บทที่ 78 ความโกรธแค้น
บทที่ 78 ความโกรธแค้น
เสี่ยวเว่ยสองคนแบกทั้งคู่ขึ้นไปบนเนินเขา
เสียงดังขนาดนี้ คาดว่าเหล่าขุนพลน่าจะเร่งรีบมา แต่น่าเสียดาย มันจบเร็วเกินไป... เร็วจนทุกคนยังรู้สึกงงๆ อยู่เลย
ไม่ผิดตามที่คาดไว้...
พวกเขาเพิ่งเดินขึ้นไป จากนั้นก็เห็นหงเล่ยและจ้าวคังหลินพาคนนับสิบคนรีบวิ่งมา
"เกิดอะไรขึ้น?" หงเล่ยถามด้วยความตกใจ
"ตอนแรกมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น... แต่ตอนนี้มันจบลงแล้ว"
หวังเหมิงอธิบายง่ายๆ เพราะจริงๆ แล้วเขาก็เรียบเรียงเรื่องนี้ไม่ถูก
เสี่ยวเว่ยหลายคนตื่นเต้น ต่างพากันพูดถึงคลื่นกระบี่ ดาบสีดำ...
หงเล่ยใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
สีหน้าของเขาดูซับซ้อน
จริงๆแล้ว ตอนที่เขาเห็นไต้ปิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสตั้งแต่ครั้งแรก เขาก็พอคาดเดาอะไรได้บ้างแล้ว
แค่เขาไม่ค่อยมั่นใจเท่านั้น
เขาถึงบอกให้เสินอี้คอยจับตาดูนาง
อีกฝ่ายทำไมถึงดูแลนางจนกลายเป็นแบบนี้... แถมยังมีคนที่สวมชุดพ่อบ้านถูกมัดไว้อีกด้วย
แน่นอนว่าหงเล่ยรู้จักคนผู้นี้ พ่อบ้านแห่งเขาชิงเฟิงไม่ใช่คนอ่อนแอ
แม้แต่หงเล่ยเองก็ยังเอาชนะเขาได้ยาก
"ท่านขุนพลหง จะจัดการกับพวกเขาอย่างไร?" หวังเหมิงวางคนลงบนพื้น
เมื่อได้ยินคำถามนี้ จ้าวคังหลินพูดอย่างเย็นชาว่า "ตอนนี้เป็นช่วงที่ยุ่งยาก ไม่จำเป็นต้องทำตามกฎ เสียเวลาเฝ้าเปล่าๆ คนพวกนี้อาจฆ่าสหายร่วมงานได้ เขาคือศัตรู ฆ่าเขาซะ!"
หงเล่ยขมวดคิ้วมองเขา หันกลับมาถามว่า "เสินอี้ได้รับบาดเจ็บบ้างหรือไม่?"
หวังเหมิงอ้าปากพูด "เอ่อ... น่าจะไม่นะ ใต้เท้าเสินดูสบายดี"
เขาคิดทบทวนอีกครั้ง แล้วพยักหน้าอย่างแน่วแน่
"ไร้สาระ!" จ้าวคังหลินหัวเราะเยาะออกมา
การต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง เป็นไปไม่ได้ที่เสี่ยวเว่ยเหล่านี้จะพูดได้ง่ายขนาดนั้น
หงเล่ยไม่สนใจเขา มองไปที่ลายเมฆสามเส้นบนแขนเสื้อของไต้ปิง
เฮ้อ... ต้องฆ่าปีศาจและช่วยเหลือผู้คนมากแค่ไหนจึงจะได้มันมา
หงเล่ยคิดว่าเสินอี้สามารถทำให้ทั้งสองคนบาดเจ็บสาหัสได้ คงไม่ยากที่จะสังหารทิ้ง แต่เขากลับไว้ชีวิตคนทั้งสอง จากนั้นมัดพวกเขาไว้แล้วส่งมาที่นี่ มันอาจจะมีความหมายอื่น
เขาถอนหายใจออกมา พูดเสียงต่ำว่า "พวกเขาใกล้ตายแล้ว จะเฝ้าไว้ทำไม ปล่อยพวกเขาไว้เถอะ ถ้าโชคดีรอด ค่อยพาพวกเขากลับไปที่แผนกปราบปีศาจ"
เมื่อได้ยินดังนั้น ไต้ปิงที่นอนเหมือนกำลังจะตายบนพื้น หันขวับไปมองศิษย์พี่ของนาง กลืนเลือดคาวในปากลงไป
ทั้งสองมองหน้ากัน สีหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นผู้ตัดสินทางหนีของพวกเขา แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็รอดชีวิต และพวกเขาต้องรู้สึกขอบคุณชายหนุ่มผู้นั้นอยู่ดี
"ช่างดื้อรั้น รู้แต่ยึดติดกับกฎระเบียบโง่ๆ เจ้าไม่มีวันทำผลงานใหญ่ได้"
จ้าวคังหลินแสดงท่าทีดูถูก เบื้องบนบอกให้เฝ้าเฉยๆ หงเล่ยก็ไม่ขยับเขยื้อนจริงๆ
ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ข้าจะเรียกคนพวกนี้มาทำไม!?
เมื่อเห็นว่าหงเล่ยเพิกเฉยต่อคำพูดของเขาโดยสิ้นเชิง จ้าวคังหลินจึงแค่นเสียงถามอย่างเย็นชา"แล้วไอ้คนแซ่เสินมันอยู่ไหน? เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเขาถึงไม่มารายงาน?"
หวังเหมิงและเสี่ยวเว่ยหลายคนอดทนกับเขามาเป็นเวลานานแล้ว และต้องการจะเถียงกลับโดยไม่รู้ตัว
พวกเขายังไม่ทันได้อ้าปาก ทั้งหมดก็เห็นเสินอี้เดินขึ้นเนินเขามาอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าได้รับบาดเจ็บ ดูราวกลับว่าเขาไม่ได้ลงมือเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าของจ้าวคังหลินสั่นกระตุก ความหวาดกลัวแวบผ่านในแววตาของเขา... สิ่งที่เสี่ยวเว่ยเหล่านั้นพูดเป็นความจริง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาหันหลังกลับไปอย่างเงียบๆ
หงเล่ยถอนหายใจด้วยอารมณ์ เขากุมมือคำนับและกล่าวว่า "น้องชายเสิน เจ้าเก่งมาก"
เขาเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถ ทำให้ชายชราผู้นี้รู้สึกละอายใจ
เสินอี้เดินไปข้างๆเขา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเตือนว่า "พวกนั้นบนเขา... น่าจะเริ่มลงมือกันแล้ว"
"หืม?"
หงเล่ยลดมือลง ตอบโดยไม่ได้ตั้งใจ "แค่พ่อบ้านคนหนึ่งที่โดดเดี่ยวและสิ้นหวัง น้องชายเสินไม่ต้องระวังมากขนาดนั้นก็ได้ ท่านขุนพลอาวุโสเฉิน..."
เขาพูดครึ่งประโยค สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
พ่อบ้านเขาชิงเฟิงหนีออกมาในยามค่ำคืน แสดงว่ามีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับประมุข ผู้เฒ่ากระบี่พิโรธก็นั่งอยู่บนหน้าผา แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง
หากทั้งเขาชิงเฟิงมีความคิดที่ไม่ลงรอยกัน
แล้วประมุขผู้นั้น จะกล้าเสี่ยงต่อความไม่พอใจของคนทั้งโลกหรือไม่?
เหล่าศิษย์บนเขาชิงเฟิง ไม่ว่าจะร่วมมือกันต่อต้านแผนกปราบปีศาจ หรือก้มหน้าส่งมอบมือกระบี่คนนั้น แรงกดดันทั้งหมดขึ้นอยู่กับบนยอดเขา
แต่ถ้าคนข้างบนต้องการปกป้อง แต่คนข้างล่างต้องการหนี
พวกเขากลุ่มนี้ที่เดิมทีรับผิดชอบแค่เฝ้ายามในหุบเขา กลับต้องเผชิญกับการต่อต้านจากศิษย์เกือบทั้งภูเขา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หงเล่ยกัดฟันพูดว่า "ขอบคุณสำหรับคำเตือน!"
เขาคว้าคบไฟจากมือคนข้างๆ เดินไปที่พื้นที่ว่าง ใช้พลังสายตาของผู้ผึกตนขอบเขตวารีหยกเงยหน้ามองไปที่ยอดเขา
เขาเห็นผู้เฒ่ากระบี่พิโรธที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาถึงลุกขึ้นยืน
เขาถอดปิ่นไม้ที่ศีรษะออก เส้นผมสีเงินกระจัดกระจายอยู่รอบๆ หัวไหล่
ดวงตาขุ่นมัวไร้คลื่นลม แต่แฝงไปด้วยความโกรธแค้นอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าไม่ใช่นี่ความรู้สึกฉับพลัน แต่เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจสะสมไว้
ชายชราเฒ่ามองลงมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่พ่อบ้านของเขาชิงเฟิง
มองดูว่าลูกศิษย์ของเขายังมีลมหายใจอยู่
ชายชราถอนหายใจเบาๆ ความโกรธในดวงตาของเขาเกือบจะเต็มเปี่ยม แต่มันก็ไม่สามารถยึดครองแววตาตาของเขาทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์
"เจ้าไม่ได้บอกว่า ให้ฆ่าเขางั้นหรือ?" หงเล่ยตะโกนใส่คนข้างๆ
"ข้า... ข้าก็แค่พูดไปเรื่อย"
จ้าวคังหลินเอ่ยเสี่ยงค่อย ออร่าของผู้เฒ่ากระบี่พิโรธในตอนนี้แหลมคมกว่าตอนที่เขาแข็งแกร่งที่สุดถึงสามเท่า "ร้อนรนทำไม? ตราบใดที่เขากล้าลงมา ให้ตั้งค่ายกลปราบปีศาจรับมือซะ รับรองว่าเขาไม่มีทางกลับไปได้"
ชายคนนี้ดูไม่น่าเชื่อถือ แต่คำกล่าวนี้ไม่ใช่คำพูดที่ไร้สาระ
เหล่าขุนพลของแผนกปราบปีศาจได้เรียนรู้ศาสตร์การต่อสู้และได้รับยาล้ำค่าชั้นเลิศ พวกเขาไม่เกรงกลัวศิษย์ของสำนักต่างๆ แม้จะเผชิญกับสำนักใหญ่เช่นเขาชิงเฟิง พวกเขาก็ยังเหนือกว่า
ขุนพลสองคนในขอบเขตวารีหยกขั้นกลางประจำการอยู่ที่นี่ ร่วมด้วยเสี่ยวเว่ยหลายสิบคน การจัดการกับผู้เฒ่ากระบี่พิโรธที่อายุมากและร่างกายทรุดโทรม ย่อมไม่มีอะไรผิดพลาด
เพียงแค่หงเล่ยกังวลว่า... ดูจากท่าทางของผู้เฒ่ากระบี่พิโรธแล้ว ถ้าไม่ใช่เป็นบ้าคลั่งหาความตาย แสดงว่าหุบเขากวนเจี่ยคือจุดที่เหมาะสมกับการหลบหนีมากที่สุด มันจะกลายเป็นจุดฝ่าวงล้อมของเหล่าศิษย์ทั้งหลาย
"เสินอี้รับคำสั่ง"
เขาหันหลังกลับ ดึงแผ่นป้ายเหล็กออกมาจากเอว "นำคำพูดของข้าไป ในนามของผู้บัญชาการหุบเขากวนเจี่ย ไปเชิญขุนพลมาแปดท่าน เจ้าจำไว้ ต้องเร็ว! ต้องระวัง!"
เสินอี้เงยหน้ามอง นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาออกมาทำภารกิจ แค่เสนอแนะก็พอแล้ว เขาจะไม่คิดว่าการตัดสินของเขาจะแม่นยำกว่าขุนพลชราผู้นี้
ขอบเขตบ่มเพาะวารีหยกขั้นสมบูรณ์นั้นไม่ธรรมดา แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ มันไม่ได้ส่งผลต่อชัยชนะ และไม่สามารถเป็นประโยชน์ได้มากกว่าขุนพลแปดคนรวมกัน
ขณะที่กำลังเขาเอื้อมมือไปรับแผ่นป้าย แต่กลับถูกคนอื่นคว้าเอาไปก่อน
จ้าวคังหลินกัดฟันเอ่ย "ข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าจะไปเอง"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสินอี้ก็สงบนิ่ง แต่เสี่ยวเว่ยชุดอินทรีทองคำที่อยู่ข้างๆ ต่างกัดฟันและมองไปทางอื่น
หงเล่ยจ้องมองชายหนุ่มผู้ไร้ประโยชน์ด้วยความโกรธ อีกฝ่ายเป็นผู้สั่งการค่ายกลปราบปีศาจ สิ่งนี้เป็นรูปแบบสำคัญของค่ายใน ทหารค่ายนอกอย่างพวกเขาไม่สามารถใช้งานได้
"รีบไปรีบกลับ!"
เมื่อพูดจบ เขาก็มองไปที่หน้าผาสูงอีกครั้ง โชคดีที่... ชายชราคนนั้นยังต้องการเวลาอีกสักหน่อยเพื่อสะสมพลัง
เสินอี้มองอย่างเงียบๆ แต่คิ้วของเขากลับไม่ผ่อนคลายเหมือนหงเล่ย
ด้วยพลังสายตาที่แข็งแกร่งของเขา
ด้านหลังของผู้เฒ่ากระบี่พิโรธ บนหน้าผาสูงสุด เหล่าศิษย์ที่มีพลังอ่อนแอค่อยๆ เดินเข้าหาขอบหน้าผา มีทั้งผู้ฝึกตนขอบเขตเริ่มต้น และบางคนที่ยังไม่บรรลุร่างกายมนุษย์ขั้นสมบูรณ์