บทที่ 1 กฎแปลกๆ
บทที่ 1 กฎแปลกๆ
บางคนบอกว่าสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในโรงพยาบาลคือห้องดับจิต
ฉันขอบอกคุณว่ามันไม่ใช่
มีสถานที่ที่น่ากลัวกว่า มืดมนกว่า และสิ้นหวังยิ่งกว่าห้องดับจิต
แม้ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นจะยังไม่ตาย แต่พวกเขาก็เหมือนตายเสียยิ่งกว่าตาย...
ฉันชื่อ เถียนจื่อหยง อายุ 21 ปี เป็นรุ่นน้องปีสองในวิทยาลัย
ใครที่เคยเป็นรุ่นน้องในวิทยาลัยคงรู้ดีว่า แม้อยากเรียนอย่างจริงจัง แต่บรรยากาศก็ไม่เอื้ออำนวย
ทุกวันจะมีเหล้ายาปลาปิ้งให้ดื่มกิน การจะประสบความสำเร็จในชีวิตคุณต้องสนุกอย่างเต็มที่ ไม่มีใครคิดถึงแผนชีวิต และไม่มีใครคิดว่าตัวเองจะทำอะไรหลังจากเรียนจบ
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ฉันจะเรียนจบ ฉันได้ไปยังสถานที่ที่น่ากลัวซึ่งเต็มไปด้วยความเงียบงัน...
ที่นั่นฉันพบความรักอันยิ่งใหญ่ และฝันร้ายไม่รู้จบ มันมากเสียจนตอนนี้ร่างกายส่วนล่างของฉันเป็นอัมพาต และสิ่งสกปรกนี้ยังคงหลอกหลอนฉันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันทำให้ฉันรู้สึกแย่…
ฉันไม่รู้ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน และไม่รู้ว่าพวกเขาจะโจมตีฉันเมื่อใด - มีลมมืดล้อมรอบฉันอยู่เสมอ และเสียงกระซิบก็ยังก้องอยู่ในหูของฉัน…
ใช่ ฉันเหลือเวลาไม่มากแล้ว...
ฉันจะบันทึกเรื่องราวนี้ทีละน้อย...
…
วันนั้นแม่ของฉันซึ่งกำลังทำอาหารอยู่ที่บ้านอยู่ๆ ก็เป็นลมไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล ก็ตรวจพบว่าเป็นโรคไตวาย
หมอขอให้ฉันเตรียมตัวให้พร้อม ประการแรก ความหวังในการรักษามีน้อย ขั้นตอนการรักษา ต้องใช้ค่าผ่าตัดและค่ารักษาพยาบาลค่อนข้างมาก
เหมือนโดนสายฟ้าฟาด
ฉันล้มลงทันที...
ความกลัว ความตึงเครียด ความสิ้นหวัง อารมณ์ต่างๆ เข้ามาในใจฉัน
ฉันเริ่มกู้ยืมเงินทุกที่ หางาน ทำงานพาร์ทไทม์...
อาจเป็นเพราะฉันยังเด็กเกินไป หรือบางทีคนอื่นอาจดูถูกนักศึกษาใหม่... พวกเขาเพียงเสนอเงินเดือนที่ต่ำมากให้ฉัน หรือไม่ก็เพียงแต่ไล่ฉันออกไป
ในเวลาที่ยากลำบากก็มีโทรศัพท์เข้ามา
เสียงของผู้หญิงที่โทรมาฟังดูอ่อนเยาว์ เธอถามว่าฉันส่งเรซูเม่ทางออนไลน์มาใช่ไหม และได้งานแล้วหรือยัง
ฉันตอบว่า “ไม่ครับ ผมยังมองหางานอยู่”
ผู้หญิงคนนั้นถามฉันว่าสนใจทำงานเป็นยามที่โรงพยาบาลไหม?
เมื่อฉันได้ยินว่าเป็นโรงพยาบาลไอกัง ฉันก็แปลกใจเล็กน้อย เพราะที่ที่แม่ของฉันเข้ารับการรักษาก็คือโรงพยาบาลไอกัง - ฉันคิดไม่ถึงว่ามันจะบังเอิญขนาดนี้!
ฉันตอบตกลงโดยไม่ลังเลและนัดพบกับผู้หญิงคนนั้นที่ประตูโรงพยาบาลตอนบ่ายสองโมง
หลังอาหารกลางวันฉันกลับบ้านเพื่ออาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และไปตามนัดหมาย
ก่อนบ่ายสองฉันเห็นผู้หญิงสาวสวยเดินมาหา
ผู้หญิงคนนี้อายุประมาณ 37-38ปี เธอมีใบหน้าเรียว คิ้วยาว สวมชุดสีดำ มีผมหยักศกพาดไหล่ และมีผิวพรรณสวย ซึ่งได้รับการดูแลอย่างดี
“สวัสดี คุณคือคนที่กำลังมองหางานอยู่ใช่ไหม?” ผู้หญิงคนนั้นมองมาที่ฉันแล้วพูด
ฉันพยักหน้าและถามเธออย่างกระตือรือร้นเล็กน้อยว่า ทำงานที่นี่จะได้เงินเดือนๆละเท่าไหร่?
ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม อาจเป็นเพราะเห็นว่าฉันมีประสบการณ์ทางสังคมน้อย เธอจึงพูดอย่างพอใจ: “ไม่ต้องห่วง ลองไปดูสภาพแวดล้อมการทำงานก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่”
ฉันไม่เข้าใจจึงชี้ไปที่ประตูโรงพยาบาลแล้วพูดว่า “คุณบอกว่าทำงานเป็นยามที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ ไม่ใช่ที่นี่” หญิงสาวยิ้มแล้วส่ายหัว “มากับฉัน เดี๋ยวคุณก็รู้”
ฉันไม่ถามคำถามอีกต่อไปแล้วเดินตามเธอไปยังจุดหมายปลายทาง
เพราะอยู่ในโรงพยาบาล และระยะทางก็ไม่ไกล เดินไปทางประตูทิศตะวันตกประมาณ 3 นาที เราก็มาถึงอาคารที่ค่อนข้างเก่า
อาคารนี้มีทั้งหมด 5 ชั้น ผนังกระดำกระด่าง เก่าและเหลืองซีด และปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อย มองผ่านหน้าต่างก็จะเห็นเงาที่ห้อยอยู่ใต้แสงสลัวๆ ข้างใน
ที่ด้านข้างของทางเดิน มีตัว "D" ตัวใหญ่ปรากฏขึ้น
เธอพาฉันเข้าไปในอาคาร มีกลิ่นฉุนของน้ำยาฆ่าเชื้อกระทบจมูก ฉันบีบจมูก ขมวดคิ้วและมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนมาถึงบ้านเก่าๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน ผนังเป็นสีเทาเข้ม มีใยแมงมุมห้อยอยู่เต็มไปหมด พื้นไม่ใช่พื้นพลาสติก PVC ทั่วไป แต่เป็นพื้นซีเมนต์ อาจเป็นเพราะมีความชื้นในอาคาร จึงยังคงมีคราบและตะกรันเหลืออยู่บนพื้น
“นี่คืออาคาร D งานในอนาคตของคุณคือการเฝ้าอยู่ที่นี่” ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองมาที่ฉันแล้วพูด
เฝ้า?
ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดีที่มันไม่ยากเกินไป
ฉันพูดว่า: “ไม่มีปัญหา แล้วเรื่องเงินเดือน...”
“อย่าตกลงเร็วไป” หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยแล้วขัดจังหวะฉัน “ในกรณีนี้ คุณไปดูรอบๆ กับฉันก่อน บางทีคุณอาจจะเปลี่ยนใจ”
ฉันเกาหัวและคิดว่ามีอะไรให้ดูตราบเท่าที่มีเงินเดือนและค่าตอบแทนที่ดี ฉันก็ทนได้แม้จะเป็นคนล้างห้องน้ำก็ตาม
ฉันเดินตามผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปจากชั้นหนึ่ง
ระหว่างทางเราก็คุยกันเป็นระยะๆ
ผู้หญิงคนนี้แซ่ซุน ฉันขอเรียกเธอว่า พี่ซุนนะ
พี่ซุนบอกว่าอาคาร D เป็นตึกพิเศษในโรงพยาบาลไอกัง
ในบรรดาอาคารทั้งหมดในโรงพยาบาล ที่นี่มีความพิเศษมาก
เพราะคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ป่วยหนัก ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล และไม่มีญาติหรือเพื่อนฝูง
โรงพยาบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ป่วย “โดดเดี่ยวไร้คนเหลียวแล” เหล่านี้ แต่ก็ไม่สามารถโยนพวกเขาออกไปได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถติดต่อกับครอบครัวของพวกเขาได้เช่นกัน พวกเขาทั้งหมดจึงถูกย้ายมาที่อาคาร D นี้ อย่างสิ้นหวัง
ในอาคาร D ทั้งยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ล้วนมีราคาถูกที่สุด
ผู้ป่วยเหล่านี้เกือบเหมือนการก้าวครึ่งเท้าเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง พวกเขาไม่สามารถแยกแยะระหว่างกลางวันกลางคืนได้ และไม่มีแนวคิดเรื่องเวลา การอยู่ที่นี่อย่างมีสติถือว่าเป็นการทรมานตัวเอง
พูดตรงๆ ก็คือ พวกเขากำลังแขวนชีวิตอันเป็นที่รักของพวกเขาไว้เพื่อ - รอความตาย
คำบรรยายของพี่ซุนทำให้ฉันตกตะลึงและในขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัว
ฉันรู้สึกเหมือนสถานที่แห่งนี้คือ “นรกมีชีวิต” ที่ถูกลืมเลือนไปแล้ว...
จู่ๆ ฉันก็คิดถึงแม่ ถ้าจ่ายค่ารักษาไม่ได้ แม่ของฉันจะถูกส่งมาที่นี่ด้วยไหม?
ขณะเดินผ่านวอร์ดผู้ป่วยไปก็มักจะได้ยินเสียงร้องไห้ เสียงกรีดร้อง และเสียงด่าทอของผู้ป่วยจากภายในวอร์ด
เสียงเหล่านี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความสิ้นหวัง ซึ่งน่าสะเทือนใจยิ่งกว่าห้องไอซียู
มีนางพยาบาลสองสามคนเดินผ่านมาบ้าง ฉันมองดูพวกเธอที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ และผ่านเราไป ราวกับกำลังผ่านอากาศธาตุ
เมื่อฉันไปถึงชั้นสี่และผ่านวอร์ด 404 ฉันก็อดไม่ได้ที่จะหยุดและมองดูอีกสักหน่อย
ประตูวอร์ด 404 แตกต่างจากประตูวอร์ดอื่นเล็กน้อย
ประตูวอร์ดอื่นๆ เป็นสีวอลนัทอ่อนทั้งหมด
เฉพาะวอร์ด 404 เท่านั้น ที่ประตูทั้งบานเป็นสีแดงเข้ม ราวกับถูกชโลมด้วยเลือด... มองจากระยะไกล มันดูเหมือนปากที่เปื้อนเลือดของผีร้ายที่มีเลือดไหลย้อยลงมาอย่างอธิบายไม่ได้
บนคานประตูของ 404 มีกระจกปากัวสีบรอนซ์ทรงกลมขนาดเท่าฝ่ามือแขวนอยู่ มันมีฝุ่นปกคลุม ดูเหมือนว่าจะอยู่ที่นั่นมาระยะหนึ่งแล้ว
“รีบไปกันเถอะ ตรงนี้มีอะไรให้ดูกัน” พี่ซุนเร่งเร้าด้วยความไม่พอใจ
ฉันเหลือบมองเธอและเห็นว่าใบหน้าของเธอซีดลงเล็กน้อยและเธอก็ดูตื่นตระหนกเล็กน้อยด้วย
แปลก…เธอกังวลเรื่องอะไร?
ฉันไม่ได้คิดมากและเดินตามเธอต่อไป
…
กลับมาที่ชั้น 1 พี่ซุนถามฉันว่า ฉันคิดยังไงและยังอยากทำงานนี้อีกหรือไม่
พูดตามตรง ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ซุนถึงขอให้ฉันไปเยี่ยมชมก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ
ในสภาพแวดล้อมที่น่าหดหู่แบบนี้ การต้องเจอกับคนไข้ใกล้ตายหลายคนทุกวัน ในระยะยาว ไม่ว่าคุณภาพจิตใจจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็อาจได้รับผลกระทบได้ในระดับหนึ่ง และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรอดพ้นจากการเป็นโรคซึมเศร้า
อย่างไรก็ตาม ฉันไม่มีทางเลือก อาการของแม่ฉันวิกฤติ และวิธีเดียวที่จะรักษาเธอไว้ได้ก็คือเงิน
ฉันไม่ต้องการให้แม่ของฉันถูกย้ายมายังสถานที่มืดมิดแห่งนี้ในสักวันหนึ่ง เพราะไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล
“พี่ซุน ผมเต็มใจทำ!” ฉันพูดอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ พี่ซุนก็แสดงสีหน้าโล่งอก เธอยิ้มแล้วพูดว่า: “เอาล่ะ ฉันขออธิบายให้คุณฟังก่อนว่าสามเดือนแรกเป็นช่วงทดลองงาน เวลาทำงานคือ 20.00 น. ถึง 07.00 น. ทุกวัน ห้าพันหยวนต่อเดือน เดือน หลังจากผ่านทดลองงานเงินเดือนจะเพิ่มเป็นสองเท่า รับได้ไหม?”
ฉันเบิกตากว้าง เกือบจะสงสัยว่าฉันได้ยินผิด
ห้าพันหยวน?
รับเลย...
เงินเดือนนี้สูงกว่าพนักงานปกขาวธรรมดาในเมืองเสียอีก!
“ครับ รับได้ครับ!” ฉันพูดอย่างตื่นเต้น
พี่ซุนยิ้มแล้วพูดว่า “โอเค เอาบัตรประชาชนของคุณมาให้ฉัน ฉันจะเอาไปลงทะเบียน”
หลังจากการลงทะเบียนเสร็จสิ้น พี่ซุนก็มองมาที่ฉันอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “ยังไงก็ตาม มีบางสิ่งที่คุณต้องจำไว้เมื่อทำงานที่นี่”
ฉันพยักหน้า: “ครับ”
“ประการแรก กลางดึกอย่านอนตรงทางเดินหรือในวอร์ด”
“ประการที่สอง หลังจากตี 2 อย่าไปเข้าห้องน้ำ แม้ว่าคุณจะต้องกลั้นจนหายใจไม่ออกก็ตาม”
“ประการที่สาม อย่ายอมรับสิ่งใดๆ ที่คนไข้ให้มา”
“ประการที่สี่ ห้ามเปิดประตูวอร์ด 404!”
คำพูดของพี่ซุนทำให้ฉันสับสนเล็กน้อย เป็นแค่ยามไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงทำราวกับจะไปทำสงครามในดันเจี้ยนกันล่ะ?
ประการแรกกับประการที่สามเป็นเรื่องปกติ แต่ประการที่สองกับประการที่สี่คืออะไร?
ห้ามเข้าห้องน้ำหลังตี 2 แม้จะต้องกลั้นจนหายใจไม่ออกก็ตาม มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอ?
ฉันยิ้มอย่างขมขื่น “เรื่องที่ไม่สามารถเข้าห้องน้ำได้หลังตีสองนี่ค่อนข้างจะรุนแรงนะ ถ้าทนไม่ไหวล่ะ?”
ใบหน้าของพี่ซุนเข้มขึ้น และพูดว่า “ฉันไม่สนใจ แต่คุณต้องไม่เข้าห้องน้ำหลังตีสองเป็นอันขาด!”
ในใจฉันไม่เห็นด้วยกับเธอแต่ก็ยังตกลงกับเธออย่างส่งๆคิดว่าไปทำงานแล้วจะยังควบคุมฉันได้อยู่เหรอ?
“ยังไงก็ตาม พี่ซุน วอร์ด 404…”
“ห้ามเปิดเด็ดขาด!”
ก่อนที่ฉันจะพูดจบ จู่ๆ พี่ซุนก็ขัดจังหวะขึ้นอย่างประหม่า
ฉันสะดุ้งกับความกังวลใจอย่างกะทันหันของเธอและพูดตะกุกตะกัก: “ทำ... ทำไม?”
พี่ซุนจ้องมาที่ฉันด้วยความกลัวเล็กน้อย รูม่านตาของเธอขยายกว้างขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา:
“ยังไงก็ตาม ถ้าไม่อยากตายก็อย่าเปิดมัน…”
.
*******
ผู้แปล – บ่นว่าร้อนจนเด็กๆ หานิยายสั้นๆ สามร้อยกว่าบทเรื่องนี้มาให้แปลแก้ร้อน ผู้แปลกลัวผี แปลไปหนาวไป… อิอิ ทดแทนเรื่องรถเมล์สาย 18 ที่โดนผู้แต่งฆ่าตัดตอนไปแล้ว จนจำเป็นต้องเลิกแปล
ปล. การพูดคุยในนิยายเรื่องนี้ มีสองแบบ แบบแรกจะเป็นบทบรรยายการสนทนา ซึ่งจะไม่มีเครื่องหมายคำพูดปิดหัวท้าย แบบที่สองเป็นบทสนทนาปกติ ที่จะมีเครื่องหมายคำพูดปิดหัวท้าย