ตอนที่แล้วบทที่ 179 เคียงบ่าเคียงไหล่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 181 อิจฉา

บทที่ 180 สนามฝึกซ้อม


สถานที่ที่ฉินชิงชี้ไปนั้นเป็นสนามฝึกซ้อมของวังหลวง เมื่อนางเห็นสนามฝึกซ้อมตรงหน้าก็ยังรู้สึกตื่นเต้น

อีกเดี๋ยวคงต้องขออนุญาตเหลียงอี้ให้นางมาที่นี่ได้ทุกเวลา แบบนั้นคงจะดีมาก ฉินชิงคิด

ทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอกมีสายตาเฉียบคม เห็นเหลียงอี้ภายในเวลาไม่นาน จึงรีบเปิดประตูใหญ่ทันที จากนั้นเมื่อฉินชิงและเหลียงอี้เดินเข้ามาก็พูดว่า

“ฝ่าบาทเชิญพ่ะย่ะค่ะ”

ทว่าทหารสองคนที่เฝ้าประตูนั้นเห็นฉินชิงก็รู้สึกประหลาดใจ ถึงอย่างไรก็ยังไม่เคยมีสนมมาที่สนามฝึกซ้อมมาก่อน ถึงแม้เจิ้งกุ้ยเฟยในตอนนั้นจะฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็กแต่ฮ่องเต้ก็ไม่เคยพานางมาที่นี่

ดังนั้นเมื่อเห็นฉินชิง แม้ว่าทหารทั้งสองจะดูไม่ออกว่าฉินชิงอยู่ในฐานะอะไร เป็นสนมขั้นใด แต่พวกเขารู้ว่าต้องเป็นคนที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญ

เมื่อฉินชิงเดินเข้าไปข้างในก็พบว่า สนามฝึกซ้อมแห่งนี้มีพื้นที่ไม่เล็ก ใหญ่กว่าสนามฝึกซ้อมของบ้านลุงรองที่ฉินชิงเคยเห็นตอนไปหาลุงรองห้าเท่า

ตอนที่ลุงรองของฉินชิงซื้อบ้านในเวลานั้น ก็เลือกสถานที่ห่างไกลจากเมืองหลวง เพื่อจะได้มีพื้นที่ในการฝึกซ้อมเยอะๆ พื้นฐานแล้วนอกจากสนามหลังบ้านว่างๆ ยังเลือกสถานที่ไว้สร้างสนามฝึกเอาไว้เป็นพิเศษอีกแห่ง

สนามในบ้านของลุงรองเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดที่ฉินชิงในตอนเด็กเคยเห็น ตามที่ลุงรองของนางบอก สนามแห่งนั้นถือว่าอยู่ในระดับสูงแล้ว

แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ตนเห็นในวังหลวงจะใหญ่กว่าสนามที่บ้านของลุงรองนาง แม้ว่าฉินชิงคิดว่าที่วังหลวงร่ำรวยและมีอำนาจ สนามฝึกซ้อมจึงไม่อาจสร้างให้เล็กได้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะใหญ่มากขนาดนี้

ช่างเปิดหูเปิดตาจริงๆ มีเงินมีอำนาจก็จะได้ตามที่ต้องการ

"สนามฝึกซ้อมนี้มีให้แค่ฝ่าบาทใช้คนเดียวหรือเพคะ"

เหลียงอี้มองดูพื้นที่แห่งนี้ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า

"เล็กไปหรือ แม้ว่าจะสร้างให้เจิ้นแค่คนเดียว แต่อย่างไรก็ใช้มาหลายปีแล้ว พื้นที่ยังเล็กไปหน่อย ถ้าเกิดใหญ่กว่านี้ได้ก็คงจะดี"

ฉินชิงได้ยินสิ่งที่เหลียงอี้พูดว่า ก็คิดในใจ ที่นี่เล็กไปหรือ ทั้งที่มันใหญ่มากขนาดนี้ แต่ใช้คนเดียวมันสิ้นเปลืองเกินไปหรือเปล่า

"ถ้าเช่นนั้น หากภายหน้าฝ่าบาทมีองค์ชายน้อย หลังจากพวกองค์ชายน้อยโตขึ้นแล้วก็จะมาฝึกที่นี่ใช่หรือไม่?"

