หยางเสี่ยวเทียนกระโดดขึ้นไปที่ปากถ้ำในชั่วอึดใจถัดมาแล้วเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ทว่าสัตว์วิญญาณเกราะทองกลับไม่กล้าเข้าไปด้วย มันทำเพียงแค่ยืนมองจากปากถ้ำด้วยความกริ่งเกรง คล้ายจะมีบางอย่างที่มันหวาดกลัวอยู่ภายในถ้ำนี้
หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทางสั่นเทาของสัตว์วิญญาณเกราะทอง เขาทอดสายตาเข้าไปในถ้ำก่อนจะเดินเข้าไปข้างในด้วยท่าทีหวาดระแวง เมื่อเดินเข้าไปเกือบร้อยฉื่อ เขาก็มาถึงโถงขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยห้องศิลาสี่ห้อง
ผนังทั้งสี่ของโถงถ้ำมีไข่มุกราตรีขนาดเท่ากำปั้นสี่เม็ดฝังอยู่ ทำให้ทั้งบริเวณดูสว่างราวกลางวัน
หยางเสี่ยวเทียนตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าจะมีโถงขนาดใหญ่อยู่ในถ้ำเล็กๆ แห่งนี้ เมื่อสังเกตแล้วว่าที่แห่งนี้ปลอดภัย เขาเริ่มสำรวจจากห้องแรกก่อน
ในห้องแรกว่างเปล่ามีเพียงเตียงหยกเย็นหลังหนึ่งเท่านั้น
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนสำรวจมาถึงห้องที่สอง เขาก็พบว่ามีคัมภีร์สองเล่มวางอยู่บนโต๊ะหินพร้อมกับกระบี่โบราณหนึ่งเล่มพิงอยู่ด้านข้างโต๊ะหินนั้น
หยางเสี่ยวเทียนไม่ลังเล เขารีบหยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วเปิดมันออก ในหน้าแรกนั้นมีคำว่า
“เคล็ดวิชามังกรแรกเริ่ม” เขียนอยู่ ตอนนี้ความสนใจของเขาอยู่ที่หน้าถัดไป ยิ่งเขาอ่านมันมากเท่าไหร่เลือดในกายก็ยิ่งพลุ้งพล่านด้วยความตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น คัมภีร์นี้กล่าวไว้ว่า เคล็ดวิชามังกรแรกเริ่ม เป็นวิชากำลังภายในชั้นยอดของเผ่ามังกรโบราณ หลังจากฝึกฝนแล้วไม่เพียงแต่จะมีร่างกายที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับมังกร แต่ยังมีปราณแท้ของมังกรอีกด้วย
แม้หยางเสี่ยวเทียนจะไม่รู้ว่าเคล็ดวิชามังกรแรกเริ่มนั้นอยู่ในระดับใด แต่อย่างแรกที่เขารู้คือมังกรเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆ ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และอย่างที่สองคือเคล็ดวิชามังกรแรกเริ่มเป็น
วิชากำลังภายในขั้นสูงของเผ่ามังกรโบราณ ดังนั้นมันจะต้องมีพลังมหาศาลอย่างแน่นอน
หลังจากอ่านจบหยางเสี่ยวเทียนแทบไม่อาจควบคุมตนเองได้ เนื่องจากในคัมภีร์กล่าวว่าเคล็ดวิชามังกรแรกเริ่มนั้นมีพลังมหาศาลจนยากต่อการควบคุม ดังนั้นในการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรแรกเริ่มจำเป็นต้องมีวิญญาณยุทธ์สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกับเผ่ามังกรโบราณเข้าร่วม ราวฟ้าเข้าข้าง เขานั้นมีวิญญาณยุทธ์สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างเสวียนอู่ ดังนั้นเขาจึงสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรแรกเริ่มได้อย่างไร้อุปสรรค
หลังคลื่นอารมณ์แห่งความตื่นเต้นผ่านพ้นไป หยางเสี่ยวเทียนก็เปิดคัมภีร์เล่มที่สองออกอ่าน
เล่มที่สองเป็นคัมภีร์กระบี่ชื่อ “เพลงกระบี่ตงเทียน”
เพลงกระบี่ตงเทียนเป็นวรยุทธลับของสำนักตงเทียน
นามของกระบี่นั้นคือกระบี่ตงเทียน หนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่แห่งยุทธภพ
หลังอ่านจบหัวใจของหยางเสี่ยวเทียนก็เต้นรัวขึ้น
มีหน้าหนึ่งในคัมภีร์ที่เต็มไปด้วยลายมือของหงเฟิง อดีตเจ้าสำนักตงเทียนเขียนทิ้งไว้ว่า ถ้ำแห่งนี้เป็นที่ที่เขาเคยอาศัยอยู่อย่างสันโดษและใช้กักตนเพื่อฝึกวิชา
ตามที่เขาเขียนไว้ ทางเข้าถ้ำถูกปกป้องโดยค่ายกลที่เขาสร้างขึ้น เฉพาะผู้ที่มีวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดเท่านั้นที่สามารถเข้ามาในถ้ำเพื่อเป็นผู้สืบทอดของเขาได้ โดยสืบทอดกระบี่ตงเทียน เพลงกระบี่ตงเทียนและเคล็ดวิชามังกรแรกเริ่มที่เขาทิ้งไว้
“วิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดงั้นหรือ?” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวกับตัวเอง
วิญญาณยุทธ์ตั้งแต่ระดับที่สิบเอ็ดถึงสิบสามเรียกว่าวิญญาณยุทธ์ขั้นสูง เมื่อวิญญาณยุทธ์ถึงระดับสิบสี่เรียกว่าวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุด
ตอนนี้เขาอยู่ในถ้ำ
เช่นนั้นก็แปลว่า วิญญาณยุทธ์ของเขาเป็นระดับสิบสี่หรือมากกว่านั้น!
บางทีนี่อาจเป็นวิญญาณยุทธ์คู่ระดับสิบสี่ก็เป็นได้