บทที่ 53 ผู้ฝึกเซียนมีพิบัติสวรรค์
เกาะไท่อัน ภายในวงกตปกป้องเกาะ
"คอขวดงั้นหรือ? พิบัติสวรรค์หรือ?" หลี่ฟานพลิกดู《บันทึกเบ็ดเตล็ดการฝึกตน》ที่ตนซื้อมา ขมวดคิ้วเล็กน้อย
นับตั้งแต่กลับมาจากเกาะหมื่นเซียนเมื่อวันก่อน เขาก็ไม่เคยหยุดฝึกฝนเลยแม้แต่ชั่วขณะ
ตอนแรกคิดจะฉวยจังหวะ ทะลุด่านขั้นฝึกปราณระดับสูงให้ได้ในคราวเดียว
ทว่ารู้สึกว่าใกล้จะทะลุด่านได้แล้วแท้ๆ แต่ไม่ว่าหลี่ฟานจะฝึกฝนอย่างไร ก็ยังคงขาดอยู่นิดหน่อยตลอด
ช่องว่างที่แม้จะเล็กน้อย กลับเหมือนหุบเหวลึกกั้นอยู่ตรงหน้าหลี่ฟาน
หลังจากอ่าน《บันทึกเบ็ดเตล็ดการฝึกตน》แล้ว หลี่ฟานก็พอยืนยันได้ว่าตัวเองเจอคอขวดเข้าจริงๆ
ตั้งแต่สมัยโบราณ ก็มีคำกล่าวถึงคอขวดการฝึกฝนมาแล้ว
ระหว่างการฝึกตน ระดับการฝึกฝนอาจจะติดอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง ก้าวหน้าไม่ได้อีก
ในยุคปัจจุบัน คอขวดมีผลต่อผู้ฝึกเซียนมากยิ่งขึ้น
ตั้งแต่ขั้นฝึกปราณระดับกลางขึ้นไป ผู้ฝึกเซียนจะต้องเจอกับคอขวดทุกครั้งที่จะก้าวข้ามขั้นย่อยแต่ละขั้น
คอขวดเช่นนี้ไม่อาจทะลุผ่านได้ด้วยการตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนอย่างเดียว
ต้องค้นหาจุดเปลี่ยนที่กำหนดลิขิตไว้ในตัวเอง จึงจะทำลายคอขวด ทะลุด่านสำเร็จได้
จุดเปลี่ยนนี้ อาจจะเป็นการได้เห็นภาพวาดภาพหนึ่ง ดื่มน้ำชาหนึ่งถ้วย
หรืออาจจะเป็นการตระหนักรู้ขึ้นมาชั่วขณะ ความคิดที่วาบขึ้นมาตอนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
หรือไม่ก็คำพูดที่หลุดออกมาจากปากคนอื่นโดยบังเอิญ คำชี้นำจากผู้อาวุโส
โดยสรุปแล้ว ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ตายตัว มองได้แต่ "ชะตาฟ้า" ที่กำหนดไว้เท่านั้น
การมีอยู่ของคอขวด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากดความเร็วการฝึกฝนของผู้ฝึกเซียนลงไปได้มาก
ราวกับเภทภัยที่ฟ้าส่งมา ขวางกั้นเส้นทางการฝึกตนของผู้ฝึกเซียน
ดังนั้น ผู้ฝึกเซียนจึงเรียกมันอีกชื่อว่า พิบัติสวรรค์
สรุปว่า ตอนนี้พิบัติสวรรค์ก็ตกมาอยู่บนหัวหลี่ฟานแล้ว
ทำให้แผนการทะลุด่านในเวลาสั้นๆ ของเขาต้องพังครืนลง
นั่งขัดสมาธิอยู่ในวงกตมหัศจรรย์หลายวัน หลี่ฟานไม่รับรู้เลยสักนิดว่าจังหวะในการทะลุด่านของตนจะมาจากที่ไหน
