บทที่ 3 เสวียนอู่ สัตว์เทพผู้พิทักษ์จตุรทิศ
สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังของหยางเสี่ยวเทียนคือเต่าดำขนาดใหญ่
เป็นเต่าขนาดใหญ่ที่มีอสรพิษดำขนาดเล็กพันรอบตัวมันอยู่
แต่อสรพิษขนาดเล็กกว่าเต่าดำที่ว่านี้มากจนแทบสามารถมองข้ามมันไปได้ง่ายๆ
ทันทีที่ทุกคนเห็นพลังวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียน พวกเขาก็ถึงกับมองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ช่างเป็นเต่าที่ตัวใหญ่จริงๆ” ทันใดนั้น เหล่าวิญญาจารย์แห่งเมืองซิงเยว่ก็หัวเราะออกมา “เป็นวิญญาณยุทธ์เต่าจริงๆ ฮ่าฮ่า หยางหมิง วิญญาณยุทธ์ของหลานชายเจ้าช่างประหลาดนัก”
เมื่อเสียงนั้นจบลง เหล่าวิญญาจารย์หลายคนแห่งเมืองซิงเยว่ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง
หยางหมิงมองไปที่เต่าตัวใหญ่เหนือหัวของผู้เป็นหลานชาย ใบหน้าเขาก็แสดงความเกลียดชังขึ้นมาทันทีหลังได้เห็นสิ่งที่เหล่าผู้คนให้ความเย้ยหยันทำเป็นเรื่องตลก
นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นเต่าจริงๆ
แม้เต่าจะไม่ถือว่าเป็นวิญญาณยุทธ์ไร้ประโยชน์อันดับแรก แต่มันก็ถือว่าเป็นที่สองรองจากวิญญาณยุทธ์ขยะ ที่มีดีกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะวิญญาณยุทธ์เต่าสามารถดูดซับพลังวิญญาณแห่งสวรรค์และโลกมาพัฒนาให้ก้าวหน้าได้ช้ามาก ด้วยวิญญาณยุทธ์เต่าของเขา การฝึกฝนหนึ่งปีคงไม่อาจตามทันการฝึกฝนเพียงสิบวันของคนอื่นได้
หยางเฉาที่ยังหวังแล้วสวดภาวนาอยู่ เริ่มมีสีหน้าซีดเซียวขึ้นราวกับกำลังจมดิ่งสู่เหวลึก
พลังวิญญาณยุทธ์ของบุตรชายตนคือเต่าจริงๆ อย่างนั้นหรือ เช่นนั้น ไม่ว่าเขาจะเพียรฝึกฝนหนักทั้งชีวิตแค่ไหน ก็ไม่สามารถเป็นวิญญาณจารย์ได้ดีอย่างผู้อื่น
เวลานั้นเอง วิญญาจารย์แห่งเมืองซิงเยว่คนหนึ่งก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ “นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่วิญญาณยุทธ์เต่าปรากฏขึ้นที่เมืองซิงเยว่ของเราใช่หรือไม่ หยางหมิงหลานชายท่านสร้างประวัติใหม่ให้เราแล้ว”
ใบหน้าของหยางหมิงบูดบึ้งแสดงถึงความเกลียดชังมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดเย้ยหยันนี้
ต่างจากหยางจงที่แสดงสีหน้ามีความสุขชัดเจนเมื่อได้เห็นพลังวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียนเป็นเพียงแค่เต่า
ขณะที่ทุกคนรอบตัวต่างหัวเราะเยาะเขา หยางเสี่ยวเทียนกลับมองดูวิญญาณยุทธ์ของตนด้วยความสงสัย
วิญญาณยุทธ์เขา คล้ายเสวียนอู่สัตว์เทพผู้พิทักษ์จตุรทิศของจีน
ที่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำทิศเหนือในตำนาน
เมื่อหยางหมิงเห็นว่าหลานชายตนยังคงยืนอยู่ในค่ายกล โดยเอาแต่จ้องมองวิญญาณยุทธ์เต่าด้วยความสงสัย สิ่งนั่นยิ่งทำให้เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าก่อนกัดฟันกล่าว “เจ้าหลานน่าสมเพช รีบลงมาเดี๋ยวนี้!”
เขาเดินออกจากค่ายกลแล้วเห็นใบหน้าผู้เป็นปู่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้น หยางเสี่ยวเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะบอกเรื่องนี้กับเขาไหม ก่อนตัดสินใจกล่าว “ท่านปู่ วิญญาณยุทธ์ของข้าไม่น่าใช่เต่า”
พอหยางหมิงเห็นว่าผู้เป็นหลานยังกล้าเอ่ยปากพูดเล่นในสถานะการณ์เช่นนี้ มันยิ่งทำให้ใบหน้าเขาเริ่มเปลี่ยนสีด้วยความโกรธจัดอย่างถึงที่สุด “พาเจ้าสิ่งไร้ค่านี้กลับไป เจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากหมู่บ้านหยาง หากไม่มีคำสั่งจากข้า” กล่าวจบ เขาก็จากไปพร้อมอารมณ์ฉุนเฉียว ไม่มีหน้าอยู่ต่ออีกแล้ว
เมื่อเห็นหยางหมิงจากไป เหล่าวิญญาจารย์ของหมู่บ้านหยางต่างก็รีบติดตามไปเช่นเดียวกัน
หลี่กวง ผู้นำตระกูลหลี่ถึงกับส่ายหัวเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาตอบโต้ที่หยางหมิงแสดงออกมา ใครจะคิดว่าทั้งสองเป็นหลานชายของเขาจริงๆ คนหนึ่งมีวิญญาณยุทธ์ระดับสิบ ส่วนอีกคนมีวิญญาณยุทธ์แค่ระดับสอง
ทันทีที่กลับถึงหมู่บ้านหยาง หยางหมิงก็เริ่มแสดงอาการเดือดดาลขึ้นอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขากล่าวกับหยางเฉาเสียงเข้ม “ดูลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เจ้าให้กำเนิดสิ! หากยังมีหน้ากล้าออกจากหมู่บ้านหยางอีก ข้าจะหักขาเขาเสีย!”
วันนี้หยางเสี่ยวเทียนทำให้เขาอับอายต่อหน้าวิญญาจารย์ทุกคนในเมืองซิงเยว่
หยางหมิงสบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
หลังหยางหมิงจากไป หยางไห่ก็ยิ้มให้หยางเฉาและกล่าวว่า “เจ้ารองอย่าได้ใส่ใจไป ท่านพ่อปกติก็มีนิสัยเช่นนี้ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าวิญญาณยุทธ์ของเสี่ยวเทียนจะกลายเป็นเต่าไปเสียได้”
ใครๆ ก็ได้ยินคำกล่าวของหยางไห่ที่แสดงออกมาด้วยความยินดี
หยางไห่จากไปพร้อมกับหยางจงบุตรชายเขาและคนอื่นๆ
ก่อนที่หยางจงจะเดินผ่านหยางเสี่ยวเทียนไป เขาก็เผยยิ้มเยาะพร้อมกล่าวเย้ยหยัน “เสี่ยวเทียน ช่วงปลายปีตระกูลเราจะจัดการประลองฝีมือกัน เจ้าก็ฝึกฝนให้หนักล่ะ จะได้ไม่ตกใจกับหมัดของข้า”
เมื่อหยางไห่ หยางจง และคนอื่นๆ เดินลับไป หยางเฉาผู้มีสีหน้าบูดบึ้งเพราะรู้ไส้สองพ่อลูกนั้นดี เขาถอนหายใจพร้อมหันกลับไปหาผู้เป็นบุตรชายก่อนอ้าปากกล่าว “เสี่ยวเทียนไม่ต้องคิดมาก ตราบใดที่เจ้าหมั่นฝึกฝนอย่างหนัก เจ้าก็เอาชนะหยางจงได้แน่นอน บางทีเจ้าอาจทะลวงไปถึงขั้นเซียนสวรรค์ก็เป็นได้”
แต่นั่นอาจเป็นไปได้งั้นหรือ