บทที่ 9 หมอที่ไม่มีอยู่จริง
บทที่ 9 หมอที่ไม่มีอยู่จริง
.
ฉันอึ้งแล้วพูดว่า “จริงเหรอ?”
แต่ฉันนอนดึกทุกคืน ใบหน้าก็คงดูไม่ดีนัก
เฉินเหว่ยหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปเขาแล้วพูดว่า “ดูเอาเอง มันดูน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
พอมองหน้าจอ เขาก็แทบหายใจไม่ออก
ใบหน้าสีเทา ซีดเซียว ไม่มีสีเลือด เขาดูเหมือนคนป่วยหนัก
“จื่อหยง นายต้องดูแลสุขภาพตัวเองด้วย คุณป้ายังป่วยอยู่ ถ้านายล้มป่วยไปอีกคน มันจะลำบาก” เฉินเหว่ยพูดอย่างจริงจัง
“ฉันพยักหน้า หัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า”ไม่ต้องพูดเกินจริงขนาดนั้นก็ได้ ฉันแค่นอนดึก แล้วไม่ค่อยได้นอนน่ะ”
“พูดแบบนี้ ก็แสดงช่วงนี้นายกำลังทำอะไรอยู่สินะ? ฉันไม่เห็นนายเลย มัวยุ่งกับอะไรอยู่ล่ะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก หยุดถามก่อน แล้วฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง”
แน่นอนว่าฉันเข้าใจเจตนาดีของเฉินเหว่ย
แต่เป็นการดีกว่าที่จะไม่บอกเขาเกี่ยวกับสถานที่อย่างตึก D เพื่อที่เขาจะได้ไม่กังวลไปมากกว่านี้
ฉันรู้สึกง่วง จึงฟุบกับโต๊ะเพื่องีบหลับ แต่ไม่ว่าจะทำยังไง บางอย่างที่อยู่ในใจก็ทำให้ฉันนอนไม่หลับ
เพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน เฉิงเซียวหยาน ก็ยังเหมือนเดิม เธอเล่นไพ่กับเพื่อนบางคน พวกเขาทั้งตะโกนทั้งหัวเราะโดยไม่สนใจความโกรธเกรี้ยวของครูอย่างสิ้นเชิง
หลังจากเล่นไปได้สักพัก เฉิงเซียวหยานก็มองมาทางฉัน แล้วล้อเลียน “เถียนจื่อหยง ไม่เจอกันหลายวันเลยนะ ทำไมยิ่งนาน นายก็ยิ่งดูน่าเกลียดมากขึ้นล่ะ?”
ฉันกลอกตาแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องของเธอ!”
“นาย…นายนี่มันน่าตื้บจริงๆ!” เฉิงเซียวหยานโกรธมาก
“เจ๊เซียวหยาน ถึงตาเจ๊แล้ว”
“ไม่เล่นแล้ว!”
เฉิงเซียวหยานโยนไพ่ทิ้ง และส่งเสียงตะคอก จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมา เธอจงใจเพิ่มระดับเสียงสูงสุด และเริ่มเล่นภาพยนตร์
เดิมทีฉันก็มีอาการนอนไม่หลับอยู่ ตอนนี้ยิ่งนอนไม่หลับมากขึ้นเพราะเสียงที่เธอทำ ฉันถามขึ้นอย่างทนไม่ได้ขึ้นมาทันที “เธอป่วยหรือเปล่าเนี่ย?”
“ทำไมจะกัดฉันเหรอ?” เฉิงเซียงหยานกล่าวอย่างภูมิใจ
ฉันจ้องหน้าเธออย่างแรง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ กับสาวน้อยอย่างเธอ ฉันไม่สามารถทำอะไรได้
……
หลังเลิกเรียนเฉินเหว่ยบอกว่าอยากเลี้ยงอาหารฉัน แต่ฉันก็ปฏิเสธเพราะไม่รู้สึกอยากอาหาร
“จื่อหยง บอกฉันมาตามตรง ตอนกลางคืนนายไปทำอะไรมา?” ในขณะที่ฉันกำลังจะจากไป เฉินเหว่ยก็ดึงฉันไว้และถาม
ฉันยิ้มขมขื่นและบอกว่า “ฉันไม่ได้ทำอะไรจริงๆ แค่เล่นเกมโต้รุ่งเท่านั้น”
“โอเค ฉันไม่ได้เล่นเกมนานแล้ว คืนนี้เราไปด้วยกัน”
“…”
เมื่อถูกเฉินเหว่ยจ้องมอง ฉันก็รู้สึกผิด ฉันถอนหายใจและพูดว่า “หยุดถามเถอะ โอเคไหม? ฉันจะบอกนายทีหลัง”
“เอ๊ะ!”