รู้ว่าเรื่องนี้เร่งรัดกันไม่ได้ในเวลาอันสั้น เขาจึงไม่ได้ใจร้อน วางมือจากการฝึก《คัมภีร์ยุทธ์เซี่ยวเอี๋ยนสุ่ย》ไปก่อน หันไปฝึกฝน《ตราทองล้อมหยกพันกลไก》แทน
《ตราทองล้อมหยกพันกลไก》มีห้าขั้น สมัยโบราณแบ่งตามห้าขั้นใหญ่ ได้แก่ ก่อนกำเนิด ฝึกปราณ สร้างฐาน แก่นทองคำ และหล่อหลอมร่างทารก
สภาวะก่อนกำเนิดเป็นขั้นที่แตกต่างออกไป ที่มีอยู่ในคัมภีร์วิชาของบางสำนักในยุคโบราณ
เน้นการขับไล่ความเศร้าหมองทางโลกที่ติดมาหลังเกิด กลับคืนสู่สภาวะบริสุทธิ์ผุดผ่องดั้งเดิมก่อนกำเนิด
สำนักเหล่านั้นเชื่อว่าการฝึกฝนจากสภาวะดั้งเดิมก่อนกำเนิด จะทำให้เข้าใจเต๋าได้ง่ายขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือขีดจำกัดในการฝึกตน ก็จะเกินกว่าผู้ฝึกเซียนทั่วไปไปไกล
สำนักเทียนจีก็เป็นหนึ่งในสำนักที่ยึดถือให้ฝึกฝนจากก่อนกำเนิดเป็นตันทาง
แต่หลังจากที่วิถีใหม่เข้ามาแทนวิถีเก่า ผู้ฝึกเซียนก็ครอบครองฟ้าดิน ไม่ได้เน้นเรื่องการเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินอีกต่อไป
เรื่องการฝึกให้ปราณกลับคืนสู่สภาวะดั้งเดิมก่อนกำเนิด ก็ไม่ต้องพูดถึงอีก
แต่พื้นฐานที่สุดของ《ตราทองล้อมหยกพันกลไก》ทั้งเล่ม อยู่ที่สภาวะก่อนกำเนิดนี่เอง
ดังนั้นสิ่งที่หลี่ฟานต้องทำก็คือ ใช้ขั้นฝึกปราณแทนสภาวะก่อนกำเนิด เพื่อให้การฝึกฝนขั้นที่หนึ่งสมบูรณ์
โดยปกติแล้ว การใช้ขั้นสูงแทนขั้นต่ำ ย่อมใช้งานต่อเนื่องได้ในทางกลับกัน
การฝึกฝนมักทำได้อย่างสบายมากขึ้น
แต่พอเรื่องเกี่ยวข้องกับความแตกต่างระหว่างระบบการฝึกตนของวิถีเก่าและวิถีใหม่ มันก็ไม่ง่ายอย่างนั้นอีกแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลี่ฟานก็เป็นแค่ผู้ฝึกหัดที่เพิ่งฝึกฝนได้ไม่กี่ปี ความรู้ที่สะสมมาเกี่ยวข้องนั้นยังมีน้อยเกินไป
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมก่อนหน้านี้หลี่ฟานใช้เวลาตั้งปีกว่าจะแค่เริ่มต้นได้
แถมนี่ยังเป็นตอนที่กินโอสถหลิ่วหลี่ เสริมความเข้าใจแล้วด้วยซ้ำ
ตอนนี้ เมื่อหลี่ฟานฝึก《คัมภีร์ยุทธ์เซี่ยวเอี๋ยนสุ่ย》จนติดขัดแล้ว เขาก็หันมาฝึกขั้นที่สองของ《ตราทองล้อมหยกพันกลไก》แทน
เขาตั้งใจจะฝึกทั้งสองวิชายุทธ์ให้ถึงขั้นฝึกปราณระดับกลางพร้อมกัน แล้วลองดูว่าจะช่วยทำลายคอขวดได้หรือไม่
ถึงอย่างไรก็ตาม ในยุคนี้คัมภีร์วิชามีค่ายิ่ง ผู้ฝึกเซียนธรรมดาที่ฝึกหลายวิชาพร้อมกันได้เหมือนเขานั้นหายากนัก
ตามที่《ตราทองล้อมหยกพันกลไก》บรรยายไว้ หลังจากฝึกขั้นที่สองสำเร็จ ก็จะสามารถใช้อภินิหารในการ "แยกแยะกระแสปราณ" ได้
ที่เรียกว่า "แยกแยะกระแสปราณ" ก็ตรงตัว นั่นคือสามารถรับรู้และจำแนกกระแสปราณนานาชนิดระหว่างฟ้าดินได้
นี่ก็เป็นรากฐานของ《ตราทองล้อมหยกพันกลไก》
ต้องสามารถรับรู้และแยกแยะกระแสปราณได้ก่อน ถึงจะไปถึงขั้นจับต้องและหลอมรวมในภายหลังได้
การฝึกขั้นที่สองนั้นยากเกินกว่าที่หลี่ฟานคิดไว้
หากพูดว่า《คัมภีร์ยุทธ์เซี่ยวเอี๋ยนสุ่ย》บอกวิธีการฝึกฝนอย่างง่ายๆ ชัดเจน ไม่มีส่วนเกินสักนิด
เช่นนั้น《ตราทองล้อมหยกพันกลไก》นี่ก็คือการเอาวิธีการฝึกฝนไปซ่อนไว้ในกองถ้อยคำลึกลับ ปล่อยให้ผู้อ่านคาดเดากันเอาเอง
ไม่เพียงเท่านั้น ยังแทรกแนวคิดเรื่องเต๋าเข้าไปเป็นระยะๆ ยกตัวอย่างเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เคยเกิดขึ้นในวงการฝึกตนสมัยโบราณ เป็นต้น
สิ่งต่างๆ นานาปนเปกันไปหมด หลี่ฟานอ่านแล้วปวดหัวตึ้บ เลือดลมพลุ่งพล่าน
อ่านจบรอบหนึ่ง เหมือนเข้าใจหมดแล้ว พอลงมือฝึกเองถึงรู้ว่าจริงๆ แล้วไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
โชคดีที่หลี่ฟานไม่ใช่คนยอมแพ้ง่ายๆ
ต่อให้ยากลำบากแค่ไหน หลี่ฟานก็อดทนศึกษาทำความเข้าใจทีละตัวอักษร ทีละประโยค
ในการฝึกฝนอย่างขะมักเขม้นของหลี่ฟาน ก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
การฝึก《ตราทองล้อมหยกพันกลไก》แทบไม่มีความคืบหน้าใดๆ
หลี่ฟานไม่ย่อท้อ
ครั้งที่สองที่ไปรับค่าตอบแทนผู้รักษาการณ์ที่เกาะหมื่นเซียน เขาเอา 800 คะแนนผลงานและผลไท่อัน 5 ผล ที่เก็บสะสมมาได้ในสองปีนี้ ไปแลกเป็นประสบการณ์การฝึกฝนคัมภีร์โบราณทั้งหมด
จากนั้นหลี่ฟานก็เปิดโหมดช่วยฝึกฝนในกระจกเทียนเสวียน
แต่ไม่ได้ฝึกวิชายุทธ์ เพียงแค่อ่านบันทึกประสบการณ์เหล่านั้น เปรียบเทียบกับความรู้ที่ตนสรุปมาได้ในปีที่ผ่านมา
ราวกับมีสายรุ้งผ่าขอบฟ้า ข้อสงสัยต่างๆ ที่เคยไขไม่ออกมาก่อนหน้า ตอนนี้ได้รับคำตอบทั้งหมด
เมื่ออ่านถึงตอนที่ตื่นเต้น หลี่ฟานอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาโลดเต้นด้วยความดีใจ
เพิ่งจะรู้สึกเข้าใจความหมายของคำว่า "ได้ยินเต๋าเช้า ตายเย็นไม่เสียใจ" อยู่บ้าง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ห้าวันก็หมดลง
หลี่ฟานผู้มีความเข้าใจบางอย่างแล้วรีบร้อนกลับไปยังเกาะไท่อัน ก่อนจะเริ่มปิดตัวอีกครั้ง
ครั้งนี้เมื่อฝึกฝนอีกที ช่างแตกต่างจากครั้งก่อนราวฟ้ากับเหว
เนื้อหาอันลึกลับยากเข้าใจในคัมภีร์ล้วนกระจ่างแล้ว เมื่อฝึกฝนก็ย่อมไร้อุปสรรค
จิตใจของหลี่ฟานจมดิ่งสู่ห้วงการฝึกฝนอย่างรวดเร็ว
ยามฝึกฝน ไร้ซึ่งกาลเวลา
วันนี้ ปราณวิญญาณสีทองเป็นหมอกที่แตกต่างจากปราณธาตุน้ำอย่างสิ้นเชิง ปรากฏขึ้นในตันเถียนของหลี่ฟานอย่างกะทันหัน
หลี่ฟานลืมตาขึ้นทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความปีติ
"ในที่สุดก็ฝึกขั้นที่สองของ《ตราทองล้อมหยกพันกลไก》สำเร็จแล้ว" หลี่ฟานถอนหายใจยาว
ยืดเส้นยืดสายร่างกายที่แข็งทื่ออยู่บ้าง ก่อนหันไปมองเวลา แล้วก็เผลอตัวไปครู่หนึ่ง
ไม่คิดว่าการปิดวิเวกครั้งนี้จะยาวนานถึงปีเต็ม
ทว่าสำหรับความรู้สึกของหลี่ฟาน เหมือนแค่หลับไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น
โชคดีที่ความยากลำบากนำมาซึ่งผลตอบแทนเสมอ
หลี่ฟานคิดอะไรได้บางอย่าง พร้อมกับปราณสีทองที่มารวมกันที่ดวงตาทั้งสอง เขาแสดงอภินิหาร "แยกแยะกระแสปราณ" ออกมา
"มาดูกันว่า กระแสปราณแห่งฟ้าดินที่ว่านี่ จะมีลักษณะอย่างไรกัน" หลี่ฟานลองใช้วิชาอภินิหารเป็นครั้งแรก อารมณ์ตื่นเต้นอยู่บ้าง
เขามองไปรอบๆ เกาะไท่อัน
แต่กลับเห็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างยิ่ง
ปราณมรณะสีดำทะมึนปกคลุมไปทั่วเกาะไท่อัน ดุจดังเมฆดำทะมึนก่อตัวหนาแน่น!
ปราณมรณะหนาทึบจนแทบจะเป็นรูปเป็นร่าง ทำให้ช่วงกลางวันบนเกาะไท่อันดูเหมือนเมืองผีในยมโลก
เขาเลิกใช้วิชา ก่อนจะแสดงอภินิหารออกมาอีกครั้ง
มองซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง หลี่ฟานถึงได้แน่ใจว่าสายตาตนไม่ได้มองผิดไป
"เป็นไปได้อย่างไรกัน?" หลี่ฟานตกตะลึง สงสัยไม่เข้าใจ
ทันใดนั้น เขาเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบร้อนใช้วิชากระจกน้ำ
แล้วหันกระจกส่องสะท้อนตัวเอง
สิ่งที่เห็นคือ...
หลี่ฟานในกระจก มีปราณมรณะกองอยู่บนศีรษะหนาแน่นถึงพันเท่าหมื่นเท่าเมื่อเทียบกับผู้คนบนเกาะ!