บทที่ 5 น้องสาวของข้าถูกรังแก
หยางเสี่ยวเทียนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด
เขาไม่คิดว่าท่านปู่จะลำเอียงโดยไม่มีเหตุผลได้ขนาดนี้
เขาไม่เพียงมอบโอสถสร้างฐานวิญญาณให้กับหยางจงเพื่อบ่มเพาะเท่านั้น แต่เขายังมอบกิจการผ้าไหมและผ้าซาตินที่พ่อเขาเคยดูแลทั้งหมดให้แก่ลุงเขาอีกด้วย
ทั้งหมดนั่น เป็นเพราะวิญญาณยุทธ์ของข้าคือเต่าอย่างนั้นหรือ
เพียงเพราะข้าทำให้เขาอับอายต่อหน้าผู้คนในเมืองซิงเยว่แค่นั้นหรือ ท่านพ่อถึงต้องประสบกับความไม่เป็นธรรมนี้ไปด้วย
หยางเสี่ยวเทียนกลับมาที่ห้องของตนแล้วตั้งหน้าบ่มเพาะต่อ
ในเมื่อท่านปู่ได้มอบโอสถสร้างฐานวิญญาณในส่วนของเขาให้หยางจงเพียงคนเดียว เช่นนั้นเขาจะทำให้ผู้คนในหมู่บ้านหยางได้รู้ ว่าต่อให้เขาไม่มีโอสถสร้างฐานวิญญาณ เขาก็สามารถแข็งแกร่งกว่าหยางจงได้เช่นกัน
ขณะที่หยางเสี่ยวเทียนจดจ่ออยู่กับการบ่มเพาะ อีกด้านหนึ่งของลานตระกูลหยาง หยางหมิงมองไปยังหยางจงหลานชายตนด้วยความพึงใจเป็นอย่างมาก เด็กคนนี้ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง หลังหยางจงกลืนโอสถสร้างฐานวิญญาณสองส่วนเข้าไปเมื่อคืน ผลของการบ่มเพาะก็ดีเกินกว่าที่เขาคาดหวังไว้มาก
ชิงหลวนที่มีสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ คู่ควรแก่วิญญาณยุทธ์ระดับสิบยิ่งนัก
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงที่หยางหมิงถามผู้เป็นหลานช่างเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
หยางจงกล่าวตอบอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องกังวลไปท่านปู่ หนึ่งเดือนนับจากนี้ก่อนการหารือประจำปีของตระกูล ข้าต้องทะลวงเข้าสู่ขั้นแรกและเป็นวิญญาจารย์อันดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน”
ระดับแรกภายในหนึ่งเดือน!
พออหยางหมิงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาเขาก็สว่างใสพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “เอาล่ะๆ หากเจ้าสามารถทะลวงระดับแรกได้ก่อนการหารือประจำปีของตระกูล ปู่จะตอบแทนเจ้าอย่างงาม”
หากหยางจงสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับนักยุทธ์ขั้นแรกได้ภายในหนึ่งเดือน ผู้คนแห่งเมืองซิงเยว่คงต้องตกตะลึงกับประวัติศาสตร์ใหม่ที่ถูกทำลาย ไม่ว่าจะเดินไปแห่งหนใดก็จะมีผู้คนนับหน้าถือตาเป็นแน่
หลายวันต่อมา
หยางหมิงเฝ้าติดตามไปลานฝึกกับหยางจงทุกวันเพื่อคอยชี้แนะอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าหลานชายของตนก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนน่าพอใจ เขาก็ยิ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่สุดแสนจะพรรณนา
ดูแล้วหยางจงจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นแรกได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนจริงๆ
อีกฝั่ง หยางเสี่ยวเทียนก็คอยเก็บตัวฝึกฝนอย่างหนักเช่นกัน
คืนนั้น ระหว่างที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังดูดซับพลังวิญญาณของสวรรค์และโลกคนเดียวเงียบๆ อยู่ๆ ก็มีเสียงอันแผ่วเบาปรากฏขึ้นในกายเขาราวหนอนไหมฤดูใบไม้ผลิได้ถือกำเนิดออกจากรังไหม
ทำให้เขารู้สึกมีความสุขเอามากๆ
หลังการบ่มเพาะอย่างหนักสี่วัน ในที่สุดเขาก็ทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับสอง
โลกแห่งวิญญาจารย์ แม้แต่อัจฉริยะผู้มีวิญญาณยุทธ์สมบูรณ์ระดับสิบ ยังใช้เวลาสามถึงสี่เดือนในการทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับสองได้ แต่เขากลับใช้เวลาเพียงสี่วันเท่านั้น
หยางเสี่ยวเทียนแทบไม่สามารถระงับความตื่นเต้นนี้ได้
แม้เขาไม่เคยได้ยินว่ามีใครในโลกแห่งวิญญาจารย์สามารถทะลวงระดับที่สองได้ภายในสี่วันอย่างเขาหรือไม่ แต่ในอาณาจักรเสินไห่แห่งนี้ไม่มีบุคคลเช่นนั้นแน่นอน
พอรุ่งสาง เขาก็รู้สึกถึงความสดชื่นเต็มไปด้วยพลังทันทีหลังหยุดพักการบ่มเพาะ
จากนั้นเริ่มฝึกไทเก็กที่ลานกลางเรือนต่อ ความแตกต่างในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ประหนึ่งเขาได้แวกว่ายไปในสายน้ำที่นุ่มนวลราวกับล่องลอยบนเมฆหมอก ทุกการก้าวย่างล้วนมีกระแสลมอันแผ่วเบาหมุนวนรอบกายพริ้วไหวอย่างอ่อนโยน
หลังทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับสอง หยางเสี่ยวเทียนถึงรับรู้ได้ว่าพลังยุทธ์ก็เพิ่มพูนมากขึ้นเช่นกัน
ขณะที่เขาจดจ่ออยู่กับท่ารำไทเก็กด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขาก็สังเกตเห็นหยางหลิงเอ๋อร์วิ่งกลับเข้ามาจากข้างนอกพร้อมกับร้องไห้น้ำตานองหน้า
ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม เขาก็หยุดการกระทำทุกอย่างด้วยความตกใจหลังเห็นรอยฝ่ามือสีแดงบนใบหน้ากลมชมพูของน้องสาวและใบหน้าด้านซ้ายของนางก็บวมแดงเช่นกัน
ยิ่งได้มองดูแก้มซ้ายที่บวมแดงของนางชัดๆ หยางเสี่ยวเทียนก็ระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียวออกมาทันที “ใครทำร้ายเจ้า”
หยางหลิงเอ๋อร์ร้องไห้ออกมาพร้อมส่ายหัวปฏิเสธ
เขาสังเกตดูจากรอยฝ่ามือที่น่าจะเป็นฝีมือของเด็กวัยเดียวกัน เขาจึงเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดอีกครั้ง “หยางจงทำร้ายเจ้าใช่หรือไม่”
หยางหลิงเอ๋อร์ยังคงส่ายหัวและร้องไห้ไม่เปิดปากพูดอันใด แต่เมื่อหยางเสี่ยวเทียนเอ่ยถามถึงหยางจง นางกลับมีท่าทีแปลกๆ เขากล่าวต่อด้วยความเดือดดาล “ไป! พี่จะทวงความยุติธรรมให้เจ้า” พูดจบเขาก็ดึงแขนของน้องสาวเตรียมมุ่งหน้าไปหาหยางจงทันที
แต่ทันทีที่เขาสัมผัสโดนแขนของนาง หยางหลิงเอ๋อร์กลับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด พอเขาดึงแขนเสื้อของนางขึ้นถึงได้เห็นรอยแส้บนแขนอีกทั้งสองข้าง
แม้รอยนั้นจะไม่มีเลือดซึมออกมาสักหยด แต่เพียงได้มองดูก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดแล้ว
สิ่งนั้นยิ่งทำให้หยางเสี่ยวเทียนเจ็บแค้นยิ่งขึ้น “นี่หยางจงเฆี่ยนเจ้าด้วยงั้นหรือ”
นางพยักหน้ายอมรับในที่สุด ก่อนร้องไห้น้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้างอีกครั้ง “เพราะหยางจงเรียกท่านว่าเต่า ข้าทนไว้ไม่ไหวจึงทะเลาะกับเขา”
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด