Chapter 1062 รากวิญญาณเทวะ
ภายในห้องหนังสือ.
จุนซ่างเซียวที่นำน้ำยาเปลี่ยนพรสวรรค์ออกมา กล่าวออกไปว่า“ท้ายที่สุดก็ได้เวลายกระดับรากวิญญาณเป็นระดับเทวะ!”
นับตั้งแต่มีรากวิญญาณระดับศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ได้ยกระดับอีกเลย ตอนนี้สำเร็จภารกิจลับได้มาขวดหนึ่ง ไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก.
“แก๊ก.”
ขวดที่เปิดออก ก่อนที่จะถูกยกกระดกทันที.
พริบตานั้น โลหิตในร่างกายของจุนซ่างเซียวที่ร้อนขึ้นมาทันที ชีพจรที่ขยายพัฒนา พลังวิญญาณที่บริสุทธ์มากกว่าเดิมมาก.
รากวิญญาณที่พัฒนาขึ้น ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ย่อมแข็งแกร่งทรงพลังขึ้นอีกขั้น.
“ฟู่ ฟู่!”
ในเวลานั้น ร่างกายของจุนซ่างเซียวที่แผ่นกลิ่นอายที่หนักหน่วงออกมา กระจายไปทั่วห้องหนังสือทันที.
“ติ๊ง! โฮสน์ตัดผ่านระดับไปยังปราชญ์ยุทธ์ขั้นที่สอง!”
“ติ๊ง! โฮสน์ตัดผ่านระดับไปยังปราชญ์กระบี่ขั้นที่สอง!”
“เพียงแค่ระดับเดียวเองรึ?”
จุนซ่างเซียวที่ยกระดับรากวิญญาณ สัมผัสได้ถึงเขตแดนพลังที่เพิ่มขึ้น.
ระบบเอ่ย “หากไม่เพราะว่าบดยันต์มาหลายชิ้นก่อนหน้านี้ ถึงโฮสน์จะเพิ่มรากวิญญาณเทวะ ก็อาจจะไม่สามารถยกระดับได้.”
จุนซ่างเซียวที่ได้แต่ส่ายหน้าไปมา “ยิ่งระดับสูง ยิ่งยกระดับยากขึ้นเท่านั้น.”
“ใช่แล้ว.”
“ยังมีสี่ยันต์ประสบการณ์นี่นา!”
เขาโบกมือ นำยันต์ออกมาบดในทันที.
อย่างไรก็ตามหลังจากบดยันต์ทั้งหมดไป แม้นว่าจะรู้สึกพลังเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าก็ยังคงอยู่ในเขตแดนขั้นที่สองเช่นเดิม.
จุนซ่างเซียวถึงกับพูดไม่ออก “จะตัดผ่านไปยังระดับสาม จะต้องใช้ยันต์ประสบการณ์กี่แผ่นกัน?”
“อย่างน้อย ๆ ก็คง 6 7 8 หรือ 9.”ระบบเอ่ย.
“......”
ไม่นับตั้งแต่หนึ่งไปเลยล่ะ?
จุนซ่างเซียวที่มีรากวิญญาณเทวะ ทำให้อดไม่ได้ต้องคิดย้อนกลับไป พลางถอนหายใจ“จากระดับต่ำสุด จนแข็งแกร่งที่สุดในทวีปชิงหยุน เส้นทางที่ยาวไกลนี้ ผ่านความยากลำบากเท่าใดกว่าจะมาถึงจุดนี้.”
“แน่นอน.”
แววตาของเขาที่กลายเป็นมั่นคง“รากวิญญาณระดับเทวะเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น ข้าจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือในโลกใบนี้ ทว่าข้าก็บ่มเพาะอย่างจริงจังเช่นกัน”
“ไม่ใช่โกงมารึอย่างไร.”ระบบกล่าวล้อ.
......
การเดินทางไปยังจังหวัดตงไห่ยวีครั้งนี้ ไม่เพียงแค่ได้ยกระดับรากวิญญาณเป็นระดับเทวะ ยังได้รับทรัพยากรฝึกฝนอีกมากมาย.
