บทที่ 76 แสงกระบี่ดั่งสายรุ้ง
บทที่ 76 แสงกระบี่ดั่งสายรุ้ง
ยามค่ำคืน กองไฟลุกโชน
แสงจากฟืนส่องสว่างใบหน้าของผู้คน
เหล่าเสี่ยวเว่ยผลัดกันเฝ้าระวังจุดสำคัญ สายตาจดจ้องราวกับเหยี่ยว ไม่ปล่อยผ่านแม้แต่ความเคลื่อนไหวที่น้อยที่สุด
"จะเกิดการต่อสู้ขึ้นไหม?"
หวังเหมิงถูมือด้วยความกังวล "ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ ประมุขเขาชิงเฟิงกินจนอิ่มเกินไปแล้วหรือไง ถึงได้ทะเลาะกับขุนพลอาวุโสเฉินเพื่อศิษย์แค่คนเดียว?"
"ทว่าศิษย์คนนี้มีโอกาสมากที่สุดที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขเนี้ยสิ"
หลิวต้าเฉียนแก้ไข "ชื่อเสียงของเขาชิงเฟิงในรอบร้อยปีมานี้ เกือบครึ่งหนึ่งมาจากฝีมือของเขา เขาคือมือกระบี่ในตำนาน"
"บุคคลเช่นนี้ จะเป็นร่างแปลงของมังกรเจียวผู้ชั่วร้ายจริงงั้นเหรอ?"
หวังเหมิงเม้มริมฝีปากปาก ทันใดนั้นเขาก็กระซิบเบาๆ "ถ้าเขาเป็นมังกรเจียวจริงๆ ก็นับว่าเขากลับใจแล้วไม่ใช่เหรอ?"
"ชู่!" หลิวต้าเฉียนเตือนเขา
ท่านขุนพลอาวุโสเฉินต้องการปราบปีศาจ แต่ไอ้หนุ่มคนนี้กลับมาเชียร์ปีศาจ นี่มันคิดจะกบฏหรือยังไง?
"แต่เขามีภรรยาน้อยมากมาย และพวกนางมักถูกจับตัวไปบ่อยๆ อาจเพราะชื่อเสียงของเขาดังมาก มันจะเป็นไปได้ไหมที่เขาไปล่วงเกินมังกรเจียวแห่งแม่น้ำหยางชุน พอเขาไม่อยู่ พวกมันจับตัวภรรยาน้อยของเขาเพื่อกลั่นแกล้งเขา?" เสี่ยวเว่ยคนอื่นโน้มตัวเข้ามาสนทนาบ้าง
"ไม่ว่าอย่างไง เพียงจับตัวคนผู้นี้ส่งไปที่สอบสวนสักรอบ พวกเราก็คงจะรู้เองแหละ"
หลิวต้าเฉียนจ้องมองเพื่อนร่วมงานทั้งสองด้วยความเอือมระอา "ถ้าไม่ยอมส่ง รอให้ท่านขุนพลอาวุโสเฉินโกรธ เขาชิงเฟิง(เขียวขจี) ก็คงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเขาเซี่ยเฟิง(นองเลือด) แล้ว"
"ก่อนมาข้ากลัวมาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเราจะได้โชคใหญ่"
หวังเหมิงหัวเราะคิกคัก "ฟังจากคำพูดของขุนพลหง ประมุขเฒ่าคงลังเลอีกสักสองสามวัน กลุ่มเราโชคดีนะ ยังมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตวารีหยกสองคนมาด้วย คงไม่มีปัญหาอะไร!"
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนต่างมองไปที่ชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ใกล้ๆ
เสินอี้ใช้หูฟังบทสนทนา แต่ดวงตาสีดำสนิทของเขากลับจ้องมองป่ารกชันอย่างเงียบๆ
จะไม่มีการต่อสู้จริงๆ งั้นเหรอ?
แล้วพวกเขาตื่นตระหนกเรื่องอะไร?
ส่งมือกระบี่ผู้นั้นให้แผนกปราบปรามปีศาจซะ พวกเขาก็ย่อมถอนทหารออกจากภูเขาแล้ว
เขาชิงเฟิงก็ยังคงเป็นสำนักกระบี่อันดับหนึ่งของชิงโจวต่อไป แล้วจะมีอะไรให้ตื่นตระหนก?
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว…
เสี่ยวเว่ยสองสามคนลุกขึ้นเปลี่ยนเวร คนที่มาแทนกินอิ่มแล้วก็เข้ากระโจมไปพักผ่อน
ไต้ปิงถือกระบี่กลับมาจากป่ารก
ดูเหมือนนางจะไม่มีความอยากอาหาร
นางนั่งลงข้างกองไฟ เหลือบเห็นเสินอี้ที่กำลังยืนพิงต้นไม้ จู่ๆ ก็ขยับตัวช้าๆ นางก็เอ่ยขึ้นทันใด "เจ้าไม่นอนทั้งคืน หรือว่าหงเล่ยบอกให้คอยจับตาดูข้า?"
เสินอี้เดินออกมาโดยไม่ได้พูดอะไร
ไต้ปิงยกมุมปากด้วยความเยาะเย้ย "เจ้าจะไม่ปล่อยให้ใครหนีไปแม้แต่คนเดียวงั้นเหรอ? เจ้าอยากทำร้ายคนบริสุทธิ์มากนักหรือไง? ไม่สิ… ไม่ใช่แค่บริสุทธิ์ แต่พวกเขาคือกลุ่มมือกระบี่ผู้ปราบปรามปีศาจ และปกป้องความยุติธรรม!"
เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินจากไปเรื่อยๆ
ทันใดนั้น นางก็ยกแขนเสื้อที่มีแถบสามเส้นขี้นมา "ข้ารับใช้แผนกปราบปีศาจมายี่สิบปี เรื่องนี้แลกกับความไว้วางใจของพวกเจ้าไม่ได้หรือไง? ทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อข้าสักครั้ง!"
เสินอี้หันมาเล็กน้อย "ข้าเชื่อเจ้า"
“…”
ไต้ปิงเกิดอาการลมหายใจสะดุด เหม่อลอยไปชั่วครู่ จากนั้นได้ยินครึ่งหลังของประโยค
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงเป็นคนโง่”
เสินอี้หันหลังกลับ เดินเข้าไปในป่ารกที่ชื้นแฉะ
ผู้หญิงคนนี้แทบจะเขียนความคิดของนางไว้บนใบหน้าแล้ว ไม่ต้องพูดถึงตัวเขา แม้แต่เฉินจี้ถ้ามาเห็นเขาก็คงจะรู้
เสินอี้ไม่ชอบตัดสินอะไรบางอย่างก่อนที่จะรู้ความจริง
สิ่งเดียวที่เขารู้คือ…
หลังจากได้ยินข่าวลือมากมาย จนถึงตอนนี้ มือกระบี่ในตำนานคนนั้นยังไม่ออกมาอธิบายเรื่องราวที่ว่า ทำไมภรรยาน้อยของเขาถึงคลานเข้าไปในศาลาว่าการ? แถมยังคลอดลูกเป็นปีศาจเจียวชั่วร้าย แล้วถูกมันกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก?
แม้แต่เสี่ยวเว่ยทั่วไปก็สามารถหาข้ออ้างได้ง่ายๆ แต่ทำไมเขาถึงปฏิเสธ?
สิ่งที่เขาทำคือ อยู่บนภูเขา อาศัยความคุ้มครองของชิงเฟิง จากนั้นต่อต้านแผนกปราบปีศาจต่อไปเรื่อยๆ?
นี่มันเหมือนกับว่า… เขายอมตายดีกว่ายอมรับว่ามีหมวกเขียว(โดนสวมเขา) อยู่บนหัว!
อ้อ! เกือบลืมไป
นอกจากนี้ เสินอี้ก็ยังรู้เรื่องมาอีกเรื่อง
เขาเม้มริมฝีปาก ยื่นมือแตะหน้าอก
ความรู้สึกคุ้นเคยนั้น แม้จะเบาบางแต่ก็เด่นชัดมาก เขาไม่รู้ว่ามือกระบี่ในตำนานจะเป็นมังกรเจียวหรือไม่? แต่บนเขาชิงเฟิงมีมังกรเจียวอยู่อย่างแน่นอน!
น่าทึ่งจริงๆ ที่เขาสามารถรู้สึกถึงมันได้
เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เป็นเพียงเขาด้านเดียว หรืออีกฝ่ายก็สามารถรับรู้ได้เช่นกัน
แค่การค้นพบนี้ การเดินทางมาครั้งนี้ก็คุ้มค่าแล้ว
…
ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เหล่าเสี่ยวเว่ยทำได้เพียงจับกระต่ายหรือไม่ก็ไก่ฟ้าจากป่ามา แต่ไม่มีศิษย์เขาชิงเฟิง
ศิษย์หลายร้อยคนกลับไม่มีความเคลื่อนไหว ผู้เฒ่ากระบี่พิโรธบนหน้าผาสูงนั่งนิ่งเสมือนต้นไม้ที่ตายแล้ว แม้แต่เส้นผมสีเงินที่ยาวก็ไม่สั่นไหว ราวกับว่าจุดประสงค์ของเขาที่มาปรากฏตัว เป็นเพียงเพื่อเฝ้าระวังหุบเขากวนเจี้ยนเท่านั้น เพื่อไม่ให้แผนกปราบปีศาจมาดูถูกชื่อเสียง
ในวันนี้ หวังเหมิงใช้หินแผ่นแบนย่างเนื้อไก่
เขามอบให้เสินอี้เป็นอันดับแรก แล้วจากนั้นให้ไต้ปิงอีกหนึ่งชิ้น
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตวารีหยกสองคน เปรียบเสมือนต้นทุนผู้ช่วยชีวิตของพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่กินอิ่มจะเอาเรี้ยวแรงมาจากไหน ใช่ไหม?
“…”
เสินอี้เคี้ยวเนื้อที่จืดชืดและมีกลิ่นคาวเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงหลินไป๋เว่ย
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางถึงสามารถลิ้มรสทุกอย่างได้อย่างมีความสุข
ถ้ากินอย่างนี้สักหกเดือน เขาคงจะเรียนรู้ทักษะของนางได้
ส่วนหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ เขา…
ไต้ปิงกินเนื้อไก่โดยไม่มีสีหน้า มืออีกข้างหนึ่งจับอยู่ที่ฝักดาบ
นางทำเหมือนอยากจะยัดทุกสิ่งที่สามารถเติมเต็มได้ลงไปในท้องของนาง
ฉากที่คุ้นเคยนี้
ทำให้เสินอี้อดไม่ได้ที่จะมองไปที่แขนเสื้อของนาง
อย่างอื่นก็ช่างมันเถอะ ความทุ่มเทยี่สิบปีช่างน่าเสียดายจริงๆ
เมื่อนำหินแผ่นแบนออก น้ำมันค่อยๆ หยดลง กองไฟลุกโชนขึ้นเล็กน้อย
เหล่าเสี่ยวเว่ยก็ลุกขึ้นตามปกติ จากนั้นไปเดินลาดตระเวนในป่า
แต่จู่ๆ พวกเขาได้ยินเสียงของเสินอี้
“คืนนี้ข้าจะลาดตระเวนเอง พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็สับสนและยิ้มอย่างขมขื่น "ใต้เท้าเสินช่างสุภาพเสียจริง พวกเราเป็นทหารมาหลายสิบปี ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน"
หลังจากผ่านประสบการณ์มาหลายวัน พวกเขาก็รู้ว่าเสินอี้ไม่เคยพูดโอ้อวด
หลังจากกล่าวขอบคุณ พวกเขาก็เข้าไปในกระโจมทั้งหมด
ไต้ปิงกำด้ามกระบี่แน่นขึ้น นางมองไปที่ชายหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนช้าๆ ใบหน้าขาวซีดของเขาสว่างสลัวในแสงไฟที่มืดมิด
แม้นางจะพยายามปกปิดอย่างสุดความสามารถ แต่นางไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร?
แต่นางก็ใจอ่อนลงในชั่วพริบตา "เจ้าก็พักผ่อนเถอะ คืนนี้ให้ข้าจัดการเอง"
ชายหนุ่มรูปงาม พรสวรรค์ล้ำเลิศ ฉลาดหลักแหลม แถวยังอายุน้อย ยกเว้นตอนที่พูดจาไม่ดี เขาแทบจะหาข้อติไม่ได้
น่าเสียดายที่ต้องมาตายเปล่าๆ ที่เขาชิงเฟิง
หลังจากอีกฝ่ายพูดเองว่าไม่เชื่อ ประโยคนี้ของนางแทบจะถือเป็นการบอกใบ้
ภายใต้สายตาจ้องมองของไต้ปิง
เสินอี้ปัดมือเบาๆ แล้วเอ่ยว่า "มาเถอะ ข้ากำลังรีบ"
แม้แต่แผนกปราบปีศาจก็ไม่สามารถทำให้ผู้หญิงคนนี้หวาดกลัวได้ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจที่จะพูดมากอีกต่อไป
“…”
เมื่อพูดจบ
หญิงสาวค่อยๆหลับตาลง แน่นอนว่า… สีหน้าช่วยไม่ได้ของนาง มันเห็นได้อย่างชัดเจน
นางค่อยๆ ชักกระบี่ออกจากฝัก
แต่เสียงกระบี่ที่แหลมคมกลับดังมาจากป่าฝั่งตรงข้าม
แสงสีรุ้งสว่างไสวรวมกันเป็นจุดเดียว แล้วกลายเป็นมังกรยาวพุ่งขึ้นฟ้า ส่งเสียงดังกึกก้อง!
ชายผู้สวมชุดแบบคนรับใช้มองดูเสินอี้ด้วยสายตาเฉียบคม ใบหน้าไร้อารมณ์ ถือกระบี่ยาวสามฉื่อ
ออร่าอันแข็งแกร่งขอบเขตวารีหยกกระจายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง ต้นไม้ในป่าที่ใหญ่ขนาดหนึ่งคนโอบ เพียงแค่ถูกคลื่นกระบี่เฉียดผ่าน มันก็หักโค่นลงทั้งหมด!
กระบี่นี้… ฝึกฝนมาเป็นร้อยปี!
ต่อหน้าคลื่นกระบี่ที่โหมกระหน่ำเข้ามา
เส้นผมของเสินอี้ปลิวไสว ร่างกายเหยียดตรง เสื้อผ้าสีดำพลิ้วไหว
มีเพียงดวงตาสีดำสนิทเท่านั้น ที่ค่อยๆ เปล่งประกายสีทอง…