บทที่ 179 เคียงบ่าเคียงไหล่
ขณะเหลียงอี้เห็นฉินชิง ฉินชิงกำลังก้มหน้านับแผ่นกระเบื้องที่หน้าประตูตำหนักเซวียนเจิ้งด้วยความเบื่อหน่าย จากนั้นเขาก็เดินไปถึงนาง
"รอนานหรือไม่?"
"เก้าสิบแปด...เก้าสิบเก้า...หนึ่งร้อย"
เมื่อเห็นฉินชิงบ่นพึมพำอะไรอยู่ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองตนเลย เหลียงอี้ก็รู้ว่าฉินชิงกำลังจดจ่อจนไม่ได้ยินว่าตนพูดอะไร
ดังนั้นเขาจึงเพิ่มเสียงถามอีกครั้ง "ชิงเอ๋อร์รอนานหรือไม่?"
และตอนนี้นี่เองที่ฉินชิงเพิ่งจะรู้ว่าเหลียงอี้มาถึงแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองเหลียงอี้ แม้ว่าเพิ่งจะเลิกประชุมเช้าได้ไม่นาน แต่ก็เปลี่ยนชุดมาเรียบร้อยแล้ว เขาสวมชุดจวิ้นจวง ทำให้เขาดูทะมัดทะแมงเป็นพิเศษ
และแน่นอนว่ายังดูหล่อเหลาเป็นพิเศษอีกด้วย ถ้าเป็นเสื้อผ้าที่เหลียงอี้สวมปกติละก็ ฉินชิงก็จะเห็นได้ว่าภายใต้เสื้อผ้านั้นว่างเปล่า เพราะเหลียงอี้ผอมเกินไป แต่พอมาสวมชุดจวิ้นจวง กล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดนั้นมานานก็เผยออกมาให้เห็น
ฉินชิงเห็นแล้วก็หน้าแดงเรื่อขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หัวใจก็เต้นรัว
"ไม่ ไม่นานเพคะ ฝ่าบาทมาตรงเวลาพอดี หม่อมฉันเพิ่งจะนับได้ถึงร้อยเอง"
"เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ สนามฝึกซ้อมอยู่ไม่ไกล ไม่ต้องนั่งเกี้ยวไปหรอก"
ฉินชิงตกลงทันทีที่ได้ยินเหลียงอี้กล่าวมาเช่นนั้น อย่างไรเสียตอนที่นางมาก็อยากจะออกกำลังกายเลยไม่ได้นั่งเกี้ยวมาด้วย
ได้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับเหลียงอี้ในวังหลวง ฉินชิงก็รู้สึกว่าเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากมาก ถ้าปกติอยู่ในวังหลวง เหลียงอี้และตนจะนั่งเกี้ยวเวลาออกไปไหนมาไหน
ถ้าฉินชิงไม่นั่งอยู่บนเกี้ยวของเหลียงอี้ ฉินชิงก็จะนั่งเกี้ยวของตัวเองตามหลังเกี้ยวของเหลียงอี้ ถ้าสองคนต้องการเจอหน้ากันในวังหลวง อย่างมากก็จะเป็นเหลียงอี้ที่ไปตำหนักจงชุ่ย หรือไม่ฉินชิงก็จะไปตำหนักเซวียนเจิ้ง
ตอนอยู่ตำหนักรับรองสองคนเคยเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันเช่นนี้ แต่ตอนนั้นก็คืออยู่ข้างนอก อีกทั้งยังสวมชุดลำลองออกไปเที่ยว
พอพูดถึงครั้งนั้น ตอนฉินชิงนึกถึง ตอนนี้ก็ยังเขินอยู่ ถึงอย่างไรตอนอยู่ข้างนอกเหลียงอี้กับตนก็คือสามีภรรยากัน
เมื่อฉินชิงรู้ว่าตนจะได้เข้าวัง ฉินชิงไม่เคยคิดว่านางจะได้เป็นชายาของฮ่องเต้ ไม่ใช่แค่ฮองเฮา แต่ยังเป็นชายาด้วย
ฉินชิงมักจะรู้สึกว่าชื่อชายานี้สำหรับนางแล้ว ต่างจากแนวคิดของฮองเฮา แม้ว่าชายาของฮ่องเต้จะเป็นฮองเฮา แต่ฉินชิงก็มักจะรู้สึกว่าไม่เหมือนกัน มันยังมีบางอย่างที่แตกต่างกันเล็กน้อย