โดยเฉพาะแร่ ต้องบอกว่าโคตรมาก!
กล่าวได้ว่า ราชันย์เจิ้นเหว่ยที่ต้องการเป็นผู้นำของทุกคนได้เก็บรวบรวมแร่ไว้มาก เพื่อสร้างยุทโธปกรณ์นั่นเอง.
เซียวจุ้ยจื่อที่เริ่มหลอมแล้ว เพราะยังขาดวัตถุดิบเป็นอย่างมาก ทำให้อาวุธเขี้ยวมังกร เริ่มผลิตได้จำนวนมากในเวลานี้.
เรื่องตีเหล็ก จุนซ่างเซียวมอบหมายให้กับศิษย์จนหมดแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเบาสบายกว่าแต่ก่อนมาก.
“วิชาลับเพลิงโลหิต?”
จุนซ่างเซียวที่ตรวจสอบแหวนมิติของราชันย์เจิ้นเหว่ย พบตำราหนังสัตว์สีแดงชาด.
วิชาลับพลิงโลหิตนี้เป็นวิชาระดับเทวะขั้นต้น และเมื่อสำเร็จ ยังสามารถสร้างเพลิงรวมเอาไว้ในร่างอีกด้วย.
“เหมาะจะนำมาฝึก.”
จุนซ่างเซียวที่ชำเลืองมองอย่างระมัดระวัง เพราะว่ารากวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้น ตอนนี้มีกายาเพลิงศักดิ์สิทธิ์และกายาห้าธาตุ ทำให้เขาสามารถเข้าใจสัจจะคาถาได้ง่ายขึ้น.
หากบ่มเพาะปรกติทั่วไป แน่นอนว่าย่อมต้องใช้เวลาไม่น้อย.
“เฮ้อ.”
จุนซ่างเซียวที่หมดปัญญาจำต้องบดยันต์รู้แจ้ง เพื่อบ่มเพาะให้เร็ว.
เพลิงโลหิตไม่ใช่ทักษะจากร้านค้าระบบ ทำให้เขาสามารถใช้ยันต์รู้แจ้งได้ ดังนั้นเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม.....เขาก็บ่มเพาะได้สำเร็จ.
“ฟู่!”
ในเวลานั้น เพลิงสีแดงชาดที่ลุกโชนขึ้นที่ฝ่ามือของเขา.
บางทีราชันย์เจิ้นเหว่ยในนรกภูมิได้เห็นคงต้องอัดอั้นใจจนหมดสติไปแล้วก็ได้ ต้องไม่ลืมว่าวิชาชั้นยอดนี้ เขาใช้เวลาหลายสิบปี ยังเข้าใจได้เพียงแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้อีกฝ่ายกับสามารถสำเร็จได้เพียงแค่ครึ่งชั่วยามอย่างคาดไม่ถึง.
“ยิ่งรวมเพลิงได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ธาตุเพลิงแข็งแกร่งขึ้น.”
จุนซ่างเซียวยังไม่มีเวลาให้ทดสอบ เขาที่เริ่มตรวจสอบแหวนมิติด้านในต่อ.
ราชันย์เจิ้นเหว่ยที่เก็บของไว้มากมาย มีสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะทักษะยุทธ์มากมายหลายแบบ ต้องไม่ลืมว่าสามารถนำไปแลกเปลี่ยนทักษะยุทธ์ในหอตำราระบบได้.
กล่าวให้ถูกต้อง ทักษะยุทธ์ที่มีอยู่ในทวีปชิงหยุนนั้น แทบไม่อยู่ในสายตาของโกวเซิ่ง หากไม่เพราว่าเพลิงโลหิตนั้นสามารถทำร้ายร่างกายของเขาได้ เขาคงไม่เสียเวลาใช้ยันต์รู้แจ้งเพื่อฝึกฝนอย่างแน่นอน.
“เจ้านิกาย.”
