บทที่ 110: โจวชิงฟื้นตัว (ตอนฟรี)
บทที่ 110: โจวชิงฟื้นตัว (ตอนฟรี)
ลู่หยวนเลือกที่จะไม่เปิดเผยความจริงอันโหดร้าย
ในปัจจุบัน แรงจูงใจในการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของโจวชิงนั้นคือการแก้แค้น
ถ้าเขาพูดความจริงออกไปตอนนี้ มันก็จะเท่ากับการทำลายจุดประสงค์ในการดำรงชีวิตของโจวชิง ซึ่งนั่นจะโหดร้ายเกินไป
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เขาจึงทำได้เพียงเก็บมันไว้เป็นความลับและปล่อยให้ลูกศิษย์ของเขาค่อยๆ ตระหนักถึงมันได้เอง
บางที ด้วยการฝึกวรยุทธ์ เขาอาจจะสามารถละทิ้งความขุ่นเคืองและเอาชนะอุปสรรคนี้อย่างสงบได้
“ข้าแค่หวังว่าเสี่ยวชิงจะเข้าใจมันอย่างแท้จริงเมื่อถึงเวลา” ลู่หยวนส่ายหัวและออกจากห้องไป
ทุกคนมีชะตากรรมเป็นของตัวเอง และทุกคนก็มีความคิดเป็นของตัวเองด้วย แม้แต่ในฐานะอาจารย์ เขาก็ยังไม่สามารถก้าวก่ายชีวิตของศิษย์มากจนเกินไปได้
นอกเหนือจากการอำนวยวิชาแล้ว ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของอีกฝ่ายจริงๆ
วันรุ่งขึ้น สิ้นเดือน ซุนซือเหวินก็หยุดพักและกลับมาบ้านด้วย
เมื่อเห็นเพื่อนของเขากลับมาแล้ว เขาก็มีความสุขมาก
ในคืนนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะเชิญลู่หยวนมาดื่มใต้แสงจันทร์ โดยพูดติดตลกว่า “ข้าคิดว่าน้องลู่จะมองเห็นแสงแห่งสัจธรรมและออกบวชไปซะแล้ว”
ลู่หยวนเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่น เขายกแก้วขึ้นเพื่อขอโทษอย่างต่อเนื่อง “มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าจะขอไถ่โทษด้วยกันดื่มจนเมาไปเลย”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซุนซือเหวินก็หัวเราะอย่างเต็มที่
พวกเขาดื่มกันจนดึกดื่น และคืนหนึ่งก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ซุนซือเหวินตื่นขึ้นจากอาการมึนเมาและรีบออกไปข้างนอกแต่เช้า ก่อนจะกลับมารับประทานอาหารกลางวัน
ลู่หยวนที่เห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย
“ตอนนี้เดือนตุลาคมแล้วไม่ใช่หรอ? วันนี้เป็นวันสอบจอหงวนแล้วนี่?”
ซุนซือเหวินกินอาหารแล้วส่ายหัวก่อนจะถอนหายใจ “ผู้ว่าการได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการสอบจอหงวนในครั้งนี้ และโดยธรรมชาติแล้ว เขาก็ยังกังวลมาก ดังนั้นเขาจึงเรียกข้าเพื่อถามว่าผู้เข้าสอบน่าจะทำได้ดีเพียงใด”
ลู่หยวนหัวเราะ: “แล้วพี่ซุนพูดว่าอะไรล่ะ?”
ซุนซือเหวินกลอกตา “ข้าจะพูดอะไรได้อีกล่ะ? แน่นอนว่าข้าบอกได้เพียงว่าพวกเด็กคงจะต้องพยายามกันอย่างถึงที่สุดแน่นอน”
ลู่หยวนหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อได้ยินสิ่งนี้
ผู้ว่าการมณฑลผู้วิตกกังวลหันไปขอความช่วยเหลือจากทุกคนเพื่อขอความมั่นใจ
ด้วยสถานที่สอบที่อยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร มันก็คงไม่มีประโยชน์สำหรับเขาที่จะขอความช่วยเหลือจากซุนซือเหวินที่อยู่ที่นี่
ในวันต่อมา ผู้ว่าการมณฑลลากซุนซือเหวินไปที่ห้องทำงานของเขาทุกวันเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเงื่อนไขของผู้เข้าสอบ
แม้จะให้คำตอบไปแล้ว แต่ผู้ว่าการมณฑลก็ยังอยากจะถามพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับว่าเขาลืมพวกมันไปหมดแล้วหลังจากการสอบถามแต่ละครั้ง
ทุกคนสามารถเข้าใจความรู้สึกของเขาได้
ท้ายที่สุดแล้ว ผลการสอบนี้ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตำแหน่งงานของเขา ดังนั้นมันจึงเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงเป็นกังวล
อย่างไรก็ตาม ซุนซือเหวินก็ยังค่อนข้างรำคาญกับเรื่องทั้งหมดนี้
แต่ใครจะตำหนิเขาได้? ผู้ว่าการมณฑลเป็นหัวหน้าของเขา และในฐานะลูกน้อง ซุนซือเหวินก็ย่อมไม่สามารถทำให้เขาขุ่นเคืองได้
ดังนั้นเพื่อพยายามทำให้เขาพอใจ ซุนซือเหวินจึงต้องรวบรวมความอดทนและมอบคำตอบเดิมให้เขาทุกวัน
เมื่อลู่หยวนได้ยินเรื่องนี้ เขาก็หัวเราะอย่างเต็มที่
ในท้ายที่สุด เขาก็มองเพื่อนอย่างให้กำลังใจพร้อมพูดว่า “ข้าเอาใจช่วยท่านนะ”
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และในชั่วพริบตา สิบวันก็ผ่านไปนับตั้งแต่ลู่หยวนกลับมาที่เมือง
ในวันนี้ ในตอนเช้าเขามาที่ห้องลูกศิษย์ของเขา
ในเวลานี้ ในห้องนอกจากจะมีโจวชิงแล้ว ยังมีหมอเฒ่าหลี่อยู่ด้วย
ในขณะนี้ หมอเทวดาเฒ่าก็กำลังค่อยๆ คลี่ยาบนร่างกายของโจวชิงออกอย่างระมัดระวัง การแสดงออกของเขาดูราวกับกำลังจัดการกับชิ้นงานศิลปะที่เปราะบาง
และในสายตาของหมอเทวดาเฒ่า โจวชิงก็เป็นผลงานศิลปะที่เปราะบางและล้ำค่าจริงๆ
ไม่เช่นนั้นเขาจะได้รับเงินสามร้อยตำลึงในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาได้ยังไง?
มันไม่ได้มาจากเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งที่อยู่ตรงหน้าเขาหรอกหรอ?
' ช่างน่าเสียดายที่เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งได้หายขาดจากอาการป่วยของเขาแล้ว และข้าก็ไม่สามารถเก็บเงินไปเที่ยวหาน้องหญิงได้อีกแล้ว'
หมอเฒ่าหลี่ซึ่งยังคงแข็งแรงและกระตือรือร้นแม้จะอายุเกินห้าสิบปีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายและถอนหายใจ
หลังจากใช้เวลาในการคลี่ยามาระยะหนึ่งแล้ว หมอเฒ่าหลี่ก็มองดูโจวชิงและพูดว่า “ตอนนี้เจ้าอาการดีขึ้นแล้ว กระดูกทั้งหมดหายดีแล้ว และไม่ต่างจากคนทั่วไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าหายดีแล้ว”
“ขอบคุณท่านหมอ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ โจวชิงซึ่งนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาร้อยวันก็ลุกขึ้นกระโดดด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ระวังตัวให้ดี หากเจ้าประมาทเดี๋ยวเจ้าก็ได้เจ็บตัวเข้าอีกหรอก”
หมอเฒ่าหลี่มองไปที่โจวชิงแล้วรีบคว้าเขาไว้ด้วยสีหน้ากังวล
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาคิดจริงๆ ก็คือ ทำไมโจวชิงถึงไม่ล้มลงไปอีกล่ะ? ใช่แล้ว มันจะดีกว่าถ้าเขาหกล้มและกระดูกหักเพิ่มอีกสักสองสามชิ้น เพื่อที่ข้าจะสามารถทำเงินได้มากขึ้นอีกครั้ง
ไม่สิ แล้วจริยธรรมทางการแพทย์ล่ะ?
เมื่อกี้คืออะไร? ข้าเผลอคิดอะไรไป?
ไม่ว่าหมอเทวดาผู้ไร้ยางอายคนนี้จะกำลังแอบคิดอะไรอยู่ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเกิดขึ้น
และในขณะนี้ โจวชิงก็สงบลงแล้ว
นี่เพราะอาจารย์ของเขากำลังมองมาที่เขาอย่างเข้มงวด
ในฐานะศิษย์ของเขา เขาก็มีประพฤติดีโดยทันที โดยซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องเหมือนนกกระทา เขาไม่กล้าเอะอะอีกต่อไป
ลู่หยวนกระแอมในลำคอ เขาพอใจกับอำนาจของเขาในฐานะอาจารย์ จากนั้นจึงหันไปหาหมอเฒ่าหลี่แล้วพูดว่า “ขอบคุณหมอหลี่ ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน เราคงไม่รู้ว่าเสี่ยวชิงจะต้องฟื้นตัวอีกนานแค่ไหน”
เขาพูดสิ่งนี้ก่อนที่จะหยิบซองจดหมายสีแดงที่เตรียมไว้ออกมาจากแขนเสื้อแล้วมอบให้ “นี่คือธนบัตรเงินสิบฉบับเพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงความขอบคุณ โปรดรับมันเอาไว้ด้วย”
เมื่อได้ยินเกี่ยวกับเงิน ดวงตาของหมอเทวดาเฒ่าก็สว่างขึ้นโดยทันที
“ข้าจะรับสิ่งนี้ได้ยังไง?”
หมอเฒ่าหลี่กระแอมไอสองสามครั้ง เขาทำหน้าทำตาและโบกไม้โบกมืออย่างรู้สึกผิด ถึงอย่างนั้น ไม่นานมือของเขาก็ยื่นไปข้างหน้าและรับซองจดหมายสีแดงก่อนจะเก็บมันไว้ในกระเป๋าของเขา
ในใจเขาเต็มไปด้วยความยินดี
หลังจากได้รับอั่งเปาและตระหนักได้ว่าไม่มีเงินให้ทำอีกแล้ว เขาก็หาข้อแก้ตัวก่อนที่จะจากไปอย่างสบายใจ
เมื่อเขากลับไป เขาก็เตรียมที่จะไปสนุกสนานกับเหล่านางสนมที่น่าหลงใหลของเขา
หลังจากส่งหมอเทวดาเฒ่าออกไปแล้ว ลู่หยวนก็กลับไปที่ห้อง
จากนั้นเขาก็มองไปที่โจวชิงที่ประพฤติตัวดี เขากระแอมในลำคอและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้เจ้าหายจากอาการบาดเจ็บเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวชิง ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะทำตามสัญญาและสอนวรยุทธ์ให้กับเจ้า”
“ทีนี้บอกข้าหน่อยว่าความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับวิชาจิตในหนังสือลับที่ข้ามอบให้เจ้าดูเมื่อสิบวันก่อนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“หากมีสิ่งใดที่เจ้าไม่เข้าใจก็บอกข้ามาตอนนี้เลย”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของโจวชิงก็สว่างขึ้น เขารีบลุกออกจากเตียงของเขาแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ข้ามีบางอย่างที่ยังไม่เข้าใจ...”
บรรยากาศในห้องกลายเป็นคึกคักขึ้นมาทันที มันดุกลมกลืนและเต็มไปด้วยความสุข..