ฉันรีบจากไปโดยไม่รอให้เฉินเหว่ยพูดอะไรต่อ
ไม่รู้ว่าทำไม การทำงานในสถานที่อย่างตึก D ทำให้ฉันรู้สึกมีปมด้อยอย่างไม่มีเหตุผล ราวกับฉันกลัวคนอื่นจะรู้
เมื่อนึกถึงอาคาร D ที่มืดมนและแปลกประหลาด อารมณ์ของฉันก็แย่ลงเล็กน้อย
หลังจากไปส่งอาหารให้แม่ในตอนเย็น ฉันก็คุยกับแม่จนเกือบสามทุ่ม
เมื่อเห็นว่าเกือบจะดึกมากแล้ว และกำลังจะออกไป จู่ๆ แม่ก็คว้าตัวฉันและถามว่า “จื่อหยง ทำไมลูกถึงดูแย่จัง?”
ฉันตกตะลึง
รวมแม่ด้วย นี่เป็นคนที่สามแล้วในวันนี้ที่บอกว่าฉันดูแย่
“เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับครับ” ฉันค้นพบข้อแก้ตัว
“ลูกต้องดูแลร่างกายให้ดี อย่าทำงานหนักเกินไป…” ผู้เป็นแม่พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “ว่าแต่ ช่วงนี้ลูกเรียนเป็นไงบ้าง?”
“ไปก่อนนะครับ”
ฉันรู้สึกผิดเมื่อแม่พูดถึงเรื่องเรียน
ฉันทั้งขาดเรียนและฟุบหลับในห้องเรียน ดังนั้นแม้ว่าฉันจะเป็นอัจฉริยะ แต่การเรียนของฉันก็ไม่ดีขึ้นเลย
ฉันเผ่นออกจากวอร์ดราวกับวิ่งหนี ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกว่ามันไร้สาระ
ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิทหรือมิตรสหาย ฉันก็ซ่อนตัว
ฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้ทำอะไรได้สำเร็จเลย ฉันยังคงดิ้นรนอยู่ในวังวนของการเอาชีวิตรอด
บางทีอาจมีสักวันหนึ่งที่ฉันโดนดูดเข้าไป และไม่มีวันหวนกลับมาอีก
ฉันส่ายศีรษะ ผลักความคิดแปลกๆนี้ออกจากหัว
เมื่อเดินมาถึงอาคาร D และเข้าไปข้างใน ฉันก็ขนลุกไปทั้งตัว
ฤดูร้อนในเวลากลางคืนอุณหภูมิภายนอกยังคงมากกว่า 30 องศา แต่เมื่อเข้ามาในอาคาร D มันก็เหมือนการเข้าไปในห้องเก็บน้ำแข็งใต้ดิน อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วและหนาวจนยากจะอธิบาย
จากนั้นฉันก็เห็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลไม่กี่คนกำลังยึดผู้ป่วยวัยชายชราอายุประมาณ 80 ไว้บนเตียงเข็น ชายและหญิงที่อยู่ข้างๆ น่าจะเป็นลูกชายกับลูกสะใภ้ ใบหน้าของชายชราแดงก่ำและส่งเสียงร้องสาปแช่งอย่างโกรธจัด “สารเลว ปล่อยฉันนะ! ไอ้พวกลูกอกตัญญู พวกแกส่งฉันมาสถานที่แบบนี้ พวกแกต้องถูกสวรรค์ลงโทษ!”
(ผู้แปล – หมอ เป็นคำพูดโดยรวมที่มักใช้เรียกเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในโรงพยาบาล...และผู้แต่งก็ใช้คำนี้)
ชายและหญิงร้องไห้น้ำตานองหน้า
“ปล่อยฉันนะ ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจ!”
ชายชราพยายามดิ้นรนอย่างหนัก
เตียงเข็นคนป่วยเริ่มสั่นคลอนทันที
หมอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจับเขาและดึงอย่างแรง
หมอที่ฉันรู้จักรีบพูดกับฉันว่า “จื่อหยง โปรดจัดเตียงว่างให้ด้วย”
ฉันลังเล ลุงคนนี้ ดูเหมือนจะไม่เต็มใจไม่ใช่เหรอ?
