บทที่ 73 กลับไปอำเภอหลินเจียงอีกครั้ง
บทที่ 73 กลับไปอำเภอหลินเจียงอีกครั้ง
"วิธีการบ่มเพาะกายเนื้อมีอะไรบ้าง?"
ในสวนลานบ้าน เสินอี้เดินไปเดินมาเพื่อย่อยอาหารตามปกติ
"มีเยอะมา ตัวอย่างเช่น นิกายวัชระ... มีการบ่มเพาะกายเนื้อด้วยพลังปราณ บ่มเพาะร่างกายด้วยอาบน้ำยา หรือใช้โลหิตปีศาจบ่มเพาะ..."
จางถูหูมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย เขาพูดต่อว่า "แต่โดยปกติแล้ว เมื่อถึงขอบเขตวารีหยก วิชาดังกล่าวจะมีน้อยลง ดังนั้นส่วนใหญ่จะเป็นวิชาสำหรับปรมาจารย์ยุทธขอบเขตขั้นต้น"
"ทำไม?" เสินอี้ไม่ค่อยเข้าใจ
เขาคิดว่ามันคงเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ? ฝึกฝนทั้งพลังภายในและร่างกาย ไม่ใช่ว่ามันจะเหนือกว่าคนในระดับเดียวกันใช่ไหม?
"เพราะอายุขัย"
จางถูหูยักไหล่ตอบ "ก่อนที่จะเข้าสู่ขอบเขตวารีหยก อายุขัยจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยปี แต่เมื่อพัฒนาไปถึงขอบเขตวารีหยกแล้ว อายุขัยจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งร้อยปี และเมื่อถึงขั้นสมบูรณ์ อายุขัยจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งร้อยปี วิธีการบ่มเพาะกายเนื้อ อาจทำให้เจ้ามีพลังเทียบเท่าขอบเขตวารีหยก แต่หากไม่มีปราณแก่นแท้แห่งสวรรค์และปฐพีคอยหล่อเลี้ยงอวัยวะภายใน มันจะไม่เพิ่มอายุขัย"
"ถ้าเจ้าฝึกควบคู่ทั้งสองอย่าง เจ้าจะใช้เวลานานกับใช้พลังงานจำนวนมาก ทำให้มันดูไร้ประโยชน์และเสียเวลาอีกต่างหาก ไม่สู้เจ้าเรียนรู้ทักษะท่าร่างและศาสตร์การต่อสู้เพิ่มเติมดีกว่าไหม"
หลังจากฟังคำอธิบานแล้ว เสินอี้ก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
บางทีอาจเป็นเพราะประสบการณ์การฝึกฝนวิชาก่อนหน้านี้
สำหรับเขา อายุขัยปีศาจที่ร่างแปดขุมทรัพย์สุริยันทองคำต้องการนั้น น้อยกว่าวิชาขอบเขตวารีหยกอื่นๆ มาก
ในความเป็นจริง เขาต้องใช้เวลากว่าสี่สิบปี เขาถึงสามารถบ่มเพาะถึงขั้นสมบูรณ์แบบ คนอื่นๆ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์อย่างไร มันก็ต้องใช้เวลาประมาณนี้เช่นกัน ถ้าไม่พึ่งพายาล้ำค่าน่ะนะ...
แต่สำหรับวิชาอื่นๆ นั้นไม่เหมือนกัน
เป็นตัวเขาเองที่ค่อนข้างช้า ส่วนคนอื่นฝึกฝนได้เร็วมากต่างหาก
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันใต้ต้นไม้ ร่างหนึ่งก็รีบเดินเข้ามาในลานบ้าน
หลี่มู่จิงเดินไปนั่งที่โต๊ะหินใต้ต้นไม้ หยิบเอกสารออกมา โดยไม่สนใจชายร่างใหญ่ที่ไม่รู้จักที่อยู่ตรงนั้น นางมองไปที่เสินอี้ตรงๆ "เจ้ามีปัญหาแล้ว"
นางมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่มีท่าทีขี้เล่นตามปกติเลย
“เจ้ารู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นในภูเขาชิงเฟิงเมื่อเร็วๆ นี้”
ในตอนแรก เขาเห็นหญิงสาวหน้าตางดงามและมีเสน่ห์กำลังใกล้เข้ามา จากนั้นจากถูหูก็สะกิดเสินอี้ด้วยศอกพลางขยิบตา ทว่าหลังจากได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลี่มู่จินจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของเสินอี้อย่างตั้งใจ แต่นางไม่พบอารมณ์ที่ผิดปกติใดๆ
นางถอนหายใจเบาๆ "ดูเหมือนเจ้าจะอยู่รู้แล้ว ข้าได้รับข่าวว่าขุนพลอาวุโสแห่งอำเภอหลินเจียงสั่งให้เกณฑ์ทหารค่ายนอกอีกห้าร้อยคน ยกเว้นซินฮั่นและหม่าเถาที่กำลังรักษาตัว พวกเราทุกคนอยู่ในรายชื่อ"
"ตระกูลของข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับภูเขาชิงเฟิงมาโดยตลอด และมีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนาน... บิดาของข้าจะไม่ปล่อยให้เราไป"
"ยิ่งไปกว่านั้น ชิงโจวไม่ได้เกิดเหตุการณ์ล้อมปราบผู้แข็งแกร่งในขอบเขตควบแน่นตันมาหลายปีแล้ว มันอันตรายมาก ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
หลี่มู่จิงค่อยๆ พลิกใบคำสั่งในมือ ดวงตาของนางเป็นประกาย
"ตระกูลของข้าได้ขอคำสั่งลาพัก บอกว่าพักฟื้นอาการบาดเจ็บ"
ในใบคำสั่ง มีชื่อของหลี่มู่จิง หลิวซิวเจี๋ย และหลี่เสี่ยวเอ้ออยู่แล้ว เหลือเพียงช่องว่างสุดท้าย
"เจ้าเป็นคนฉลาด และยังมีบุณคุณต่อพวกข้า ข้าไม่อยากพูดอ้อมค้อม เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเองไม่ได้... เจ้าจะไปกับข้าไหม?"
หลี่มู่จิงใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่เผยให้เห็นถึงพลังของตระกูลหลี่อย่างชัดเจน
แม้ว่าขุนพลอาวุโสจะเกณฑ์ทหารด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็มีวิธีที่จะถอนตัวล่วงหน้า
สำหรับเสี่ยวเว่ยคนอื่นๆ นี่คือเรื่องความเป็นความตาย พวกเขาทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมเท่านั้น แต่ลูกหลานตระกูลหลี่กลับยังมีเวลาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับภูเขาชิงเฟิง
“…”
จางถูหูฟังยิ่งประหลาดใจ
จากนั้นใบหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นความสับสน
เขาจ้องมองใบคำสั่งในมือ ใจของเขามีความสงสัย นี่มันคือใบคำสั่ง ทว่าทำไมฟังดูเหมือนสัญญาขายตัว?
เสินอี้ก้มหน้ามองไปที่โต๊ะ แต่เขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากนัก
เขาพอจะคาดเดาไว้ล่วงหน้ามาบ้างแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้
สีหน้าหลี่มู่จิงดูสงบ แต่ใจของนางเต็มไปด้วยคลื่น นางพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า "ข่าวมาเร็วมาก อีกครึ่งชั่วยาม ขุนพลจะถือตราสัญลักษณ์มา"
นางไม่ต้องการให้เวลาอีกฝ่ายคิดมากนัก ในที่สุดแผนกปราบปีศาจก็เผยเขี้ยวเล็บออกมา
นางต้องการบีบอีกฝ่ายจนไม่มีทางเลือก
ในที่สุด หลี่ซินฮั่นก็จะมีลูกน้องที่เก่งกล้าอีกคน
แม้แต่เสินอี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะตำหนิในเรื่องนี้
นี่คือใบคำสั่งที่ตระกูลหลี่ขอมา พวกนางเป็นแค่รุ่นเยาว์ ทำได้เพียงเชื่อฟังผู้อาวุโสในตระกูลเท่านั้น
แน่นอน หัวหน้าหน่วยคนอื่นๆ ของแผนกปราบปีศาจก็ไม่ใช่คนโง่
ในช่วงเวลาที่วุ่นวายนี้ จู่ๆ พวกนางก็ลาพักฟื้น แต่จะทำยังไงได้ สถานะของพวกนางเกินกว่าคนพวกนั้นจะทำสิ่งใดได้
ในตอนนี้เอง นางเห็นความรู้สึกบางอย่างในแววตาของชายหนุ่ม
เสินอี้ยื่นมือไปหยิบใบคำสั่ง
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลี่มู่จิง แต่หลังจากนั้นมันก็หายไปจากใบหน้าของนาง
นางเห็นเสินอี้วางใบคำสั่ง ดันกลับมาอย่างเฉยเมย และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า "มันไม่เหมาะสม"
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หัวใจของหลี่มู่จิงก็เต้นรัว นางขบฟันกรอด จับข้อมือของอีกฝ่ายแน่น เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของนางแสดงออกถึงความผิดหวังอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน "เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งมากนักเหรอ? เจ้าอาจตายได้นะ!"
ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่จากที่นางจินตนาการไว้ หรือภาพดาบสีดำที่ลอยขึ้นมาในหัวของนางเป็นครั้งคราว
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร การเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อเดิมพันกับความดีความชอบ เป็นการกระทำที่โง่มาก!
นี่ไม่ใช่การสังหารปีศาจเพื่อปกป้องผู้คน แต่นี่คือการสังหารเหล่าลูกศิษย์ของสำนัก!
“…”
เสินอี้ดึงมือกลับ ขณะที่นางกำลังจะพูด
แต่นางกลับได้ยินเสียงประตูบ้านเปิดเบาๆ
ฟางเหิงเดินออกมาช้าๆ น้ำเสียงของเขาเย็นชา "แค่ใบคำสั่ง มีแต่ตระกูลหลี่ของเจ้าออกหน้าได้เพียงตระกูลเดียวงั้นเหรอ?"
หลี่มู่จิงมองเขาอย่างพิจารณา ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อย
นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีคนอาศัยอยู่ในบ้านนี้อีกคน
ถ้าคนอื่นพูดแบบนี้ หลี่มู่จิงคงไม่สนใจ มีเพียงไม่กี่กลุ่มในชิงโจวที่สามารถดึงคนออกจากมือของขุนพลอาวุโสได้
แต่คนตรงหน้านางคือฟางเหิง
ในบรรดาแม่ทัพใหญ่สิบสองแคว้น ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงของเขาครองตำแหน่งอยู่ถึงสองตำแหน่ง
"อย่างนั้นเองเหรอ งั้นข้าก็หาเรื่องใส่ตัวซะแล้ว"
หลี่มู่จิงเก็บใบคำสั่ง จากนั้นมองไปที่เสินอี้อีกครั้ง
นางรู้สึกสับสนเล็กน้อย
นางไม่เข้าใจว่าทำไมสองคนที่เคยต่อต้านกันเมื่อไม่กี่วันก่อน ถึงกลับมาคบหากัน
ไม่ใช่ว่าเสินอี้ต้องการอยู่คนเดียวงั้นเหรอ?
เขาถึงกลับไปพึ่งพาผู้มีอำนาจสูงสุดในแผนกปราบปีศาจ
เมื่อเทียบกันแล้ว ตระกูลหลี่ดูด้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด
หลี่มู่จิงลุกขึ้นยืนช้าๆ เก็บสายตาเย็นชาของนาง "ในเมื่อไม่ต้องการข้าแล้ว งั้นข้าขอลา"
ฟางเหิงเดินไปหาเสินอี้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
การกระทำที่ไร้กังวลของอีกฝ่าย ดูเหมือนจะทำให้ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์ของเขามากขึ้น...
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่ชาย ศิษย์พี่หญิง หรือแม้แต่ตัวเขาเอง ไม่เคยมีใครหลบหนีจากภารกิจมาก่อน
แต่ฟางเหิงยินดีที่จะทำลายกฎเกณฑ์สักครั้ง ไปหาศิษย์พี่ไป๋เพื่อขอความช่วยเหลือ ไม่ว่ายังไง เสินอี้ได้พิสูจน์ความกล้าหาญของเขาแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอีกต่อไป
พูดตามตรง เสินอี้เพิ่งเข้าแผนกปราบปีศาจได้เพียงไม่กี่วัน ยังไม่ได้รับเงินเดือนด้วยซ้ำ เสินอี้ไม่เหมือนเขาที่ถูกฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีเหตุผลที่จะต้องต่อสู้จนตัวตาย
หลายคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ แต่ละคนมีสีหน้าที่แตกต่างกัน
แต่แล้ว... จู่ๆ มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นจากนอกลานบ้าน
ขุนพลสวมเสื้อคลุมนำเสี่ยวเว่ยกว่าสี่สิบคนมา เขายืนอยู่หน้าลานบ้านด้วยท่าทางเย็นชา น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจ "ข้ามีคำสั่งมา เสินอี้... เสี่ยวเว่ยแห่งแผนกปราบปีศาจ ไปกับข้า..."
เสียงของเขาหยุดชะงัก
ขุนพลขมวดคิ้ว มองไปมาที่หลี่มู่จิงและฟางเหิงด้วยสีหน้าตกตะลึง
จู่ๆ เขารู้สึกปากแห้งคอแห้ง
เขาคิดว่าแค่มาเรียกตัวเสี่ยวเว่ยเล็กๆ ไม่คิดว่าจะเจอคนรู้จักมากมาย
หลี่มู่จิงเงียบไม่พูดสิ่งใด ฟางเหิงสูดหายใจลึกๆ อ้าปากอ้ำอึ้ง เขาไม่ค่อยสุงสิงกับใคร นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาขอร้อง
แต่น่าเสียดายที่เขาพูดไม่ทันจบ
เสินอี้หันข้างเล็กน้อย ใช้ฝักดาบที่เอวดันฟางเหิงให้ถอยกลับไป
เขาเดินไปที่ประตูรั้วลานบ้านอย่างใจเย็น ยืนอยู่หน้าขุนพล "ข้าน้อยรับคำสั่ง"
จริงๆแล้ว ความคิดของเสินอี้นั้นเรียบง่ายกว่าที่ฟางเหิงและหลี่มู่จิงคิดไปมาก
เขาคิดอะไรไม่ซับซ้อน แค่คิดว่าถ้าไม่ได้เห็นเจียวเฒ่าตายคาตา เขาทำได้เพียงจินตนาการว่ามีปีศาจขอบเขตควบแน่นตันแอบซ่อนอยู่ เขาก็รู้สึกนอนไม่หลับ กินไม่ได้แน่ๆ
ขุนพลเห็นท่าทางของเขา รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
แต่เขาไม่รู้เลยว่าการกระทำของเสินอี้ ทำให้คนทั้งสามในบ้านตกตะลึง
จางถูหูและฟางเหิงมองหน้ากัน “…”
หลี่มู่จิงจ้องมองเสินอี้ที่อยู่หน้าขุนพล จู่ๆ นางก็หายใจหอบอย่างรุนแรง
บางทีอาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่นางเติบโตมา ทำให้นางรู้สึกว่าทุกคนต้องพึ่งพาอะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นจะรู้สึกไม่สบายใจ
แม้จะผลักดันไปมา แต่ก็เพื่อผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า
แต่ ณ ตอนนี้ ภาพชายหนุ่มในชุดดำวิ่งไล่เข้าไปในป่า ร่างกายเปื้อนเลือด ดึงดาบสีดำออกจากหัวของเมิ่งเสียน(ลูกชายผู้นำหมู่บ้านสุ่ยอวิ๋น) ทั้งหมดนี้ได้ปรากฏขึ้นในห้วงสมองของนาง
แสดงว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลี่หรือแม่ทัพใหญ่ ล้วนไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลย
นางขบฟันกรอด มองดูเสี่ยวเว่ยหลายคนเดินจากไป แววตาของนางมีความรู้สึกสูญเสียอะไรบางอย่างที่แทบจะมองไม่เห็นปรากฏออกมา...