หลี่ชิงหยางที่ก้าวเข้ามา เอ่ยออกมาว่า“จะขังปรมาจารย์ฟ่านจริง ๆ รึ?”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “แจ้งไปยังตู้ตู้ ให้นางทำอาหารสุดหรูไปให้ปรมาจารย์ฟ่าน.”
ข้าไม่เชื่อว่าคนที่ถูกขังจะจิตใจแข็งขืนเหมือนกับชายหมวกเขียว?
“รับทราบ!”
หลี่ชิงหยางที่ก้าวเดินไปที่โรงอาหาร.
หลังจากที่หลิวหว่านซีรู้สถานการณ์ ก็เร่งรีบเตรียมอาหาร ทำอาหารจนชั้นยอดชุดใหญ่ทันที.
ด้วยอาหารเหล่านี้....มีจะสามารถทานทนได้!
......
“กึก ซี่!”
ประตูคุกที่เปิดออก ดำหนึ่งและดำสองที่นำอาหารมาเสิร์ฟ ภายในห้องที่ปกคลุมด้วยกลิ่นอาหารที่หอมกรุ่นทันที ทำให้เจาโตวโตวน้ำลายสอด้วยความอยากทันที.
ดูเหมือนว่าไต่ลู่ที่ยืนอยู่กำแพงกำลังจ้องมองมา พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย.
หลายวันมานี้ เขากินอาหารของนิกายนิรันดร์ มันอร่อยไม่ธรรมดา ทว่าจิตใจของเขายังคงหนักแน่น.
นายน้อยยหยวนและปรมาจารย์ฟ่านเพิ่งถูกตัวมาจึงยังไม่กิน ความอยากอาหารจึงไม่ได้มากมายเท่าคนอื่นทันที.
“ทั้งสอง.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เชิญกินอาหาร.”
“ฟิ้ว!”
“ฟิ้ว!”
นายน้อยหยวนและปรมาจารย์ที่ไม่เกรงใจ ก้าวออกไป ยกตะเกียบขึ้นกินในทันที.
อาหารที่อร่อยอย่างรุนแรงกระแทกเข้ามา ราวกับดวงวิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างขึ้นสู่สวรรค์ไปแล้ว.
“......”
เจาโตวโตวที่กลืนน้ำลายเสียงดัง พลางภาวนาในใจ ว่าทั้งสองอย่าได้กินหมดเกลี้ยงเลย อย่างน้อยเหลือข้าวติดจานก็ยังดี.
เป็นเรื่องที่เศร้าใจที่สุด.
ทั้งสองที่ราวกับห่าลง โซ้ยจนเกลี้ยงจาน สะอาดเอี่ยมไม่เหลือแม้แต่มันติดจาน สะอาดยิ่งกว่าเขาใช้ลิ้นเลียหลายเท่า.
เจาโตวโตวที่ได้แต่น้ำตาตกใจเอ่ยออกมาว่า “พวกเจ้ามันเกินไปแล้ว!”
“ทั้งสอง.”
จุนซ่างเซียวที่กอดอก เผยยิ้มออกมา“อร่อยหรือไม่?”
ปรมาจารย์ฟ่านเอ่ยชม “อร่อยระดับโลก!”
นายน้อยหยวนที่ยังคงเงียบ ภายในใจที่ตื่นตะลึงอย่างแท้จริง นี่อาหารของนิกายนิรันดรอร่อยอัศจรรย์จริง ๆ!
ไม่เพียงแค่เขา ศิษย์ของเขาเองก็เปี่ยมพรสวรรค์ขนาดนี้เลยรึ?
“ขอเพียงทั้งสองเข้าร่วมนิกายนิรันดร์ ก็เพลิดเพลินกับอาหารอร่อยนี้ได้ทุกวันแล้ว!”จุนซ่างเซียวที่อยู่ห่างออกไปแค่นเสียง.
“ถุยยยย.”
ไต่ลู่ที่แค่นเสียงเหยียดหยันออกมา.
เพียงแค่อาหาร คิดจะกำราบคนอื่น ๆ อย่างงั้นรึ?!
“เจ้านิกายจุน!”
ปรมาจารย์ฟ่านที่กล่าวปฏิเสธอีกครั้ง“ฟ่านโหมวนั้นเป็นกระเรียนป่าท่องเมฆา(หมาป่าเดียวดาย) ยากจะปรับตัวเข้ากับชีวิตในนิกายได้.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ไม่เป็นไร เมื่อใช้ชีวิตไป ก็จะคุ้นชินเอง.”
ปรมาจารย์ฟ่านที่ส่ายหน้า“เจ้านิกายจุน ฟ่านโหมวจะไม่เข้าร่วมนิกายนิรันดร.”
นี่สิบุรุษที่แท้จริง!
ต้องมีหัวใจดั่งเหล็กกล้า!
ไต่ลู่ที่พิงกำแพงอยู่เอ่ยออกมาว่า“จุนซ่างเซียว ในโลกใบนี้ ยังมีคนที่จิตใจหนักแน่น ไม่มีทางที่จะยอมจำนนเพียงแค่อาหารอร่อยหรอก.”
“ตกลง.”
จุนซ่างเซียวที่โบกมือให้กับดำหนึ่งดำสอง.
จานเปล่าที่เกลี้ยงสะอาดกริบ ถูกเก็บไปอย่างรวดเร็ว.
“แก๊ก!”
“แก๊ก!”
“แก๊ก!”
อาวุธหลากหลาย ถูกนำมาวางบนโต๊ะแทน.
จุนซ่างเซียวที่ผายมือออกไป กล่าวว่า“ปรมาจารย์ฟ่าน อาวุธเหล่านี้ จุนโหมวตีขึ้นมาเอง ท่านถือว่าเป็นยอดฝีมือเส้นทางนี้ ช่วยประเมินมันให้หน่อย.”
“โอ้ว?”
ปรมาจารย์ฟ่านที่ดวงตาเป็นประกาย เร่งรีบหยิบกระบี่หานเฟิงขึ้นมาประเมิน ทันใดนั้นเขาที่สัมผัสได้ถึงความเย็นแผ่ออกมาเล็กน้อย ถึงกับอุทานออกมา“หรือว่าสร้างขึ้นมาจากเหล็กเย็น?”
“สมกับเป็นยอดฝีมือ.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เป็นอย่างไรบ้าง.”
ปรมาจารย์ฟ่านที่ประเมินกระบี่หานเฟิงระดับกลาง ดาบทะลวงเมฆา กระบี่เจิ้นหยาง ดาบเขี้ยวมังกรและอาวุธอีกหลายอย่างติดต่อกัน ก่อนที่จะเผยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ “นี่เป็นเจ้านิกายจุนตีขึ้นมาหมดเลยรึ?”
“ในยุคโบราณนั้น นิกายนิรันดรมีสองคู่ผัวเมีย นาม กั้นเจี้ยง มั่วเย่.”
“ทั้งสองมีทักษะตีเหล็กที่ไร้ที่เปรียบ ได้ทิ้งตำราตีเหล็กเอาไว้ จุนโหมวไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านนี้นัก ศึกษาได้เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น คงทำให้ปรมาจารย์ฟ่านหัวเราะแล้ว.”
“กั้นเจี้ยง มั่วเย่?”
ฟ่านเย่จื่อที่ครุ่นคิดเล็กน้อย หากแต่ไม่เคยได้ยินนามของทั้งสองในทวีปชิงหยุนมาก่อนเลย!
“แน่นอน.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “หากปรมาจารย์ฟ่านยินดีรับตำแหน่งถางจู่หอตีเหล็กนิกายนิรันดร ตำราตีเหล็กจากหมื่นปีที่แล้ว ย่อมต้องได้เชยชมตามปรารถนา.”
ฟ่านเย่จื่อที่ใบหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที.
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายให้เขาได้ดูอาวุธเหล่านี้ แท้จริงต้องการให้เขารับตำแหน่งนี่เอง!
“ตกลง!”
เขาไม่คิดอะไรอีก ปรมาจารย์ฟ่านตัดสินใจทันที“ข้าจะเข้าร่วมนิกายนิรันดร!”
“พรึด โครม!”
ไต่ลู่ที่พิงกำแพงอยู่ ถึงกับหัวทิ่ม พร้อมกับตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ยอมแพ้แล้วอย่างงั้นรึ? ยอมจำนนแล้วรึ? นี่แรงใจของเขาถูกหมามันกินไปแล้วรึไง!”
ตำนานกระบี่คู่ “กั้นเจี้ยง มั่วเย๋”
“กั้นเจี้ยง” (干将) และ “มั่วเย๋” (莫邪) เป็นชื่อกระบี่คู่โบราณที่มีชื่อเสียงมากคู่หนึ่งของประเทศจีน ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน แต่ประวัติความเป็นมายังไม่ปรากฏแน่ชัด ผู้คนในปัจจุบันมักนำชื่อของกระบี่สองเล่มนี้มาเปรียบเทียบกับกระบี่ที่งดงามและแหลมคม โดยตำนานเกี่ยวกับกระบี่สองเล่มนี้มีบันทึกอยู่ในหนังสือชื่อ “โซวเสินจี้” (搜神记)ซึ่งแปลว่า “บันทึกการค้นหาเทพเจ้า” ในตอน “สุสานสามกษัตริย์” (三王墓)ประพันธ์โดยนักประวัติศาสตร์และกวีในสมัยราชวงศ์จิ้น ผู้มีนามว่า “กันเป่า” (干宝)ตำนานได้กล่าวไว้ว่า
สองสามีภรรยานามว่า “กั้นเจี้ยง” (干将) และ “มั่วเย๋” (莫邪) อาศัยอยู่ในแคว้นฉู่ พวกเขาทั้งสองได้รับมอบหมายให้หลอมกระบี่ถวายองค์กษัตริย์ ทว่าพวกเขาใช้เวลายาวนานถึงสามปี กว่าจะสามารถหลอมกระบี่แล้วเสร็จ จนได้ออกมาเป็นกระบี่คู่ ฝ่ายภรรยาท้องแก่ใกล้คลอด ผู้เป็นสามีก็ได้กล่าวว่า “ข้าใช้เวลาตั้งสามปี กว่าจะหลอมกระบี่ถวายองค์กษัตริย์เสร็จ พระองค์จะต้องทรงกริ้ว และสั่งประหารข้าเป็นแน่ หากเจ้าคลอดลูกออกมาเป็นชาย เมื่อเติบใหญ่ จงบอกมัน ให้ออกไปนอกบ้านแล้วมองไปที่ภูเขาทางทิศใต้ จะเห็นต้นสนต้นหนึ่งขึ้นอยู่บนโขดหิน หลังต้นสนนั้นมีกระบี่อยู่หนึ่งเล่ม” จากนั้นกั้นเจี้ยงก็ได้นำกระบี่ไปถวายแด่องค์กษัตริย์เล่มหนึ่ง เมื่อเห็นว่ากระบี่มีเพียงเล่มเดียว องค์กษัตริย์จึงทรงพิโรธเป็นอย่างมาก และมีพระบัญชาให้ประหารชีวิตกั้นเจี้ยงในที่สุด
มั่วเย๋ได้คลอดลูกออกมาเป็นบุรุษ มีนามว่า “ชื่อ”(赤) เมื่อชื่อเติบโตขึ้น ผู้เป็นมารดาก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกชายฟัง ชื่อจึงมองไปทางทิศใต้ เห็นเพียงแค่หินลับกระบี่ก้อนหนึ่งใต้ต้นสนหน้าบ้าน เขาได้ผ่าหินก้อนนั้นออก แล้วจึงพบกระบี่เล่มหนึ่งอยู่ภายใน หลังจากได้กระบี่มา ชื่อก็เริ่มวางแผนลอบปลงพระชนม์องค์กษัตริย์