หมอขมวดคิ้วและพูดว่า “อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น จะมีคนยอมอยู่ในตึก D กี่คนล่ะ? แค่ทำในสิ่งที่คุณต้องทำก็พอแล้ว!”
ฉันรู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย แต่ก็ยังทำตาม
ฉันกลับไปที่ห้องพักพนักงานเพื่อลงชื่อเข้างาน และเตรียมเตียงของชายชราที่วอร์ด 403
“ไอ้สารเลว ปล่อยฉันนะ!”
“ช่วยด้วย! มีคนจะฆ่าฉัน!”
หมอจับชายชราที่ดิ้นรนและสาปแช่ง บางทีอาจเป็นเพราะชายชราตื่นเต้นเกินไป แขนของชายชราจึงตบลงบนใบหน้าของหมอร่างอ้วนโดยไม่ตั้งใจ
หมออ้วนอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นก็โกรธจัด แล้วตบไปที่ใบหน้าของชายชราด้วยหลังมือ
ฉาด!
เป็นการตบที่รุนแรงมาก
ครึ่งซีกหน้าของชายชราถึงกับบวม
ฉันทนไม่ไหวรีบก้าวออกไปถามหมออ้วนว่าตบคนไข้ได้ยังไง?
หมออ้วนหัวเราะเยาะ “อะไร? คุณอยากเป็นคนดีเหรอ? หากคุณมีความสามารถ ก็ชำระหนี้ค่ารักษาพยาบาลของเขาแล้วส่งเขากลับไปวอร์ดปกติก็ได้นะ?”
ฉันโกรธมาก แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
ที่แปลกก็คือ ชายชราอารมณ์ร้อนที่ถูกตบ เพียงแค่ลูบใบหน้าแล้วมองไปรอบๆ อย่างว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวถูกทุบตีอีกหรืออะไร แต่ชายชราไม่ได้พุ่งออกไปโจมตีหมออ้วนจริงๆ
สิ่งที่ทำให้ฉันสับสนยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ญาติของชายชรา ชายและหญิงที่อยู่ข้างๆ ฉัน ไม่แยแสเรื่องเหล่านี้เลย พวกเขาเพียงคอยเช็ดน้ำตาของตัวเองเท่านั้น
ฉันรู้สึกหนาวในใจ ไม่เป็นไรถ้าชายชราไม่เอาความ แต่ในฐานะลูกชายและลูกสะใภ้ เห็นชายชราโดนตบพวกคุณไม่รู้สึกโกรธเลยเหรอ?
“เฮ้ พวกคุณแค่ดูเฉยๆ แบบนี้เหรอ?”
ฉันเดินไปหาชายและหญิงแล้วถามขึ้นอย่างระงับความโกรธ
“ดูเฉยๆ… ดูอะไร?”
พวกเขาดูสับสน
“เขาโดนหมออ้วนตบ พวกคุณไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเลยเหรอ?” ฉันโกรธมาก
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชายและหญิงก็มองมาที่ฉันอย่างอธิบายไม่ถูก
“น้องชาย คุณโอเคไหม? พ่อของผมโดนตบเมื่อไหร่?” ชายคนนั้นกล่าว
เชอะ ยังแกล้งโง่กับฉันอีกนะ?
ฉันเย้ยหยัน แล้วบอกว่า “โอเค หยุดแกล้งได้แล้ว หมออ้วนตบพ่อของคุณ ตาบอดหรือไงถึงได้ไม่เห็น?”
“เป็นไปได้ยังไง? หมอที่จับพ่อสามีของฉันเมื่อครู่ไม่มีใครอ้วนเลยนะ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีใครมาตบพ่อสามีของฉันเลย!” ผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
อะไรนะ?
ฉันรู้สึกประหลาดใจ
ไม่มีใครอ้วนงั้นเหรอ?
แต่หมอที่เพิ่งตบหน้าชายชราอ้วนมากอย่างเห็นได้ชัด
ทันใดนั้นฉันก็ใจสั่นราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และรีบวิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง
ไม่นานฉันก็ตามหมอที่เข็นเตียงกลับไปทัน เมื่อเห็นฉันกำลังตื่นตระหนกพวกเขาก็ถามฉันว่า เป็นอะไรหรือเปล่า?
“หมออ้วนไปไหน? เขาไปที่ไหนแล้ว” ฉันร้องถามเสียงดัง
หมอไม่กี่คนนั้นมองหน้ากัน
“หมออ้วน?”
“พวกเรา ไม่มีใครเลยที่อ้วน”