บทที่ 10 ใบหน้าที่มืดมน
บทที่ 10 ใบหน้าที่มืดมน
.
ไม่มีใครที่อ้วนงั้นเหรอ?
ฉันรีบถามไปว่าเมื่อครู่ามีใครเห็นคนที่อ้วนเป็นพิเศษตบชายชราหรือเปล่า?
หมอทุกคนมองมาที่ฉันอย่างแปลกๆ
“เสี่ยวเถียน คุณโง่หรือเปล่า? พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล จะไปกล้าตบคนไข้ได้ยังไง? ต่อให้เป็นคนไข้ในตึก D ก็เถอะ ถึงจะไม่ดูแลเหมือนพระโพธิสัตว์ แต่ก็ระมัดระวังอย่างมากราวกับเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ไม่ต้องพูดถึงการทำร้ายร่างกายเลย”
จากนั้นพวกเขาก็เพิกเฉยต่อฉันและจากไป
ฉันยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
สมองของฉันว่างเปล่า…
ทำไม?
ฉันประสาทหลอนงั้นเหรอ?
เมื่อกี้ฉันเห็นหมออ้วนคนนั้นตบชายชราอย่างชัดเจน ขนาดฉันเข้าไปถาม ทัศนคติของหมออ้วนก็ยังหยิ่งยโสอย่างมาก
มาตอนนี้ทำไมใครๆถึงได้บอกว่าไม่เห็น?
พวกคุณเล่นตลก หรือฉันกำลังทำอะไรโง่ๆ อย่างที่หมอพวกนั้นพูดจริงๆ?
ฉันถูขมับ และรู้สึกหนาวสั่นอย่างอธิบายไม่ได้ที่ฝ่าเท้า
อาคาร D แห่งนี้เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดจริงๆ
……
หลังจากสูดลมหายใจสงบสติอารมณ์ เมื่อกลับไป ฉันก็พบว่าชายกับหญิงคู่นั้นยังไม่กลับไป และดูเหมือนจะมีเรื่องทะเลาะกันอยู่ตรงนั้นด้วย ต่างฝ่ายต่างส่งเสียงดัง จู่ๆ ผู้ชายก็ร้องไห้ แล้วผู้หญิงก็รีบเข้าไปปลอบ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ฉันเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย
“ไม่…ไม่อะไรครับ” ชายคนนั้นเช็ดน้ำตาแล้วฝืนยิ้ม “คุณเป็นพนักงานในตึก D หรือครับ?”
“ครับ ผมเป็นยามกะกลางคืนที่นี่”
ฉันคุยกับพวกเขาพักหนึ่ง และได้รู้ว่าสองคนนี้คือลูกชายกับลูกสะใภ้ของชายชรา เนื่องจากชายชราป่วยหนัก หลังจากพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลาสองเดือน เงินเล็กๆน้อยๆของครอบครัวก็เกือบจะหมดไปกับค่ารักษา ลูกชายไม่สามารถแบกรับอีกต่อไปและเตรียมจะขายบ้าน แต่ผู้เป็นภรรยาต่อต้านอย่างหนักแน่น และบอกว่าถ้าขายบ้านเธอจะหย่ากับเขา หลังจากทะเลาะกันอยู่สักพัก ฝ่ายสามีจึงยอมประนีประนอม แต่เมื่อนึกถึงชีวิตอันน่าสังเวชของผู้เป็นพ่อในอนาคต เขาจึงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้
ฉันรู้สึกเศร้าในใจ แต่ก็ไม่ได้ตำหนิฝ่ายหญิง เพราะความเจ็บป่วยของชายชราเป็นดั่งหลุมลึก ไม่ว่าจะใช้เงินไปเท่าไหร่ ก็ทำได้เพียงถ่วงเวลาชีวิตไปได้ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับคนหนุ่มสาวแล้ว นั่นหมายถึงการล้มละลาย
ความจริงแล้ว สิ่งนี้เกิดขึ้นทุกวันในโรงพยาบาล และครอบครัวของผู้ป่วยทุกคนต่างกำลังตัดสินใจเลือก
ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับความทุ่มเทที่จะเพิ่มโอกาสให้ผู้เป็นที่รักรอดชีวิต พวกเขาอาจทำได้แค่ยืดเวลาชีวิตของผู้เป็นที่รักออกไปได้สักระยะหนึ่ง หรือเพียงแค่ยอมแพ้และพาผู้เป็นที่รักกลับบ้าน เพื่อใช้ช่วงเวลาสุดท้ายร่วมกัน
เกรงว่าคนธรรมดาจำนวนมากจะเลือกอย่างหลัง
สำหรับอาคาร D แห่งนี้ คือทางเลือกพิเศษ
อย่างน้อยพวกเขาก็ถูกส่งมาที่นี่พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์และยารักษาโรคแบบทั่วไป แต่พวกเขาก็แทบจะเอาชีวิตรอดไม่ได้
ส่วนจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า
……
สี่ทุ่ม ฉันที่ดูทีวีอยู่สักพักก็ออกจากห้องพักพนักงานออกไปลาดตระเวนตามปกติ
อาคาร D มีทั้งหมด 5 ชั้น สี่ชั้นแรกจะเป็นห้องพักผู้ป่วย ส่วนชั้น 5 ว่ากันว่าเป็นห้องประชุม แต่น้อยคนนักที่จะขึ้นไป และประตูก็ถูกล็อคถึงอยากเข้าไปดูก็ทำไม่ได้
ฉันเดินไปรอบๆ ชั้นสี่ และกำลังกลับไปที่ห้องพักพนักงาน ฉันก็ได้ยินเสียงตะโกนสาปแช่งดังออกมาจากวอร์ด 403
เมื่อเดินเข้าไปดูก็พบว่าชายชราที่เพิ่งถูกส่งเข้ามา กำลังทะเลาะกับผู้ป่วยคนอื่น
ฉันเข้าใจได้คร่าวๆ ว่า พวกเขาแย่งกันดูทีวี
ชายชราอยากดูละครต่อต้านญี่ปุ่นเรื่อง ‘ประกายกระบี่’ ผู้ป่วยอีกคนในวอร์ด 403 ที่อายุน้อยกว่า ต้องการดูซิทคอมเลียนแบบยอดนิยมเมื่อเร็วๆนี้ เรื่อง ‘อพาร์ตเมนต์ทันสมัย’ เมื่อตกลงกันไม่ได้ พวกเขาก็เริ่มทะเลาะกัน ชายชราที่อารมณ์ไม่ดี จึงเข้าไปบังหน้าทีวี และร้องตะโกนด้วยความโกรธว่า “ฉันจะดูทีวีเครื่องนี้ ถ้ากล้าก็มาฆ่าฉันสิ!”
หากกรณีนี้เกิดขึ้นที่ภายนอก คนทั่วไปคงยอมให้กับคนที่อ่อนแอกว่า แต่อาคาร D คือสถานที่เช่นใด?
ทุกคนล้วนแต่เป็นผีอายุสั้นที่ไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง พวกเขาจะมัวเกรงใจคนแก่อยู่อีกเหรอ?
พวกเขาทั้งหมดลุกขึ้นจากเตียงมาล้อมชายชรา แล้วแต่ละคนก็ตำหนิชายชรา จากนั้นความขัดแย้งก็เริ่มจะกลายเป็นการทะเลาะวิวาท
เมื่อเห็นความผิดปกติ ฉันจึงรีบดึงชายชราไปที่ประตู และบอกว่าอยากคุยกับเขา
“จะมาพูดบ้าอะไร ถ้าแกลากข้าอีก เชื่อไหมว่าข้าจะตบแก?”
ชายชรากลอกตาและพูดด้วยความโกรธ
ฉันรีบปล่อยมือและเริ่มยิ้มด้วยความโมโห แต่ก็ขอร้องให้เขาออกไปคุยกับฉันดีๆ
ชายชราส่งเสียงตะคอก และเดินตามฉันออกไปนอกวอร์ด
ก่อนที่ฉันจะทันได้พูด ชายชราก็พูดขึ้นมาก่อนว่า “ดูจากอายุของคุณแล้ว คุณยังเป็นนักเรียนอยู่ใช่ไหม?”
ฉันพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วและตอบว่าใช่ แต่ชายชรายังพูดตะคอกต่อไปอย่างเย็นชาว่า อายุยังน้อย ไม่ไปเรียนดีๆ ทำไมมาทำงานเป็นยามในสถานที่ ที่แม้แต่นกยังไม่มาขี้แบบนี้ด้วย? ช่างไร้ค่าจริงๆ ถ้าพ่อแม่รู้เรื่องนี้จะคิดยังไง?
ดวงตาของฉันหม่นลงและพูดขึ้นอย่างขมขื่นว่า: พ่อของฉันตายแล้ว ส่วนแม่ก็ป่วย และเธอก็นอนรักษาอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้
ชายชราอึ้งไปชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจเล็กน้อย แล้วเขาก็ถามว่า: ป่วยหนักมากไหม?
“เธอเหลือเพียงครึ่งชีวิตเท่านั้น คุณคิดว่าป่วยหนักไหมล่ะ? ผมมาที่นี่เพื่อทำงาน และมันยังเป็นทางเลือกสุดท้ายของผมด้วย พูดตามตรง ค่ารักษาที่โรงพยาบาลกำหนดไว้นั้นสูงมาก แต่ถ้าผมทำงานที่นี่ ผมจะสามารถได้รับส่วนลดค่ารักษาบางส่วน คุณคิดว่า ผมยังมีทางเลือกอยู่ไหม? ตราบใดที่ยังมีความหวังริบหรี่ ผมก็ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ และผมก็ไม่ต้องการให้แม่ถูกส่งมาที่ตึก D นี้ในสักวันหนึ่งด้วย ผม…”
พูดยังไม่ทันจบ ฉันก็พบว่าสีหน้าของชายชราดูผิดปกติ ทันใดนั้นฉันก็รู้ว่าพูดอะไรผิดไป และรีบปิดปากทันที
ชายชราไม่ได้ตำหนิฉัน เขาตบไหล่ฉันและถอนหายใจ แล้วพูดว่า “เด็กดี ฉันตำหนิคุณผิดไปแล้ว… เฮ้อ ความจริงฉันก็รู้ว่าสองคนที่บ้านฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันถูกส่งมาที่นี่…แม้ฉันจะโกรธ แต่ไม่ใช่โกรธพวกเขา แต่ฉันโกรธตัวเอง ฉันเคยตีเจ้าเด็กบ้านั่นตั้งแต่เขายังเด็ก แต่ตอนนี้เขาเติบโตแล้ว มันผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ฉันก็ยังคิดว่าเขายังเด็ก พอได้ยินพวกเขาแต่ละคนเรียกฉันว่าผู้เฒ่าหรือไม่ก็ผู้อาวุโส ตาแก่คนนี้ถึงได้ไม่สบอารมณ์จนต้องร้องโวยวาย แม้จะต้องนอนโรงพยาบาล ฉันก็ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ ต่อให้ฉันอายุ 80 ฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นชายชรา ถ้าเอาปืนมายัดใส่มือฉันตอนนี้ ฉันก็กล้าออกสู่แนวหน้าไปสู้กับพวกปีศาจเหล่านั้น ตายในสนามรบอาจดีกว่า ตายในสถานที่ ที่ไม่แต่นกยังไม่มาขี้แบบนี้”
ฉันอยากหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น นี่เป็นเวลาที่สงบสุขแล้ว จะมีพวกปีศาจที่ไหนอีก? แต่ฉันก็แอบชื่นชมอยู่ในใจเช่นกัน ปรากฏว่าชายชราคนนี้เป็นทหารผ่านศึกต่อต้านญี่ปุ่น
สำหรับคนที่เคยเป็นวีรบุรุษมาตลอดชีวิต โรคร้ายที่มีส่งผลกระทบอย่างมากต่อเขาอย่างเห็นได้ชัด
การนั่งกินนอนกินรอความตายอยู่ในอาคาร D เป็นความทรมานที่บรรยายไม่ได้
จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าเข้าใจเขาบ้างแล้ว
ฉันคุยกับชายชราอีกสองสามคำ และบอกให้เขาเห็นใจผู้ป่วยในวอร์ด 403 บ้าง เพราะทั้งหมดเป็นผู้ป่วยเก่าในตึก D ซึ่งทำให้พวกเขามักมีอารมณ์ไม่ดี… และบอกว่าถ้าเขาอยากดูประกายกระบี่ในอนาคต ก็ให้เขามาดูที่ห้องพักพนักงานของฉันได้
ชายชรามีความสุขมาก และบอกว่า ไว้มาดื่มกันสักครั้งนะ
ฉันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี และคิดว่าคุณยังป่วยหนักอยู่นะ ยังจะดื่มอยู่เหรอ? แต่ฉันก็ไม่ได้พูดออกไป ท้ายที่สุดแล้วชายชราก็อยู่ในสภาพนี้ เขามีชีวิตอยู่แบบวันต่อวัน หากไม่ดื่มตอนนี้ ก็จะคงไม่มีโอกาสดื่มอีกแล้ว
หลังจากบอกลาชายชราแล้ว ฉันก็กลับห้องพักพนักงาน
……
หลังจากเล่นโทรศัพท์สักพัก กว่าจะรู้ตัวก็เกือบตีสองแล้ว
แม้ว่าฉันจะยังไม่รู้สึกอยากปัสสาวะ แต่ฉันก็รู้สึกกังวลว่าถ้าเกิดอยากปัสสาวะขึ้นมากลางดึกจะทำยังไง
เมื่อมองดูกองขวดบนเตียงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันก็รู้สึกหงุดหงิด และถ้าไม่ทำบางสิ่งบางอย่าง ก็คงจะหยุดไม่ได้ ฉันหาถุงใบใหญ่มาใส่กองขวดเหล่านั้นลงไป จากนั้นก็หิ้วมันออกมาด้านนอกห้องพักพนักงาน เพื่อเอาไปทิ้งถังขยะ
ทันทีที่ทิ้งกองขวดเหล่านั้นไป หัวใจของฉันก็รู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย ราวกับว่าฉันได้บอกลาหลิวปินไปตลอดกาล
ฉันดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลา ตีหนึ่งห้าสิบแปดนาทีแล้ว
ฉันรีบทำเวลาวิ่งไปที่ห้องน้ำสาธารณะชั้น 1 ฉันรีบปลดกางเกงและรีบปัสสาวะ ผ่านไปเพียงครึ่งทาง จู่ๆ ฉันก็รู้สึกหนาวที่หลังศีรษะ ราวกับมีคนมาเป่าลมใส่
ฉันตัวสั่น รีบสวมกางเกง เมื่อหมุนตัวกลับไป ฉันก็เผชิญหน้ากับใบหน้าที่มืดมนทันที!
ใบหน้าที่มองมาที่ฉัน มีเส้นผมมันและยุ่งเหยิง เบ้าตาจมลึก ดวงตาแดงก่ำ
ในหัวของฉันมีเสียงอื้ออึงราวกับมีบางอย่างระเบิด ฉันกรีดร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเทาอย่างสยดสยอง:
“พี่… พี่หลิว?”