ด้านองค์กษัตริย์แห่งแคว้นฉู่ก็ทรงพระสุบินเห็นเด็กผู้หนึ่ง มีหว่างคิ้วกว้างราวหนึ่งฟุตได้ ตระโกนว่าจะฆ่าพระองค์เสียเพื่อล้างแค้น องค์กษัตริย์จึงมีพระราชโองการประกาศจับเด็กผู้นั้น โดยตั้งรางวัลนำจับไว้ถึงพันตำลึง เมื่อชื่อทราบเรื่องซื่อ จึงหลบนีขึ้นไปบนเขา แล้วได้พบกับจอมยุทธ์ท่านหนึ่ง จอมยุทธ์ท่านนี้เห็นชื่อร้องไห้อยู่เพียงลำพัง จึงกล่าวถามว่า “เจ้ายังเด็กนัก มีเรื่องอันใดทำให้เจ้าร้องไห้เสียใจได้ถึงเพียงนี้หรือ” ชื่อจึงตอบไปว่า “ข้าคือบุตรชายของกั้นเจี้ยงและมั่วเย๋ บิดาของข้าถูกกษัตริย์แคว้นฉู่สังหาร ข้าต้องการล้างแค้นแทนบิดา” จอมยุทธ์จึงกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่ายามนี้กษัตริย์แคว้นฉู่ตั้งค่าหัวเจ้าถึงพันตำลึง เจ้าจงเชื่อใจข้าเถิด ส่งหัวและกระบี่ของเจ้ามาให้ข้า ฆ่าจะล้างแค้นแทนเจ้าเอง” ชื่อตอบตกลง แล้วจึงตัดหัวของตนยื่นให้แก่จอมยุทธ์พร้อมด้วยกระบี่ แต่ร่างของเขายังคงยืนตระหง่านอยู่ จอมยุทธ์จึงพูดขึ้นว่า “ข้าจะไม่มีวันทรยศเจ้า” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ร่างไร้วิญญาณของชื่อจึงล้มตัวลงสู่พื้นดินทันที
จอมยุทธ์ผู้นั้นได้นำศีรษะของชื่อไปเข้าเฝ้ากษัตริย์แคว้นฉู่ ทำใจองค์กษัตริย์ทรงปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ครั้นแล้วจอมยุทธ์ก็กล่าวว่า “เศียรนี้เป็นเศียรของผู้กล้า ควรนำไปใส่หม้อแล้วต้มเสีย” องค์กษัตริย์จึงทรงทำตามคำแนะนำ แต่ว่าแม้ต้มไปนานถึงสามวันสามคืน ก็ไม่อาจทำให้เศียรนั้นเปื่อยได้ ตรงกันข้ามศีรษะของชื่อกลับกระดอนขึ้นมาทำดวงตาเบิกโพรงด้วยความเคียดแค้น จอมยุทธ์จึงทูลว่า “เศียรของเด็กผู้นี้ต้มไม่เปื่อย ขอทูลเชิญพระองค์เสด็จไปทอดพระเนตรใกล้ๆ แล้วเศียรนี้จะเปื่อยลงเอง” เมื่อได้ยินดังนั้นองค์กษัตริย์จึงเสด็จไปทอดพระเนตรที่ริมหม้อ ทันใดนั้น จอมยุทธ์จึงใช้กระบี่ตัดพระเศียรของกษัตริย์ล่วงตกลงไปในหม้อ แล้วได้ตัดหัวของตนเองจนล่วงตามลงไป จากนั้นเศียรทั้งสามก็ถูกต้มจนเปื่อยไม่อาจแยกได้ว่าของใครเป็นของใคร ทำได้เพียงนำเศียรทั้งสามไปฝังรวมกัน แล้วขนานนามว่า “สุสานสามกษัตริย์” (三王墓)
แม้นตัวคนจะดับสิ้น แต่กระบี่มิดับสูญ กระบี่คู่ที่กั้นเจี้ยงและมั่วเย๋หลอมขึ้นได้ถูกเก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน กระบี่เล่มหนึ่งได้ชื่อว่า “กั้นเจี้ยง” ส่วนอีกเล่มหนึ่งได้ชื่อว่า “มั่วเย๋”