ความแตกต่างที่ว่ามานี้อาจจะหมายถึงคนที่อยู่ข้างนางคนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อฮองเฮา ถ้าเกิดมีความรู้สึกก็คือชายา ถ้าไม่มีความรู้สึก เช่นนั้นก็เป็นแค่ฮองเฮา
และการเดินข้างกันแบบนี้ ฉินชิงมักจะรู้สึกว่ามีความหมายพิเศษบางอย่าง การที่เหลียงอี้และตนเดินเคียงข้างกันเช่นนี้หาได้ยากมากจริงๆ
เหมือนการเดินเคียงบ่าเคียงไหล่เช่นนี้ คราวก่อนยิ่งเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่งกว่า ฉินชิงคิดว่าประสบการณ์ในวันนี้มันเหมือนมีความพิเศษเล็กๆ ซ่อนอยู่
ท่ามกลางวังหลวง แม้ว่าด้านหลังจะมีนางกำนัลและขันทีจำนวนมากเดินตามมาอยู่ แต่ฉินชิงก็รู้สึกว่าตนเหมือนจะมองเห็นแค่เขาคนเดียวเท่านั้น
แม้ว่าไม่ได้จูงมือกัน แต่ฉินชิงรู้สึกว่าการได้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาเช่นนี้เป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อย ราวกับว่าสามารถก้าวต่อไปได้เรื่อยๆ
"เรื่องน้องสาวของเจ้าที่บอกมาเมื่อคราวก่อน เจิ้นได้พบกับลูกชายของแม่ทัพสวีแล้วที่ตำหนักเซวียนเจิ้ง คิดว่าหน้าตาก็ดูไม่เลวเลยนะ"
"หลังจากพูดกับฝ่าบาทคราวก่อน หม่อมฉันก็เขียนจดหมายหาท่านแม่แล้ว ไม่รู้ว่าป้ารองจะคิดเห็นอย่างไร จะคิดอย่างไรกับลูกชายของแม่ทัพสวีคนนี้ แต่หม่อมฉันเชื่อฝ่าบาท คนที่ฝ่าบาทเลือกต้องไม่มีปัญหาแน่นอนเพคะ"
"เจิ้นคิดว่าก็ไม่เลว ถ้าดูจากลักษณะนิสัย การสั่งสอนของแม่ทัพสวีก็จะใช้ได้ ดูจากลักษณะร่างกาย น่าจะโตมาพร้อมกับการต่อสู้ตั้งแต่เด็ก เชื่อว่าน้องสาวของเจ้าคงเอาชนะไม่ได้ เรื่องนี้เจ้าวางใจได้เลย"
"ลูกชายของแม่ทัพสวีเป็นคนดีขนาดนี้ หวังว่าจะชอบน้องสาวของข้า ไม่รู้ว่าน้องสาวของข้าจะชอบคนแบบไหนกันแน่"
"เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เรื่องการแต่งงานยังต้องพิจารณาหลายปัจจัย เวลายังอีกยาว ดูๆ กันไปก่อน ถ้าสองคนนั้นได้เจอหน้ากันก็จะดีมาก"
"หม่อมฉันเองก็ไม่ได้รีบร้อนเพคะ ท่านแม่ของหม่อมฉันเขียนจดหมายมาถาม หม่อมฉันเองก็ยังรู้สึกว่าน้องสาวของหม่อมฉันยังเด็ก ไม่คิดว่าจะถึงอายุที่ต้องออกเรือนแล้ว ไม่นานหม่อมฉันก็ดูแก่ไปเสียแล้ว
แม้ว่าจะมีการกำหนดงานแต่งงานไว้แล้ว หม่อมฉันก็รู้สึกว่าป้ารองของหม่อมฉันอาจไม่ปล่อยน้องสาวของหม่อมฉันออกไป ไม่แน่อาจต้องการรั้งให้อยู่ต่อสองปี เพื่อจะได้กตัญญูต่อบิดามารดาให้มากขึ้น
แต่สาเหตุที่ต้องรีบร้อนก็เพราะชื่อเสียงของน้องสาวหม่อมฉันไม่ค่อยดีนัก แต่ต่อให้จะแย่แค่ไหน น้องสาวของหม่อมฉันจะออกเรือนได้อย่างแน่นอน ป้ารองของหม่อมฉันรีบร้อนขนาดนี้ เพราะอยากจะหาเจอคนดีๆ ให้เร็วๆ เท่านั้น"
