บทที่ 178 สนามฝึกซ้อม
ฉินชิงหามาตั้งนานแล้วก็ยังไม่เจอ แต่เมื่อหยินผิงมาหาเองก็เจอภายในเวลาไม่นาน สมแล้วที่หยินผิงเป็นมืออาชีพ
หลังจากหาเสื้อผ้าออกมาแล้ว อยู่ๆ ฉินชิงก็พบว่าชุดมันคับไปเล็กน้อย ถึงอย่างไรชุดตัวนี้ตนก็สวมตอนยังไม่ออกเรือน ห่างจากตอนนี้มาสองปี
สวมชุดนี้ในตอนนั้นถือว่าพอดี แม้จะจัดอยู่ในหมวดหมู่หลวมก็เถอะ แต่พอมาสวมตอนนี้มันกลับเล็กไปเล็กน้อย ทว่าพอฉินชิงเทียบดูจริงๆ มันก็เหมือนจะใกล้เคียงกัน
สองปีที่ผ่านมาส่วนสูงและน้ำหนักของตนไม่ได้เปลี่ยนมากนัก ฉินชิงคิดว่าพรุ่งนี้ตนไม่ต้องกังวลเรื่องจะใส่ไม่ได้แล้ว
การออกแบบและวัสดุตัดเย็บของชุดนี้ก็เป็นแบบที่ฉินชิงชอบ สวมใส่สบาย ดังนั้นจึงตัดสินใจจะใส่ชุดนี้ไป
หลังจากหาเสื้อผ้าแล้ว ฉินชิงก็ไปหยิบดาบของตัวเองในห้องหนังสือ ดาบเล่มนี้เป็นดาบที่พ่อของนางมอบให้
แม้ภายนอกฉินเหยียนจะเข้มงวด แต่ฉินชิงก็รู้ดี เขาเป็นคนที่รักครอบครัวมาก อย่างเช่นตนหรือพวกพี่ชายหากอยากได้สิ่งใด เขาก็จะพยายามเอามาให้ได้
ตอนนั้นเป็นเด็กน้อยน่ารักอายุเพียงไม่กี่ขวบอยากจะฝึกดาบ ฝึกไม่เกินสองปี เขาก็ไปที่เฉาโจวเพื่อไปหาจูหลิงช่างตีดาบชื่อดังที่สุดในใต้หล้าโดยเฉพาะ ไม่รู้ว่าเขาเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้เชื่อว่าตนจะชำนาญด้านวิชาดาบ
แต่ตอนแรกที่ฉินชิงได้รับดาบเล่มนี้ก็รู้สึกดีใจและประหลาดใจมากจริงๆ
เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่า จูหลิงมีประสบการณ์ตีดาบมานานมาก ไม่ใช่แค่ดาบหนึ่งเล่มที่ตีออกมา แต่ระยะเวลาในการตีดาบก็ทำให้ใครหลายๆ คนหวาดกลัว
อีกอย่างระยะเวลาสามปีในการสร้างดาบหนึ่งเล่ม ยังถือว่าเร็วไป เมื่อต้องเตรียมวัสดุให้พร้อม และต้องกำหนดเวลาไว้เผื่อล่วงหน้าสองปี ดังนั้นกระบวนการทั้งหมดจึงต้องใช้เวลาทั้งหมดห้าปี
วันที่ฉินชิงได้รับดาบเล่มนี้ก็คืออายุสิบสามปี ซึ่งก็หมายความว่า ฉินเหยียนไปหาจูหลิงตอนที่นางอายุแปดขวบ
และตอนนั้น ตนก็เพิ่งฝึกดาบได้สามปี ยังเป็นเพราะร่างกายไม่แข็งแรง หมอจึงให้ออกกำลังกาย ดังนั้นนางเลยเลือกฝึกดาบ ไม่มีใครรู้ว่าฉินชิงฝึกฝนนานแค่ไหน
และในเวลานั้นฉินเหยียนก็เชื่อว่าตนจะฝึกวรยุทธ์ไปตลอดชีวิต ก็ไม่รู้ว่าใครกันที่ให้ความกล้าหาญมากมายเช่นนี้กับเขา
ฉินชิงเคยถามพ่อของตน คำตอบของเขาก็คือ
"เด็กโง่ คนเป็นพ่อจะไม่เข้าใจลูกสาวตัวเองได้อย่างไร? เจ้าฉลาดมาตลอดแต่เด็ก แต่ไม่ได้มีความสนใจต่อสิ่งใดมากเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของเจ้าบังคับให้เจ้าเรียน เกรงว่าเจ้าก็คงวิ่งหนีไม่เห็นเงาแล้ว มีเพียงเรื่องฝึกวรยุทธ์ เจ้ากลับให้ความสนใจกับมันมากเป็นพิเศษ
แม้ว่าตระกูลของพวกเราจะเป็นขุนนางด้านวรรณกรรม แต่ลุงรองของเจ้าคือเมล็ดพันธุ์ที่ดีในด้านศิลปะการต่อสู้ และในที่สุดตอนนี้ก็ได้เป็นแม่ทัพ ดังนั้นพวกพี่ชายของเจ้าก็อยากจะฝึกฝนตาม ผู้ชาย ต้องไม่ใช่แค่จับพู่กันเป็นเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นคงทำร้ายตนเองเกินไป ดังนั้นจึงทำให้ตระกูลของพวกเรามีแม่ทัพเกิดขึ้นมาหนึ่งคน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่บุรุษตระกูลฉินของเราฝึกวรยุทธ์มาหลายชั่วอายุคน
แม้ว่าไม่อยากไปที่สนามรบจริงๆ แต่สิ่งที่ต้องรู้ก็ต้องรู้ สิ่งที่ง่ายๆ ก็ต้องทำเป็น ส่วนเจ้า แม้ว่าตอนนั้นจะอายุแค่ห้าขวบ แต่ก็ไม่เคยขาดการออกกำลังกายเลยแม้แต่วันเดียว ตอนนั้นพ่อเองก็รู้แล้ว เจ้าไม่ยอมละทิ้งสิ่งนี้ไป"
ตอนนั้นเมื่อฉินชิงได้ยินสิ่งที่พ่อของนางพูด นางไม่เพียงแต่เข้าใจพ่อของนางมากขึ้น แต่ยังสามารถไขข้อข้องใจที่ติดค้างในใจมายาวนานออกไปได้ด้วย
ฉินชิงคิดมาเสมอว่าตระกูลของพวกนางเป็นครอบครัวขุนนางธรรมดาเท่านั้น และสงสัยมาตลอดว่าลุงรองของตนทำไมถึงอยากเข้าร่วมกองทัพ ฉินชิงคิดว่าที่เหล่าพี่ชายของตนฝึกวรยุทธ์เป็นเพราะลุงรองของตน แต่เมื่อรู้ว่าตระกูลของตนฝึกวรยุทธ์มาหลายชั่วอายุคนแล้วก็เข้าใจมากขึ้น
ดังนั้นนี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่คนในครอบครัวของตนไม่คัดค้านเมื่อหมอแนะนำให้ตนไปฝึกวรยุทธ์
แม้จะบอกว่าสตรีในต้าเหลียงสามารถฝึกวรยุทธ์ได้ และมีแม่ทัพหญิง แต่ตราบใดที่พวกคนเหล่านั้นเอ่ยถึงแม่ทัพคนนั้น ก็จะพูดว่าแม่ทัพหญิง ไม่ใช่แม่ทัพ ซึ่งก็หมายความว่าสตรีที่เป็นแม่ทัพยังหาได้ยากมาก
ราษฎรต่างก็ไม่เห็นด้วยกับการที่สตรีเป็นแม่ทัพ ดังนั้นแม้ว่าจะชื่นชมมาก แต่นี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่มีแม่ทัพหญิงบนหนังสือประวัติศาสตร์เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เหมือนกับตระกูลขุนนางที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวงของฉินชิง ลูกสาวฝึกวรยุทธ์ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่หายากมาก ตามหลักแล้วคนในครอบครัวจะต้องคัดค้านอย่างมากถึงจะถูก
แต่ฉินชิงจำได้ว่าตอนนั้นนางแค่ติดตามฉินฮ่าวลุงรองของนางไปที่สนามฝึกซ้อม
อย่างน้อยก็ระยะเวลาหนึ่ง ฉินชิงรู้สึกว่าความนิยมของต้าเหลียงค่อนข้างเปิดกว้างเป็นพิเศษ ไม่เหมือนกับยุคโบราณที่ตนรู้จักในชาติก่อน
และตอนนี้ ฉินชิงก็รู้สึกไม่คุ้นกับคำว่าสนามฝึกซ้อมเท่าไร ก่อนเข้าวังหนึ่งปี นางก็ถูกท่านแม่ขังให้อยู่แต่ในเรือน ฝึกฝนภาษาของสตรี งานของสตรีและรูปลักษณ์ของสตรีที่สตรีควรมี
หลังจากเข้าวังแล้ว ฉินชิงแทบไม่รู้ว่าในวังมีสนามฝึกซ้อมด้วย นางเลยต้องฝึกวรยุทธ์แค่ในตำหนักจงชุ่ยเท่านั้น พื้นที่น้อย อีกทั้งยังต้องคอยระวังอย่าให้ไปทำร้ายใครหรือทำลายข้าวของตลอดเวลาอีก
แม้ว่าฉินชิงจะสั่งคนให้จัดการลานตำหนักจงชุ่ยแล้ว แต่ในฐานะที่เป็นพื้นที่ฝึกวรยุทธ์มันยังค่อนข้างเล็กไป ไม่กว้างขวางพอ
แม้ว่าตำหนักจงชุ่ยจะใกล้กับตำหนักเซวียนเจิ้งที่เหลียงอี้อยู่ แต่ด้านพื้นที่ก็ยังค่อนข้างเล็กกว่า ฉินชิงมักจะรู้สึกว่าตนไม่สามารถออกกระบวนท่าได้เต็มที่
ดังนั้นฉินชิงจึงสนใจสนามฝึกซ้อมที่เหลียงอี้กล่าวถึงมาก สมแล้วที่เป็นวังหลวง แม้ว่าสนามฝึกซ้อมต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ก็ยังเป็นสนามฝึกที่เตรียมไว้ให้กับฮ่องเต้
ฉินชิงหยิบดาบขึ้นมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะ เตรียมจะนำไปด้วยในเช้าวันพรุ่งนี้
ฉินชิงตื่นมาในเช้าวันนี้อารมณ์ดียิ่งนัก เห็นท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีครามและเมฆสีขาว และมีลมโชยมาเบาๆ
ฉินชิงต้องบอกเลยว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้วจริงๆ หลังจากฉินชิงล้างหน้าบ้วนปากด้วยการปรนนิบัติของหยินผิงแล้วนางก็กำลังเตรียมกินข้าวเช้า
ถึงอย่างไรสถานที่ที่ต้องไปก็คือสนามฝึกซ้อม ฉินชิงคิดว่าตนต้องออกกำลังกายอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าวเช้าในวันนี้จะต้องกินให้อิ่ม ไม่อย่างนั้นถ้าหิวขึ้นมาจะยิ่งทรมาน
อาหารเช้าในวันนี้เป็นซาลาเปา ซาลาเปาทั้งหมดล้วนแป้งบางไส้เยอะ ทุกลูกขาวบริสุทธิ์ไร้ที่ติ
และไส้ด้านในก็ถึงรสถึงเนื้อ อร่อย น้ำซุปเยอะ
และในซาลาเปายังมีผักดองหมูสามชั้นอยู่ไม่น้อย ต้องเป็นอาหารที่เตรียมไว้นานมาก เพราะผักดองหมูสามชั้นเป็นอาหารที่ค่อนข้างหากินยาก
ฉินชิงที่กินจนอิ่มแล้วก็ไม่คิดจะนั่งเกี้ยวไป พอฉินชิงดูเวลาแล้ว ตนเดินไปเวลาก็น่าจะทันพอดี
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจเดินไปที่หน้าประตูตำหนักเซวียนเจิ้ง ยังถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ในที่สุดฉินชิงก็ถึงหน้าประตูตำหนักเซวียนเจิ้ง และรออยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ไม่ถึงสองเค่อ เหลียงอี้ก็มาแล้ว