บทที่ 74 ร่างเงาในหุบเขากวนเจี้ยน
บทที่ 74 ร่างเงาในหุบเขากวนเจี้ยน
อำเภอหลินเจียง เขาชิงเฟิง
หุบเขากวนเจี้ยน(ชมกระบี่)
ม้าปีศาจที่แข็งแรงหลายสิบตัววิ่งไม่หยุดทั้งกลางวันกลางคืน กีบเท้าของพวกมันกระทบพื้นดินจนฝุ่นควันฟุ้งตลบ
จู่ๆ มีเสียงถอนหายใจยาวดังขึ้น
ขุนพลในชุดคลุมดำลงจากหลังม้า มองไปที่กระโจมที่เรียงรายเป็นระเบียบเบื้องหน้า
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ กองไฟเปียกน้ำค้าง ถ่านหินส่งเสียงดังเปรี๊ยะ ปล่อยควันสีขาวพวยพุ่ง
ศพของเสี่ยวเว่ยในชุดอินทรีทองคำประมาณสิบกว่าศพถูกเก็บรวมกัน ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผลจากกระบี่ เนื้อหนังแตกลึกจนเห็นกระดูก
หงเล่ยจูงม้าปีศาจ เปลือกตาของเขาสั่นระริก
พูดกันว่าเสี่ยวเว่ยค่ายนอกนั้น เปรียบเหมือนผู้กล้าในยุทธภพ พวกเขาเก่งเรื่องรวมกลุ่มสืบสวนสอบสวนและจัดการปัญหาต่างๆ ส่วนเสี่ยวเว่ยค่ายในก็เหมือนกองทัพ ทหารหลายร้อยคนรวมตัวกันเป็นค่ายกลปราบปีศาจ บุกเข้าถ้ำแล้วสังหารปีศาจอย่างรวดเร็ว
เมื่อใดก็ตามที่มีการสูญเสีย หมายความว่าสถานการณ์รุนแรงจนเกือบจะควบคุมไม่ได้
บางทีอาจจะเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าม้า
ชายหนุ่มในชุดคลุมยาว แต่มีลายนกอินทรีทองคำปักบนบ่าเดินออกจากเต็นท์
เขาดูอายุน้อยกว่าหงเล่ยอย่างน้อยหลายสิบปี
แขนขวาของเขาพันด้วยผ้าพันแผล ใบหน้าซีดขาว ลมหายใจอ่อนแรง
เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ "ทำไมถึงมาช้า?"
"ข้ายังอยากถามขุนพลจ้าวสักเรื่อง" น้ำเสียงของหงเล่ยเย็นชา มืออีกข้างจับที่ฝักดาบ "ข้าให้เสี่ยวเว่ยทหารม้าสี่สิบคนแก่เจ้า แค่ให้เจ้าเฝ้าหุบเขากวนเจี้ยนเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ศิษย์ของเขาชิงเฟิงลงจากภูเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วนี่คืออะไร?"
เขาพูดพลางมองไปที่คนตายสิบกว่าศพ
หุบเขากวนเจี้ยนเป็นหน้าผาสูง ภูมิประเทศสูงชัน ป้องกันได้ง่าย โจมตียาก หากศิษย์เขาชิงเฟิงต้องการลงจากภูเขา ทุกการเคลื่อนไหวล้วนหนีไม่พ้นสายตาของแผนกปราบปีศาจ
หากมีความเคลื่อนไหวใดๆ ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะรายงานผู้บังคับบัญชา และขอการสนับสนุน
"ข้าไม่มีนิสัยชอบนั่งอยู่เฉยๆ"
จ้าวคังหลินเลิกคิ้วด้วยสีหน้าเย้ยหยัน เขาหัวเราะเยาะเอ่ยว่า "ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เฒ่ากระบี่พิโรธโผล่มา ข้าคงพาคนบุกเข้าไปแล้ว จากนั้นไปหาท่านขุนพลอาวุโสเฉิน แล้วข้าก็ได้รับความดีความชอบ"
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หงเล่ยพยายามกลั้นอารมณ์ไม่ให้ตบหน้าเขา
เขาเงยหน้ามองไปที่หน้าผาสูง
บนหน้าผา ร่างเงาในชุดสีเทานั่งขัดสมาธิ เส้นผมสีเงินบางๆ มัดด้วยปิ่นไม้ ดวงตาปิดสนิท ใบหน้าเหี่ยวเฉา ฝ่ามือทั้งสองข้างวางบนเข่า ข้างๆ วางกระบี่เหล็กธรรมดาไว้
เฒ่ากระบี่พิโรธ เขาคือผู้อาวุโสของเขาชิงเฟิง หลายปีก่อนเคยเป็นมือกระบี่ขอบเขตวารีหยกขั้นสมบูรณ์ มีชื่อเสียงโด่งดังในชิงโจว
หากไม่ใช่เพราะแก่ชราและอายุเกินสามร้อยปี เขาคงได้ใช้โอกาสอันมีค่าในสระกระบี่ไปแล้ว ไม่งั้นป่านนี้เขาคงอยู่ขอบเขตควบแน่นตันอีกคน
"ข้าได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน คงต้องใช้เวลาสิบกว่าวันกว่าจะฟื้นตัว"
จ้าวคังหลินมีสีหน้าพึงพอใจ
เขาเกิดในตระกูลใหญ่ และใช้ศาสตร์การต่อสู้ลับที่สืบทอดกันมาในตระกูล ด้วยขอบเขตบ่มเพาะวารีหยกขั้นกลาง เขาสามารถแลกบาดแผลกับปรมาจารย์ในยุทธภพที่มีชื่อเสียง แถมยังรอดกลับมาได้อีก ไม่ว่าจะพูดกับใครก็ถือว่าน่าภาคภูมิใจทั้งนั้น
เมื่อเห็นเขามีสีหน้าชื่นชมยินดี
ทั้งเสี่ยวเว่ยสวมชุดอินทรีทองคำที่เต็นท์ และเสี่ยวเว่ยค่ายนอกที่ขี่ม้าปีศาจ ต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“…”
ส่วนเสินอี้จับสายบังเหียนม้าอย่างใจเย็น
จริงๆ แล้วนี่คือสาเหตุที่พวกเขาถูกเกณฑ์มา
“เฮอะ... รับความดีความชอบ?” หงเล่ยยิ้มกว้าง มองคู่สนทนาอย่างลึกซึ้ง “เจ้าควรรอที่จะกลับไปรับโทษเถอะ”
“เจ้า!” จ้าวคังหลินกัดฟัน ถ้าไม่ใช่เพราะโชคร้าย และตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ต้องการคนอย่างเร่งด่วนละก็
แค่ขุนพลค่ายนอกคนหนึ่ง กลับกล้าพูดกับเขาแบบนี้ ช่างไร้มารยาท! หยาบคาย!
หงเล่ยไม่สนใจเขาอีกต่อไป หันไปพูดว่า “เสี่ยวเว่ยค่ายนอก ลงจากหลังม้า!”
เสี่ยวเว่ยสี่สิบกว่าคนลงจากม้าพร้อมกัน
หงเล่ยเดินผ่านพวกเขาทีละคน "ตอนแรกเรารีบร้อน เลยไม่มีเวลาพูด พวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่ใช่ลูกน้องของข้า ข้าแซ่หง ทำงานในแผนกปราบปีศาจตำแหน่งขุนพลมาหกสิบปี ข้าอยู่ขอบเขตบ่มเพาะวารีหยกขั้นกลาง ทำงานให้ท่านขุนพลอาวุโสเฉิน...ใช่แล้ว ท่านคือขุนพลอาวุโสเฉินเฉียนคุนบนยอดเขาชิงเฟิง"
"ข้าเข้าใจดีว่าพวกเจ้ามีความขุ่นเคือง ต้องมาคอยเช็ดก้นให้พวกคนโง่ที่อยู่ในชิงโจว"
"อย่ากังวล ตราบใดที่พวกเจ้าไม่ได้ทำผิดพลาด เมื่อกลับไปแล้ว ทุกคนจะได้รับความดีความชอบในระดับควบแน่นตัน"
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของเสี่ยวเว่ยหลายคนก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ต้องรู้ก่อนว่า จากหนึ่งขีดไปสองขีด หากเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปีศาจวารีหยก พวกเขาต้องเข้าร่วมถึงห้าครั้ง จากสองขีดไปสามขีด ยิ่งต้องมากกว่ายี่สิบครั้ง
แต่การเข้าร่วมเรื่องราวเกี่ยวกับปีศาจขอบเขตควบแน่นตันครั้งหนึ่ง คิดเป็นระดับวารีหยกได้ถึงยี่สิบครั้ง!
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้แม้จะพูดว่าเป็นระดับควบแน่นตัน แต่จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาลงมือ เพียงแค่เฝ้าภูเขาลูกนี้ให้ท่านขุนพลอาวุโสเฉินก็พอแล้ว
"รางวัลเพิ่มเติมคือ ยาล้ำค่าสามขวด ศาสตร์การต่อสู้ขั้นสูงสำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตเริ่มต้นหนึ่งวิชา ศาสตร์การต่อสู้ขั้นต่ำสำหรับผู้ฝึกฝนขอบเขตวารีหยกหนึ่งวิชา"
"เงินเดือนรวมสามปี ลาพักร้อนสองเดือน"
เมื่อหงเล่ยกล่าวจบ
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่แววตาของเสินอี้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
แผนกปราบปีศาจนั้นแข็งกร้าวก็จริง แต่ราชสำนักก็ให้รางวัลอย่างงาม
ตอนอยู่ที่เมืองไป๋อวิ๋น เสินอี้ไม่เคยคิดฝันถึงสิ่งเหล่านี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขาได้มีส่วนร่วมแล้ว
"สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำคือ...เฝ้าหน้าหุบเขานี้ให้ข้า"
หงเล่ยพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ จากนั้นเดินมาอยู่ตรงหน้าคนแรก "บอกชื่อแซ่ และขอบเขตบ่มเพาะมา!"
"หลิวต้าเฉียน ขอบเขตเริ่มต้นขั้นปลาย ข้าน้อยถนัดใช้ดาบ"
"หวังเหมิง ขอบเขตเริ่มต้นขั้นปลาย มีวิชามวยและฝ่ามือ"
"ไต้ปิง ขอบเขตวารีหยกขั้นต้น ข้า...ข้าน้อยใช้กระบี่เจ้าค่ะ"
หงเล่ยหยุดเท้า สายตาจับจ้องไปที่แขนเสื้อของหญิงสาวชั่วครู่ ลวดลายเมฆสามเส้นนั้นช่างสดใส
หญิงสาวขอบเขตวารีหยกขั้นต้นที่อายุน้อยเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
เขาเอื้อมมือไปแตะกระบี่ยาวที่เอวของอีกฝ่ายโดยไม่ใส่ใจ ไต้ปิงมีสีหน้าที่ซับซ้อน ถอยหลังครึ่งก้าว และใช้มือป้องกันกระบี่ที่เอวไว้
หงเล่ยยิ้มมุมปากอย่างครุ่นคิด
จากนั้นก็เดินไปหาคนต่อไป
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หลังตรง เอวคาดดาบสีดำสนิท เสื้อสีหมึกเหมือนถูกตัดเย็บมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
ใบหน้าหล่อเหลา ดั้งจมูกโด่งเป็นสัน ยกเว้นผิวที่ซีดขาว ที่เหลือหาข้อตำหนิได้ยากมาก
สายตาของหงเล่ยมองไปที่ลวดลายเมฆสองเส้นบนแขนเสื้อของอีกฝ่าย เขาถามอย่างแผ่วเบาว่า "ขอบเขตเริ่มต้นขั้นสมบูรณ์?"
เสินอี้ส่ายหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "วารีหยก"
เมื่อเสียงพูดจบ เหล่าเสี่ยวเว่ยต่างก็ตกตะลึง
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นลูกหลานชิงโจวที่ผ่านโลกมามาก แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตวารีหยกได้ในวัยเจ็ดสิบแปดสิบปี ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถประจำตระกูลได้
ขอบเขตวารีหยกขั้นต้นในวัยสามสิบกว่า มีเพียงสำนักชั้นนำเท่านั้นที่มีทรัพยากรเพียงพอ และต้องบวกกับพรสวรรค์ที่โดดเด่นอีกต่างหาก
แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่ด้วยอายุจริงที่สี่สิบปี มันก็ยังน่าตกตะลึงอยู่ดี
แน่นอน สิ่งที่ผู้คนรับไม่ได้มากที่สุดคือ...
บุคคลเช่นนี้ เพิ่งถามไปเพียงไม่กี่คน จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นสองคนแล้ว
"……"
หงเล่ยตกตะลึงเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็จำใบหน้าของอีกฝ่ายได้
เขาอยู่ในบ้านพักหลังเล็กๆ นั้น ซึ่งมีศิษย์ของท่านแม่ทัพใหญ่และคุณหนูตระกูลหลี่ ส่วนชายร่างอ้วนใหญ่ข้างๆ แม้จะดูมีออร่าที่อ่อนแอ แต่คนที่สามารถยืนอยู่เคียงข้างพวกเขาได้ น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา เขาคงมีวิธีการเก็บออร่าปราณอยู่แน่นอน
เช่นเดียวกัน บุคคลตรงหน้าที่มีพลังขนาดนี้ มันย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
อีกฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้อย่างชัดเจน แต่ก็ยังตามเขามาที่ภูเขาชิงเฟิง
เยี่ยมมาก! ผู้กล้าหนุ่มควรเป็นเช่นนี้จริงๆ!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของหงเล่ยก็อ่อนโยนลงมาก "อย่ากังวล แค่เฝ้าหุบเขาเท่านั้น ท่านขุนพลอาวุโสเฉินยังไม่ได้คิดจริงจังที่จะเอาชนะเขาชิงเฟิง ตราบใดที่พวกเขาส่งคนผู้นั้นออกมา พวกเราก็ย่อมกลับค่ายอย่างปลอดภัย"
"เอาล่ะ... ข้อกำหนดเบื้องต้นคือ อย่าไปเรียนแบบลูกคุณหนูที่ถูกตระกูลตามใจ ขนาดอายุสี่สิบกว่าแล้ว ยังมีสมองเหมือนหมู"