บทที่ 43 หล่อหลอมรากฟ้าดิน
คำบรรยายเกี่ยวกับวิถีเซียนใน《คัมภีร์ปราณห้าธาตุ》ยิ่งอ่านไปเท่าไร หลี่ฟานก็ยิ่งรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนถึงขั้นแก่นทองคำ ยังถือว่าปกติอยู่ ดูดพลังแห่งฟ้าดิน ยืมของวิเศษแห่งฟ้าดิน แอบมองกฎแห่งฟ้าดิน
แต่หลังขั้นหล่อหลอมร่างทารก ก็เริ่มมีโทนที่บ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ
ช่วงชิงแก่นสารแห่งฟ้าดิน ดูดไขกระดูกแห่งฟ้าดิน ฆ่าวิญญาณแห่งฟ้าดิน...
จนถึงขั้นสุดท้าย ต่อต้านเหตุผลแห่งฟ้าดิน
เพียงแค่อ่านวลีเหล่านั้น ก็ทำให้รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงแล้ว
สวรรค์สูงส่งเหนือสิ่งใด บ่มเพาะหล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง
ผู้ฝึกเซียนฝึกฝนเช่นนี้ ก็เหมือนหันหลังให้ฟ้า ทำผิดวิถีธรรมชาติโดยสิ้นเชิง
นี่แสดงถึงอะไร ผู้ฝึกเซียนพวกนั้นไม่รู้หรือไร?
แต่วิธีฝึกฝนเช่นนี้ ความก้าวหน้านั้นรวดเร็วเกินไป
หนังสือบันทึกไว้ว่า หลังจากเซียนผู้ยิ่งใหญ่เผยแพร่วิชานี้ กลุ่มมนุษย์ที่เคยไม่อาจฝึกฝนเลยกลับผงาดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี
ผู้ฝึกระดับแก่นทองคำ หล่อหลอมร่างทารก แปรสภาพวิญญาณ ผุดขึ้นราวดอกเห็ดหลังฝน
ช่วงเวลานั้น ยุทธภพเซียนรุ่งเรืองถึงขั้นที่แก่นทองคำเดินไปทั่วทุกหนทาง หล่อหลอมร่างทารกแพร่หลายยิ่งกว่าหมาจรจัด
ส่วนผู้ฝึกเซียนที่ยังยึดมั่นในวิชาดั้งเดิม เห็นความสำเร็จของตนถูกมนุษย์ธรรมดาไล่ตามทันอย่างง่ายดาย จะมีสักกี่คนที่ยังยึดมั่นในตัวเอง ไม่ไปลองวิชาของเซียนผู้ยิ่งใหญ่?
ดังนั้น วิชาโบราณจึงเสื่อมถอยลง วิชาใหม่ค่อยๆ ก้าวขึ้นมาแทนที่
หลังวิชาใหม่แพร่หลายนับพันปี ความรุ่งเรืองของยุทธภพเซียนถึงจุดสูงสุด
น่าเสียดายที่ ความถูกต้องชอบธรรมในสวรรค์นั้นชัดเจน ความรุ่งโรจน์ที่สุดย่อมต้องเสื่อมสลายไป
ผู้ฝึกเซียนนับไม่ถ้วนกอบโกยทรัพยากรฟ้าดินอย่างละโมบเยี่ยงสุนัขป่า ไม่มีขอบเขตจำกัด
แม้แต่ฟ้าผ่าที่โจมตีมาถี่ยิบขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่อาจควบคุมจำนวนผู้ฝึกเซียนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้
ในที่สุด วันหนึ่ง การโต้ตอบของสวรรค์ก็มาถึง
ฟ้าดินเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หายนะใหญ่ถาโถมลงมา
นับแต่นั้น วิชาเซียนจะฝึกพร้อมกันไม่ได้!
ยุทธภพเซียนอันรุ่งเรืองเจริญก้าวหน้า ราวกับโดนตีหัวเข่าเข้าอย่างจัง
ผู้ฝึกเซียนทั้งหลายเพื่อโอกาสเล็กน้อยที่จะมีชีวิตรอด ต่างฆ่าฟันกันไม่รู้จบสิ้น
เป็นเวลายาวนาน ยุทธภพเซียนมีกลิ่นอายความตกต่ำเสื่อมทรามอยู่ไม่น้อย
ต้องใช้เวลานับพันๆ ปีจึงค่อยๆ คลี่คลายได้
ผู้ฝึกเซียนในปัจจุบัน ต่างคุ้นชินกับเจตนาร้ายของฟ้าดินแล้ว
พวกเขาสรุปประสบการณ์และบทเรียน สร้างระเบียบการฝึกเซียนรูปแบบใหม่ขึ้นจากซากปรักหักพังหลังภัยพิบัติครั้งใหญ่
...
เมื่อแนะนำต้นกำเนิดของยุทธภพเซียนในปัจจุบันจบแล้ว เนื้อหาถัดมาในหนังสือก็คือวิชา "รับรู้ปราณห้าธาตุ" แล้ว
หากมนุษย์ที่เพิ่งขจัดสภาวะพิษไม่อาจดึงพลังเข้าสู่ร่างได้โดยง่าย ก็สามารถเก็บเกี่ยวพลังห้าอารมณ์ในตนเอง บังคับดูดพลังฟ้าดิน แล้วค่อยๆ หลอมรวม เพื่อก้าวไปสู่ขั้นฝึกปราณ
ที่เรียกว่าพลังห้าอารมณ์ ก็คืออารมณ์ทั้งห้าที่ติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิด
ความละโมบ ความกลัว ความโกรธแค้น ความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว
ห้าอารมณ์นี้ซุกซ่อนอยู่ในใจคน แถมยังใช้ไม่มีวันหมด เกิดขึ้นมาไม่รู้จบ
การรับรู้ปราณห้าธาตุ ก็คือการใช้ห้าอารมณ์นี้เป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อน เพื่อเพาะสร้าง "รากฟ้าดิน" ในตันเถียน
รากฟ้าดินเป็นสื่อเชื่อมระหว่างตันเถียนของผู้ฝึกเซียนกับฟ้าดิน
เมื่อก่อร่างขึ้นแล้ว ผู้ฝึกเซียนก็สามารถผ่านมันบังคับดูดพลังฟ้าดินได้ นำมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว
เมื่อเทียบกับวิชาโบราณที่ต้องอาศัยพรสวรรค์ การรับรู้ปราณห้าธาตุเน้นที่ความเสถียรภาพ
ผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ เพียงวันเดียวก็สร้างรากฟ้าดินสำเร็จ ก้าวเข้าสู่เส้นทางเซียนได้
แต่แม้ผู้ไร้พรสวรรค์ สามารถอาศัยความพยายามสม่ำเสมอทุกวัน เพียงสิบปีก็สร้างรากฟ้าดินของตนเองได้
หลังจากเข้าใจวิธีดึงพลังเข้าสู่ร่างแล้ว หลี่ฟานก็อยู่แต่ในบ้านทุกวัน ฝึกฝน《คัมภีร์ปราณห้าธาตุ》นี้
ทั้งๆ ที่เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าหนทางฝึกเซียนของตนอาจจะไม่ราบรื่นเท่าไร
แต่วันแล้ววันเล่า เวลาผ่านไปถึงสามปีแล้ว หลี่ฟานก็ยังไม่สามารถดึงพลังเข้าสู่ร่างได้สำเร็จ
หลี่ฟานเข้าใจพรสวรรค์ในการฝึกเซียนของตนดี อยู่ในระดับปานกลาง ไม่ถือว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ก็ไม่ได้แย่เลย
มาถึงสถานการณ์ตอนนี้ จะต้องมีเหตุผลพิเศษอย่างอื่นแน่
"คาถาหล่อหลอมจิตเสวียนหวง... นับว่าเป็นโชคร้ายหรือโชคดีก็ไม่รู้สินะ"
หลี่ฟานนึกอย่างอับจนปัญญาอยู่ในใจ
การรับรู้ปราณห้าธาตุ ต้องอาศัยห้าอารมณ์เป็นเชื้อเพลิง ผลักดันการก่อรูปของรากฟ้าดิน
แต่หลี่ฟานฝึกฝนคาถาหล่อหลอมจิตเสวียนหวง ทำให้สะสมห้าอารมณ์นี้ได้น้อยมาก
ต่อให้เขาไม่ตั้งใจใช้คาถานี้ ก็เหมือนเป็นสัญชาตญาณ ผุดขึ้นมาบดขยี้ความคิดด้านลบพวกนี้ในสมองไปเอง
ก็เท่ากับต้องแบกน้ำหนักไปข้างหน้า นี่ทำให้ความคืบหน้าของหลี่ฟานช้ามาก
หลี่ฟานเคยลองไม่ใช้รากฟ้าดิน แต่ดึงพลังเข้าสู่ร่างด้วยตัวเอง
แต่เขาเห็นได้ชัดว่าไม่มีพรสวรรค์แบบเสี่ยวเฮิง
พลังภายนอกไม่สนใจเขาเลยสักนิด
หากไม่มีใครชี้แนะ ต้องคลำหาทางเอาเอง หลี่ฟานไม่มั่นใจเลยว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะดึงพลังเข้าสู่ร่างได้
ดังนั้นหลี่ฟานจึงตัดสินใจฝึกวิชารรับรู้ปราณห้าธาตุอย่างขยันขันแข็งต่อไป เพื่อก้าวไปสู่ขั้นฝึกปราณ
ถึงจะช้าไปหน่อย แต่มีความมั่นคง
สิ่งที่หลี่ฟานขาดแคลนน้อยที่สุดก็คือเวลา
ในช่วงสามปีแรก เหอเจิ้งเฮ่าเคยส่งคนมาถามสารทุกข์สุกดิบของหลี่ฟานเป็นครั้งคราว
แต่เมื่อหลี่ฟานไม่มีความก้าวหน้ามานาน เขาก็ไม่ค่อยส่งคนมาอีก
ส่วนทางตึกเทียนเป่า เพราะมีส่วนช่วยเหลือหลี่ฟานกับเสี่ยวเฮิง แม้จะไม่มีสมาคมห้าผู้อาวุโสหนุนหลังแล้ว แต่สถานการณ์การค้าบนหมู่เกาะรอบๆ กลับยิ่งดีขึ้น
ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกับห้างร้านที่อาจมีเซียนคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกับตึกเทียนเป่าให้มากที่สุด
ดังนั้นในช่วงสามปีนี้ ตึกเทียนเป่าเร่งบุกเบิกตลาดอย่างหนัก มีท่าทีเฟื่องฟูรุ่งเรือง
อวิ๋นหยูเจินยิ่งมั่นใจมากขึ้น กระหายใคร่ลอง หวังจะกลับไปเกาะเยเหลียนเพื่อแย่งชิงอำนาจควบคุมสำนักงานใหญ่ตึกเทียนเป่าคืนมา
...
สำหรับเรื่องราวภายนอก หลี่ฟานก็แค่ใส่ใจเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ส่วนใหญ่พลังของเขามุ่งไปที่การเพาะสร้างรากฟ้าดิน
น่าเสียดายที่เรื่องนี้ก็เร่งไม่ได้จริงๆ
หลี่ฟานคาดการณ์ว่า หากไม่มีอะไรผิดพลาด ตนยังต้องใช้เวลาประมาณสองปีถึงจะสำเร็จ
อยู่แต่ในบ้านนานมากแล้ว วันนี้หลี่ฟานนิ่งเงียบจนเกิดความคิดอยากออกไปเดินเล่น
เขาไม่รบกวนใคร เปลี่ยนชุดใหม่ สวมหมวก แล้วไปที่ตลาดในเกาะหลิ่วหลี่
เมื่อเทียบกับเมื่อสามปีก่อน ที่นี่ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย
เสียงต่อรองราคา เสียงโฆษณาเรียกลูกค้า เสียงหยอกล้อเล่นสนุก ดังขึ้นทีละที่สลับกันไป
ที่นี่ หลี่ฟานได้สัมผัสถึง "กลิ่นอายมนุษย์" ที่ขาดหายไปนาน
ความคิดต่างๆ ในสมองผุดขึ้นมามากมายราวกับต้นไม้ที่เฉาตายได้รับการหล่อเลี้ยง
เพียงแค่ชั่วขณะนี้ ความคืบหน้าของรากฟ้าดินก็มากกว่าตอนเก็บตัวอยู่ในบ้านสามวันเสียอีก
หลี่ฟานเกิดความตระหนักรู้อย่างฉับพลัน
สำหรับผู้ฝึกเซียนทั่วไป การเก็บตัวและฝึกจิตนั้นจำเป็น เพราะคนธรรมดาไม่ขาดพลังห้าอารมณ์ที่เป็นเชื้อเพลิงอยู่แล้ว
แต่หลี่ฟานมีสถานการณ์พิเศษ คาถาหล่อหลอมจิตในสมองถูกใช้งานอยู่ตลอด ความคิดฟุ้งซ่านก็กลายเป็นอาหารบำรุงจิตที่ทรงพลังของเขาไป
ส่วนวิชารับรู้ปราณห้าธาตุนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่เทียบคาถาหล่อหลอมจิตเสวียนหวง ไม่อาจแย่งชิงได้มากนัก เหลือแต่เศษเดน
หลี่ฟานยังเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ไม่ได้ในตอนนี้ หากอยากเร่งความเร็วในการสร้างรากฟ้าดิน ก็ต้องเพิ่มความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นในสมองทุกวันให้มากขึ้น
การอยู่ในห้องทุกวันเห็นได้ชัดว่าใช้ไม่ได้ ยังต้องผสานเข้ากับชีวิตอีกด้วย
เมื่อคิดเข้าใจหลักการนี้แล้ว หลี่ฟานอดดีใจไม่ได้
ดูท่าอาจจะไม่ต้องใช้เวลาถึงสองปี เขาก็ก้าวเข้าสู่ขั้นฝึกปราณได้แล้ว
...
"ท่านผู้อาวุโสหลี่?" ขณะนั้นเอง เสียงที่ฟังดูคุ้นๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
หลี่ฟานหันหน้าไป มองเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายแล้ว เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงนึกออกว่าเป็นใคร
ก็คือคนที่เคยพบหน้ากันแค่ครั้งเดียว จางห่าวโป๋ กัปตันเรือชังหยวนแห่งเกาะหลิ่วหลี่นั่นเอง