ครั้งนี้เหลียงอี้ก็ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า

"ไม่ใช่ ทางนี้มีไว้ให้เจิ้นใช้แค่คนเดียวเท่านั้น สนามฝึกซ้อมขององค์ชายอยู่ทางตะวันออก องค์ชายทั้งหมดจะอยู่ที่ทางตะวันออก ตรงนั้นจะมีสนามฝึกซ้อมอีกแห่ง พื้นที่กว้างกว่าที่นี่หน่อย มีไว้สำหรับองค์ชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ"

"ก็หมายความว่าในวังหลวงมีสนามฝึกซ้อมสองแห่งหรือเพคะ?"

อยู่ๆ ฉินชิงก็นึกขึ้นได้ว่าที่ที่ตนอยู่นี้คือที่ไหน ที่นี่คือวังหลวง ของกินอร่อยของเล่นชั้นดีที่มีประโยชน์ล้วนถูกส่งมาที่นี่ ย่อมเป็นที่ที่ร่ำรวยที่สุด

ต้องโทษตัวเองที่ก่อนหน้านี้อยู่แต่ในตำหนักจงชุ่ย นอกจากสถานที่ที่ใหญ่แล้ว ฉินชิงยังรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองไม่ได้ต่างอะไรจากอยู่ในบ้าน

สุดท้ายแล้วก็เข้านอนแล้วตื่น จากนั้นก็ถูกหยินผิงเรียกไปกินข้าวไม่หยุด ลานเล็กๆ ของตนและในวังดูเหมือนจะไม่ต่างอะไรกันมากนัก แม้ว่าจะมีแมวที่ตะกละตะกลามและชอบอาบแดดมาอยู่เป็นเพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งตัว

แต่ถ้าสังเกตวังหลวงดูอย่างละเอียด ฉินชิงก็จะพบว่า นี่ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนสถานที่แล้วจากนั้นก็นอนเอนกายหลับอย่างมีความสุข

"ใช่ มีปัญหาอะไรหรือ?"

"ไม่มีปัญหาอะไรเพคะ สมแล้วที่เป็นวังหลวง"

ฉินชิงไม่อยากจะพูดหัวข้อนี้ต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงถามเหลียงอี้ว่า

"ฝ่าบาทมาที่นี่บ่อยหรือไม่เพคะ?"

เหลียงอี้หันมาทางนี้ แล้วนึกถึงช่วงเวลาที่ตนเคยใช้อยู่ที่นี่ จากนั้นก็ตอบฉินชิง

"เจิ้นมาที่นี่บ่อยๆ มาถึงบางทีก็ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์ หรือออกกำลังกายอะไร แต่เพราะอยากมาเจิ้นเลยมา เจิ้นรู้สึกว่าที่นี่มันมีบางอย่างที่ทำให้เจิ้นรู้สึกสบายใจ"

เหลียงอี้ก็บอกไม่ถูกว่าเหตุใดตนถึงชอบมาอยู่ที่สนามนี้ แต่เขาชอบอยู่ที่นี่

ตอนเหลียงอี้ยังเด็กอยู่ก็มักจะไปเล่นที่สนามฝึกซ้อมทางตะวันออกบ่อยๆ จนเหลียงอี้ได้เป็นฮ่องเต้ในที่สุด เขาก็ได้มาที่สนามแห่งนี้

"บางครั้งหากเจิ้นมีเรื่องอะไรที่กวนใจ ก็จะมาระบายอยู่ที่นี่"

การที่เหลียงอี้พูดความในใจของตัวเองออกมาก็ยังค่อนข้างน่าอาย เพราะอย่างไรตนในสายตาของคนอื่นก็ไม่ใช่เช่นนี้เลย

ตอนที่ฉินชิงได้ยินเช่นนั้นนางก็ยังมึนงงเล็กน้อย ถึงอย่างไรในใจของนางภายนอกของเหลียงอี้เป็นคนสุขุมมาตลอด ไม่ว่าจะเจอความลำบากมากมายแค่ไหนเขาก็ยังเป็นลักษณะเช่นนี้