"ไม่ว่าลูกสาวตระกูลไหนจะแต่งงาน ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ ต้องพูดถึงเรื่องคุณสมบัติภายนอก การอบรมสั่งสอนและมารยาท เจิ้นอยากให้พวกนางศึกษาก่อนสองสามปี จากนั้นค่อยแต่งงาน อีกอย่างถ้าต้องแต่งงาน ก็ต้องผ่านการเลือกอย่างเข้มงวด ถ้าเป็นเจิ้นก็คงไม่ยอมให้ลูกสาวของตัวเองออกเรือนกับใครง่ายๆ แน่นอน ดังนั้นจิตใจของป้ารองเจ้า เจิ้นก็พอเข้าใจ "
ในฐานะที่เป็นพ่อซึ่งมีลูกสาวสามคน เหลียงอี้เข้าใจหัวอกลูกสาวที่ไม่อยากแต่งงานเช่นนี้ดี
"ใช่เพคะ แต่หม่อมฉันก็เชื่อ ในฐานะองค์หญิง ไม่มีใครไม่อยากแต่งงานด้วย แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณชายตระกูลไหนที่จะได้รับเกียรตินี้ สามารถสู่ขอองค์หญิงเข้าจวนได้"
ฉินชิงย่อมรู้ถึงการมีอยู่ขององค์หญิงทั้งสามองค์นี้ อีกอย่างฉินชิงยังรู้อีกว่าเหลียงอี้มักจะไปเยี่ยมองค์หญิงเหล่านี้บ่อยๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงการไปเสวยพระกระยาหารด้วยหนึ่งมื้อ
"เอาล่ะ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว เจิ้นไม่อยากจะคิดเรื่องนี้แล้ว"
เหลียงอี้รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มที่ดีแค่ไหนก็ไม่คู่ควรกับลูกสาวของตน พอคิดว่าอนาคตลูกสาวของตนจะออกเรือน เหลียงอี้ก็รู้สึกว่าควรจะไปเยี่ยมพวกนางบ่อยๆ
"ยังอีกนานหรือไม่กว่าพวกเราจะไปถึงสนามฝึกซ้อม?"
"อีกไม่นานก็ถึงแล้ว สนามฝึกซ้อมอยู่ทางเหนือของพระราชวัง ถ้าเดินไปก็ยังค่อนข้างไกลอยู่"
"ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเคยได้ยินมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าสนามฝึกซ้อมอยู่ที่ไหน วันนี้จะได้เห็นกับตาแล้ว"
คิดถึงข่าวที่ตนได้รู้มาก่อนหน้านี้ เหลียงอี้มักจะไปฝึกฝนที่สนามฝึกซ้อมบ่อยๆ ดังนั้นฉินชิงจึงรู้จักสนามฝึกซ้อมแห่งนี้ แต่ยังไม่รู้ตำแหน่งที่ชัดเจน
แม้ว่าฉินชิงมักจะใช้เส้นทางที่คนไม่เดินกัน ก็ไม่เคยเจอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
"มีสนามฝึกซ้อมอยู่ในวังหลวง แต่เจ้าแค่ไม่รู้เท่านั้น ทางนั้นค่อนข้างห่างไกล อีกอย่างก็ไกลจากวังหลังมาก ชิงเอ๋อร์ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าเกิดชิงเอ๋อร์รู้ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นความประมาทของพวกเขาแล้ว" เหลียงอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
"ที่ที่ฝ่าบาทเสด็จไปฝึกวรยุทธ์บ่อยๆ ก็คือที่นี่หรือเพคะ?"
ฉินชิงชี้ไปยังสถานที่ที่มีทหารเฝ้าอยู่ไกลๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา