บทที่ 7 ก้าวไปอีกขั้น
หยางหมิงชี้นิ้วหาหยางเสี่ยวเทียนพร้อมตวาดออกมาด้วยความโกรธ “เจ้าทำร้ายน้องชายตนเองได้ทารุณนัก!” ด่าทอจบเขาก็หันไปสำรวจใบหน้าและแขนของหยางจงด้วยความรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก
หยางเสี่ยวเทียนไม่รอช้ารีบชี้แจงเรื่องราว “เขาตบหน้าน้องสาวข้าก่อน แล้วยังเฆี่ยนนางด้วยแส้เช่นกัน!”
กล่าวจบ ทุกคนต่างก็หันไปหาหยางหลิงเอ๋อร์ที่ใบหน้าบวมแดงพร้อมกับรอยแส้ที่น่าตกใจบนแขนทั้งสองข้างของนาง
แขนอันบอบบางของนางเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกหวดด้วยแส้อย่างน้อยเจ็ดแผล
หยางหมิงไม่สนใจพร้อมกับชี้นิ้วไปที่หยางเสี่ยวเทียนด้วยความโมโหจนเริ่มสั่นเทา “เจ้าทำร้ายน้องชายตัวเองแล้วกล้าโต้เถียงอีก พวกเจ้าจับเขาไปขังไว้ในสุสานบรรพบุรุษสองวัน ห้ามใครส่งอาหารให้เขาทั้งนั้น!”
ให้อดอาหารถึงสองวันเลยงั้นหรือ
ท่าทางของหยางเฉาเปลี่ยนทันทีเมื่อคำพูดนั้นจบลง “ท่านพ่อ!”
นั่นเป็นเรื่องยากแม้แต่กับผู้ใหญ่เองหากต้องอยู่โดยไม่กินหรือดื่มเป็นเวลาถึงสองวัน ไม่ต้องพูดถึงเด็กอายุเพียงเจ็ดขวบอย่างหยางเสี่ยวเทียนว่าเขาจะทนทรมานแค่ไหน
“พวกเจ้ามัวลังเลอะไรอยู่ จับเขาไปขังไว้ในสุสานบรรพบุรุษเดี๋ยวนี้!” หยางหมิงตวาดเสียงดังด้วยความเกรี้ยวโกรธใส่เหล่าผู้ดูแลตระกูลหยางทันที
เมื่อหยางหลิงเอ๋อร์เห็นว่าเหล่าผู้ดูแลกำลังจะเอาตัวพี่ใหญ่ของนางไป นางก็ร้องไห้กรูเข้าไปสวมกอดหยางเสี่ยวเทียนพร้อมร้องขอกับหยางหมิงว่า “ได้โปรดเถอะท่านปู่ อย่าขังท่านพี่ไว้ในสุสานบรรพบุรุษเลยที่นั่นมันหนาวมาก!”
สุสานบรรพบุรุษที่ตั้งอยู่หลังเขา แม้ยามกลางวันอากาศยังหนาวเหน็บตอนกลางคืนยิ่งเย็นยะเยือกแทบไม่ต่างจากอากาศในช่วงฤดูเหมันต์เลย
หยางหมิงทำสีหน้าไม่แยแสแม้แต่น้อย ต่อให้นี่เป็นคำวิงวอนจากหยางเฉาเองเขาก็มองว่าไร้ค่า
สุดท้ายหยางเสี่ยวเทียนก็ถูกนำตัวไปคุมขังในสุสานบรรพบุรุษที่ตั้งอยู่หลังเขา
ประตูไม้ขนาดใหญ่ของสุสานบรรพบุรุษปิดลงพร้อมกับความเงียบที่มืดมิด มีเพียงแสงสลัวเล็ดลอดเข้ามาทำให้เห็นได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น หยางเสี่ยวเทียนกวาดสายตามองดูศิลาจารึกของบรรพบุรุษตระกูลหยางด้วยความนิ่งเงียบ ที่นี่กลับทำให้ภายในใจเขาเกิดความสงบเหมาะแก่การบ่มเพาะยิ่งนัก
ไม่อนุญาตให้กินหรือดื่มเป็นเวลาสองวันงั้นหรือ
คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากปลุกวิญญาณยุทธ์เต่าระดับสองจะถูกท่านปู่รังเกียจขนาดนี้
เขาเพิกเฉยต่อเรื่องพวกนั้น แล้วนั่งลงขัดสมาธิเริ่มใช้ปราณปัญญาสัมฤทธิ์ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของตนเพื่อดูดซับพลังวิญญาณของสวรรค์และโลกในที่แห่งนี้ ได้อย่างไม่ต้องนึกถึงสิ่งใดภายนอก
การถูกขังในสุสานบรรพบุรุษแห่งนี้กลับทำให้จิตใจเขาปราศจากความคิดวุ่นวาย ทำให้ความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณของสวรรค์และโลกมีประสิทธิภาพถึงขีดสุด พลังวิญญาณที่หลั่งไหลเข้ามาถูกแปรเปลี่ยนเป็นพลังยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
ค่ำคืนในสุสานบรรพบุรุษที่มีลมหนาวเหน็บพัดเฉื่อยๆ เข้ามาไม่ขาดสาย ทว่าหยางเสี่ยวเทียนกลับไม่รู้สึกหนาวหรือหิวเลยแม้แต่น้อย
ภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบ สัมผัสการรับรู้ของเขาแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างได้ยินแม้กระทั่งเสียงของแมลงที่อยู่ห่างออกไปตั้งสามร้อยฉื่อ
เมื่อเข้าสู่ค่ำคืนของวันที่สอง การถือกำเนิดใหม่จากรังไหมก็เกิดขึ้นอีกครั้งในกายเขา
ทำให้หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ที่สุดเขาก็ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น เข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับสามได้สำเร็จ
สัมผัสได้ถึงการรับรู้ที่เปลี่ยนแปลงไปมาก มันเฉียบคมแม่นยำยิ่งขึ้น
การที่เขาถูกขังอยู่ในสุสานบรรพบุรุษใช่จะแย่เสมอไป
สองวันต่อมา หยางเสี่ยวเทียนก็ได้รับการปล่อยตัว หยางเฉา หวงอิ๋ง และหยางหลิงเอ๋อร์ ต่างมายืนรอรับเขาที่หน้าสุสานบรรพบุรุษ ทันทีที่พวกเขาเห็นหยางเสี่ยวเทียนเดินออกมา เขาก็สังเกตเห็นว่าแม่ตนแอบเช็ดน้ำตา
เห็นเช่นนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็วิ่งเข้าสวมกอดนางผู้เป็นแม่เอาไว้อย่างไม่เคยรู้สึกอบอุ่นขนาดนี้มาก่อน
“ท่านแม่ ข้าสบายดี” หยางเสี่ยวเทียนยิ้มให้นางแล้วกล่าวต่อ “ข้าอยากอยู่ในนี้อีกสักสองสามวันด้วยซ้ำ” นั้นคือสิ่งที่เขากล่าวออกมา ซึ่งเป็นความจริงจากใจเขา
วันต่อมาหยางเสี่ยวเทียนก็เก็บตัวฝึกตนอยู่ภายในลานฝึก อย่างไม่คิดออกไปข้างนอกเหมือนเมื่อก่อน
ส่วนหยางจง หลังจากที่ได้สัมผัสกับความรุนแรงของฝ่ามือนั้น เขาก็หมั่นฝึกฝนอย่างหนักที่ลานฝึกของตนจนตอนนี้เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้น แม้จะไม่มาก
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนรู้ว่าหยางจงก็ฝึกตนอยู่ที่ลานฝึกซ้อมโดยไม่ออกจากบ้านเหมือนกัน ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้นเพราะรู้เหตุผลที่เขาฝึกซ้อมอย่างหนัก
หยางจงเพียงต้องการทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับหนึ่งให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อรอสอนบทเรียนให้กับเขาในการประลองสิ้นปีของตระกูล
จะทุบตีข้าให้ตายงั้นหรือ
เมื่อคิดถึงคำพูดที่หยางจงเคยปรามาสไว้ว่าจะถูกทุบตีเขาจนตายในการประลองสิ้นปีของตระกูล หยางเสี่ยวเทียนก็กำหมัดแน่นพร้อมปล่อยพลังยุทธ์พุ่งออกไป ทำให้ก้อนหินขนาดใหญ่ในลานฝึกถูกระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายไปทั่ว
วันเวลาล่วงเลยไป
สิ้นปีจวนจะใกล้เข้ามา
ตระกูลหยางเริ่มจับจ่ายซื้อของตบแต่งตามเทศกาล
หยางเสี่ยวเทียนฝึกฝนไทเก๊กท่ามกลางหิมะที่ร่วงหล่นลงมาเต็มลานฝึกจนขาวโพลนทุกหย่อมหญ้า เขาปล่อยหมัดพร้อมเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลแต่แข็งแกร่ง ทำให้เกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนที่หมัดเขาสัมผัสผ่านหล่นกองอยู่บนพื้น
หลังทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับสาม ความเร็วในการทะลวงตอนนี้ก็เริ่มช้าลงมาก แต่ด้วยการหมั่นฝึกฝนอย่างหนักมาหลายวัน เขาก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับสี่ได้สำเร็จ จนใกล้เข้าสู่นักยุทธ์ระดับสี่ขั้นปลายแล้ว
ระดับความหนักหน่วงของไทเก็กก็ได้รับการพัฒนาให้รุนแรงยิ่งขึ้น จนความแข็งแกร่งของหมัดสามารถครอบคลุมได้ไกลถึงระยะสิบฉื่อ
ฝึกฝนไปสักพัก เขาก็ต้องได้หยุดเพราะเริ่มรู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยไอความร้อนที่พวยพุ่งออกมา