แต่เหลียงอี้กลับมาบอกเรื่องเหล่านี้กับตน ฉินชิงได้เห็นมุมมองที่ลึกขึ้นของเหลียงอี้ ที่แท้เหลียงอี้ก็มีความหงุดหงิดเหมือนคนทั่วไป

ฉินชิงรู้สึกว่านี่คือด้านหนึ่งของเหลียงอี้จริงๆ และยิ่งทำให้นางรู้สึกใกล้ชิดมากขึ้น ทำให้นางยิ่งชอบมากขึ้น

"ถ้าฝ่าบาทมีเรื่องหงุดหงิดใจ การมาที่นี่เป็นวิธีลดความเครียดได้ดีที่สุด ตอนหม่อมฉันยังเด็ก ก็ชอบไปที่สนามฝึกซ้อมบ่อยๆ"

"ที่แท้ชิงเอ๋อร์ก็เริ่มฝึกวรยุทธ์นานแล้วหรือ? ตอนนั้นชิงเอ๋อร์กี่ขวบ?"

"อายุที่หม่อมฉันตัดสินใจฝึกวรยุทธ์ก็คือห้าขวบเพคะ ฝ่าบาทท่านเห็นหม่อมฉันอย่างนี้ คงเดาไม่ออกว่าตอนเด็กๆ หม่อมฉันมีร่างกายอ่อนแอ"

ฉินชิงมองสนามฝึกซ้อมตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ในแววตาเหมือนเต็มไปด้วยครอบครัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นมารดาที่เตรียมสินสอดอย่างพิถีพิถันให้ตน หรือแม้แต่เตรียมถังหูลู่และของกินเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่นางชอบตั้งแต่เด็ก จากนั้นก็ส่งตนเข้าวัง และบิดาที่เชื่อมั่นว่าตนสามารถทำได้ตั้งแต่ตนยังเด็ก

"หม่อมฉันเหมือนจะป่วยมาตั้งแต่ในท้องแม่ หมอบอกว่าหากอยากให้หม่อมฉันฟื้นตัวเร็วขึ้นก็ต้องให้หม่อมฉันไปฝึกวรยุทธ์ ดังนั้นครั้งแรกที่หม่อมฉันฝึกวรยุทธ์ก็คือนานมากแล้วเพคะ"

เหลียงอี้ได้ยินฉินชิงกล่าวเช่นนั้น ครึ่งแรกก็ยังไม่มีปัญหาอะไร แต่ครึ่งหลัง

"ที่แท้ชิงเอ๋อร์ก็ฝึกวรยุทธ์มานานขนาดนี้แล้วหรือ? ตอนที่เจิ้นเริ่มฝึกวรยุทธ์อายุหกขวบแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเรียนช้ากว่าชิงเอ๋อร์"

เหลียงอี้จินตนาการอยู่ข้างสนามฝึกซ้อม แล้วมีฉินชิงตอนเด็กๆ กำลังโบกหมัดอย่างสุดกำลัง เหลียงอี้ก็รู้สึกน่าสนุก และน่าสนใจ

แต่จู่ๆ เหลียงอี้ก็คิดอะไรออกมาได้ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า

"หรือเพราะว่าที่ชิงเอ๋อร์ไม่ท้องเสียทีทั้งที่ผ่านมานานขนาดนี้แล้วเพราะร่างกายไม่สบายอย่างนั้นหรือ? มิน่าล่ะ ดูท่าหลังจากกลับไปแล้วต้องไปที่สำนักหมอหลวงจะดีที่สุดหากให้หมอหลวงเฉพาะทางมาตรวจดูอาการของชิงเอ๋อร์ ถ้ามีปัญหาจริงๆ จะได้หาทางรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ"

เหลียงอี้ดูเหมือนจะลืมไปเลยว่าฉินชิงเองก็เป็นหมอ ถ้าร่างกายนางมีปัญหาจริงๆ จะไม่ดูแลรักษาตัวเองได้อย่างไร?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด