บทที่ 9 การประลองแลกเปลี่ยนความรู้
จบประโยคนั้น สายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่หยางเสี่ยวเทียนทันที
ในเมื่อหยางจงอยากท้าประลองฝีมือหยางเสี่ยวเทียนจะรีรอได้อย่างไร เขากระโดดขึ้นไปบนสนามประลองด้วยความยินดีทันที “ทำไมข้าจะไม่กล้า”
เฉินหยวนมองหยางเสี่ยวเทียนอย่างสนใจก่อนหันไปยิ้มกับหยางหมิงแล้วถาม “เด็กคนนี้เป็นใครกัน”
หยางหมิงมีท่าทีเขินอายพร้อมกับอ้ำอึ้ง
ที่นั่งถัดจากหยางหมิงคือหลี่กวง ผู้นำตระกูลหลี่แห่งเมืองซิงเยว่ เขายิ้มให้เฉินหยวนก่อนเอ่ยปากตอบแทน “ปรมาจารย์เฉินหยวน เด็กคนนี้มีนามว่าหยางเสี่ยวเทียน เป็นหลานชายของหยางหมิงอีกคน ที่เข้าร่วมพิธีปลุกวิญญาณยุทธ์พร้อมกับหยางจง” เมื่อถึงจุดนี้ เขาก็หยุดถอนหายใจชั่วคราวก่อนจะกล่าวต่อ “หยางจงปลุกวิญญาณยุทธ์ชิงหลวนระดับสิบ แต่หยางเสี่ยวเทียนผู้นี้กลับปลุกได้เพียงวิญญาณยุทธ์เต่าระดับสอง”
อะไรนะ วิญญาณยุทธ์เต่าระดับสอง!
เสียงของหลี่กวงดังมากจนทุกคนที่ได้ยินสิ่งนี้ต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาทันที
เฉินหยวนมีสีหน้าประหลาดใจก่อนจะส่ายหัว เขาเคยแอบคิดว่าเด็กผู้นี้อาจมีบางอย่างพิเศษก็เป็นได้ตั้งแต่พบครั้งแรก
ขณะที่ทุกคนต่างหัวเราะ ใบหน้าของหยางหมิงกลับเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความฉุนเฉียวปนอับอาย หากเขารู้ว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้คงไม่ปล่อยให้อย่างเสียวเทียนมาเข้าร่วมงานวันนี้ด้วย
ตอนนี้ เขามองไปที่หยางเสี่ยวเทียนที่ยืนอยู่บนสนามประลองด้วยนัยน์ตาโกรธเกลียดเป็นที่สุด
แม้จะสัมผัสได้ถึงสายตาดูถูกเหยียดหยามจากผู้คนรอบข้าง หยางเสี่ยวเทียนก็ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งไม่เปลี่ยน
เมื่อหยางจงเป็นผู้ท้าทายหยางเสี่ยวเทียนให้ขึ้นมาประลองต่อหน้าธารกำนัลนับร้อยด้วยทาทีดูหมิ่นเขา หยางจงจึงกล่าวแสดงความเวทนาด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย “หยางเสี่ยวเทียน ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของเจ้าออกมา ถึงเจ้าจะเกิดก่อนข้าไม่กี่วันเจ้าก็ถือเป็นพี่ชายข้า ข้าจะให้เกียรติเจ้าลงมือก่อน”
หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาปล่อยหมัดพุ่งออกไปหาหยางจงด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวโดยไม่ได้ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกมาด้วยซ้ำ
แม้เขาจะไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งจากพลังวิญญาณไปกับหมัดนี้ แต่ความเร็วและรุนแรงก็มากพอจนหยางจงไม่ทันตั้งตัวถูกชกที่ตาข้างซ้ายเข้าอย่างจัง
หยางจงถึงขั้นเซถอยหลังพร้อมยกมือขึ้นปิดตาแต่ยังฝืนกัดฟันยิ้มด้วยความเจ็บปวด เขาชี้นิ้วหาหยางเสี่ยวเทียนแล้วกล่าวอย่างเจ็บแค้น
“เจ้า!”
แต่ทันทีที่เขากล่าวจบ หยางเสี่ยวเทียนก็พุ่งตัวยกกำปั้นชกเข้าที่ตาขวาของเขาอีกครั้ง
หยางจงที่ถูกชกจนเซถอยหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ็บปวดมากถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาต่อสายตาตะลึงงันของผู้คนนับร้อยที่เฝ้าดูการประลองอย่างจดจ่อ
เหล่าผู้คนที่เฝ้าดูสถานการณ์นี้ถึงกับอ้าปากข้าง ดวงตาเบิกโพลงพร้อมชะงักงันไปกับภาพที่ได้เห็น
ใบหน้าของหยางหมิงมืดดับลงเมื่อเห็นหยางจงถูกทุบตี เขาตะโกนแผดเสียงใส่หยางเสี่ยวเทียนด้วยความไม่พอใจทันที “โหดเหี้ยมนัก กล้าทุบตีน้องชายตนเองได้รุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” ดูเหมือนเจ้าคนขี้แพ้นี่จะอยากถูกขังอยู่ในสุสานบรรพบุรุษอีก
ทันทีที่หยางหมิงกล่าวจบ หยางจงก็ตะโกนวิ่งเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนขณะที่เขาไม่ทันระวังตัว “หยางเสี่ยวเทียน ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!” สิ้นสุดคำนั้นเขาก็ปล่อยหมัดหวังจะชกเข้าที่อกซ้ายของหยางเสี่ยวเทียน ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เขามี ใบหน้าของหยางจงตอนนี้ดูคลั่งได้ที่ไม่ต่างกับสัตว์ป่า
“เสี่ยวเทียน ระวังตัวด้วย!” ท่าทางของหยางเฉาตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นห่วงผู้เป็นลูกชายด้วยความกังวลทันทีที่เห็นการวิ่งเข้าจู่โจมแบบนั้น
แต่เมื่อหยางเสี่ยวเทียนหันมองหยางจงที่กำลังพุ่งดิ่งเข้ามาอย่างคนบ้าคลั่งขาดสติ เขากลับทำเพียงเอียงตัวหลบการเข้าจู่โจมนั้นเล็กน้อย แล้วสวนหมัดกลับเข้าหาคนบ้าอีกครั้ง ต่างเพียงครานี้เขายอมใช้พลังวิญญาณยุทธ์ขั้นนักยุทธ์ระดับหนึ่งในการโจมตี
ปัง!
หยางจงปลิวลอยออกไปพร้อมล้มกลิ้งกับพื้น
“อะไรกัน!”
เมื่อฉากนี้ปรากฏต่อสายตาทุกคน พวกเขาก็ต่างตื่นตกใจในทันที หากไม่ได้เห็นกับตาคงไม่มีใครเชื่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
“ขั้นนักยุทธ์ระดับหนึ่ง!” หลี่กวงผู้นำตระกูลหลี่และเหล่าวิญญาจารย์หลายคนแห่งเมืองซิงเยว่ ต่างจับจ้องไปยังหยางเสี่ยวเทียนด้วยความประหลาดใจ
วิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียน ไม่ใช่วิญญาณยุทธ์เต่าขยะระดับสองหรอกหรือ เหตุใดในเวลาไม่ถึงเดือนเขาถึงสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับหนึ่งได้แล้ว
แม้แต่เฉินหยวนจากสำนักเสินเจี้ยน ยังรู้สึกตกใจเช่นกัน
เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับหนึ่งได้ภายในเวลาไม่ถึงเดือน แม้แต่ศิษย์ของสำนักเสินเจี้ยนส่วนใหญ่ก็ไม่อาจทำได้เช่นนี้
ขณะที่ทุกคนกำลังสนใจอยู่กับความเร็วในการทะลวงระดับของหยางเสี่ยวเทียนอยู่นั้น ก็มีร่างหนึ่งเคลื่อนไวขึ้นบนสนามประลองด้วยความรวดเร็วเช่นกัน คนนั่นคือหยางหมิง ไปถึงเขาก็ชี้นิ้วด่าทอหยางเสี่ยวเทียนด้วยความเดือดดาลทันที
“เจ้าเด็กสารเลว บอกข้ามาเดี๋ยวนี้! เจ้าแอบขโมยโอสถวิญญาณหลงหู่ของตระกูลงั้นหรือ”