Chapter 1049 ราชันย์เจิ้นเหว่ย
ขณะจุนซ่างเซียวเข้ามาในเมืองเจิ้นเหว่ย ที่เมืองเถี่ยเหว่ย ทหารหลายสิบคนที่ขี่เพกาซัสลอยอยู่บนท้องฟ้า.
พวกเขาที่แข็งแกร่งไม่น้อย แต่ละคนล้วนแต่มีระดับกษัตริย์ยุทธ์.
ในแผ่นดินนี้ ระดับกษัตริย์ยุทธ์ในแผ่นดินใหญ่ถือว่าธรรมดา ทว่าการจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนนั้นหายากมาก.
ทหารที่รับผิดชอบลาดตระเวนวันนี้ ได้พบกับคนหมดสตินอนอยู่ในพงหญ้า.
“ท่านแม่ทัพ.”
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งกล่าวรายงาน “คนทั้งห้าคือคนของเมืองเถี่ยเหว่ย ดูเหมือนจะถูกวางยาทำให้หมดสติหลับลึกไป!”
แม่ทัพคนดังกล่าวที่กลายเป็นเย็นชา กล่าวออกมาว่า“เสื้อผ้าไม่มี บัตรประจำตัวไม่มี ดูเหมือนว่าจะมีสายลับลอบเข้ามาแล้ว.”
“ถ่ายทอดคำสั่งออกไป.”
“ให้ทุกเมืองระวังภัยระดับหนึ่ง ส่งภาพของทั้งห้าคนนี้ออกไป หากมีใครเหมือนกับคนเหล่านี้ ให้จับกุมในทันที.
“รับทราบ!”
“ซี่ ซี่!”
เพกาซัสที่สะบัดปีกบินออกไป กระจายไปยังเมืองใหญ่ต่าง ๆ.
ผ่านไปไม่นาน ภาพคนที่ปลอมตัวของจุนซ่างเซียวและศิษย์ก็กระจายไปทั่วทุกหนแห่งทุกซอกทุกซอย.
เป็นการส่งสารและลงมืออย่างรวดเร็ว เห็ดชัดเจนว่าเมืองเจิ้นเหว่ยนั้นมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก.
ไม่สงสัยเลยว่า อาณาจักรสามแห่งถึงกับต้องร่วมมือกันเพื่อรับมือ ไม่เช่นนั้นคงไม่ใช่คู่มือ หากได้นายน้อยหยวนมาช่วยจะยิ่งน่าเกรงขามมากกว่านี้.
กล่าวได้ว่านายน้อยหวน ที่เดินทางมายังอาณาจักรเจิ้นเหว่ย เพราะรับรู้ถึงพลังของพวกเขา “ราชันย์เจิ้นเหว่ยคงต้องการคนที่มีพรสวรรค์เช่นข้าเป็นการเร่งด่วน!”
เหล่าหลินเอ่ย “เพียงเวลาสิบปี ก็ยกระดับอาณาจักรอ่อนแอที่สุด จนน่าเกรงขามที่สุด หากได้นายน้อยสนับสนุนอีกแรง จะต้องสามารถรวมจังหวัดตงไห่ยวีได้อย่างไม่มีปัญหา!”
นายน้อยหยวนเผยยิ้ม “การข้ามน้ำข้ามทะเลมา ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง!”
......
“พรึด โครม!”
ชายชราผมขาวที่ก้าวเข้ามาหน้าถ้ำ คุกเข่าลงบนพื้น โขกคำนับที่ใจกลางแผ่นดิน “คารวะ องค์ราชันย์!”
บนแผ่นหินนั้นมีคนนั่งอยู่ รอบ ๆ มีหมอกสีแดงปกคลุม ยากที่จะมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้.
“เปิ่นตี้ปิดด่านอยู่ ราชครู มีเรื่องสำคัญอะไร?”
เสียงของชายวัยกลางคน ที่มีอายุราว ๆ 30-40 ปี.
“องค์ราชันย์!”ราชครูที่แววตาจริงจง“ไม่กี่เดือนก่อนผู้ใต้บังคับบัญชามีนิมิตไม่ค่อยดี ตอนนี้มันรุนแรงมากขึ้นและก็มากขึ้น บางทีอาจจะมีอันตรายที่กำลังคุกคามอาณาจักรเจิ้นเหว่ยของพวกเรา!”
ภายในหมอกสีแดงมีเสียงที่ดังขึ้นอีก “ราชครูเอ่ยถึงนิมิตกี่ครั้งแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เปิ่นตี้จัดการไม่ได้ ดังนั้นไม่ต้องใส่ใจให้มากนัก.”
“องค์ราชันย์ ครั้งนี้.....”
“ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติใด เปิ่นตี้ก็จัดการได้หมด เจ้าออกไปได้แล้ว.”
“...... รับทราบ!”
ราชครูที่ถอยออกไป หลังจากกลับที่พัก เขาที่เปิดค่ายกลสะท้อน พบว่าฟ่านเย่จื่อยังคงถูกขังบนเกาะ ทันใดนั้นเขาก็วางใจ.
“นิมิตร้าย หรือจะเกี่ยวกับเขากัน.”
“เช่นนั้นขอเพียงควบคุมเขาได้ ก็สามารถกลับร้ายให้เป็นดีได้!”
......
ในห้องลับ.
“พรึด!”
ภายในหมอกสีแดง ชายวัยกลางคนที่กระอั๊กโลหิตออกมา จากนั้นใบหน้าของเขากลายเป็นดุร้าย ราวกับเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่าง!
“เจิ้นเหว่ย ศิษย์ของข้า.”
เสียงที่ดำมืดหัวเราะดัง กล่าวออกมาว่า“เจ้าคิดว่าใช้วิชาลับเพลิงโลหิตสะกดอาจารย์ไว้แล้ว จะสามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ถาวรอย่างงั้นรึ?”
ไม่มีอะไรผิดพลาด.
ชายวัยกลางคน ก็คือคนที่จุนซ่างเซียวสนใจ ราชันย์เจิ้นเหว่ย.
เพราะว่าสถานการณ์เวลานี้เขาดูแปลกประหลาด สภาพอยู่ในท่าทางยากลำบาก.
ราชันย์เจิ้นเหว่ยที่ใช้พลังของตัวเองพร้อมกับบังคับขัดขืน กล่าวออกมาด้วยความโกรธ “ทำทุกอย่างเพื่อจะควบคุมร่างกายของข้าให้ได้ มันสำคัญขนาดนั้นเลยรึ?”
“นี่เจ้าไม่รู้จริง ๆ รึว่า ข้าต้องการอะไร?”
“ส่งร่างมา ช่วยอาจารย์รวบรวมทวีปชิงหยุนซะ!”
เสียงที่มืดครึ้มดังขึ้นเป็นระลอก ๆ.
“ฮึฮึ!”
ใบหน้าของราชันย์เจิ้นเหว่ยที่มืดครึ้มก่อนที่จะกลายเป็นเหยียดหยัน“ส่งร่างให้เจ้า ข้าก็จะกลายเป็นเพียงหุ่นเชิด ไม่มีความคิดความอ่านอีกต่อไปนะสิ!”
“เฮ้อ.”
เสียงที่ดำมืดเอ่ยกล่าวออกมาอีกครั้ง“เจ้าไม่ลังเลที่จะให้อาจารย์เข้าไปสิงสู่ เพื่อช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น สุดท้ายแล้ว......”
“หุบปาก!”
ราชันย์เจิ้นเหว่ยที่คำรามด้วยความโกรธ “เจ้ากำลังใช้ข้า เพื่อคืนพลังให้กับตัวเอง!”
“เจ้าที่เป็นเพียงแค่คนเสเพลใช้ชีวิตกับเหล่าสนมอย่างไร้สติ หากไม่มีอาจารย์มอบทักษะให้ ช่วยเจ้าตัดผ่านระดับ จะประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ไหม?”
“จงส่งร่างมาให้กับอาจารย์ซะ เจ้าปฏิเสธข้าแบบนี้ ถือเป็นคนเนรคุณจริง ๆ.”
ราชันย์เจิ้นเหว่ยที่โคจรพลังบ่มเพาะ ใช้พลังป้องกันฝืนตัวเองเอาไว้ไม่ให้เสียสติ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เจ้าทำเพื่อตัวเองเท่านั้น หากไม่มีเจ้า เปิ่นตี้ก็สามารถสร้างชื่อได้.”
“อิอิอิอิ!”
เสียงหัวเราะที่น่าขนลุกดังขึ้น“อาจารย์จะคอยดู เจ้าจะใช้วิชาลับเพลิงโลหิตนั่นได้นานเท่าใด อย่าได้ตำหนิอาจารย์ หากว่ามีอะไรผิดพลาด ความมั่งคั่ง เกียรติยศและอำนาจของเจ้าก็จะหายไปทั้งหมดแน่!”
“ฟิ้ว---”
สิ้นเสียง ของวิเศษเพลิงโลหิตที่อยู่ในร่างกายของเขา ก็ค่อย ๆ สงบลง จิตวิญญาณที่แทรกอยู่ก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของเขา.
“ฟู่ ฟู่!”
ราชันย์เจิ้นเหว่ยที่หายใจแรงเร็ว หน้าผากที่หลั่งเหงื่อที่เย็นยะเยือบออกมา.
“เจ้าแก่นั่นฟื้นคืนผนึกเร็วขึ้นเรื่อย ๆ หากว่าไม่สามารถยกระดับวิชาลับเพลิงโลหิตให้เป็นระดับสูงได้ เกรงว่าไม่นานคงถูกยึดร่างได้แน่.”
“เฮ้อ!”
“โทษข้าที่โลภเกินไป รับพลังที่ไม่รู้จักเข้ามา หากว่าปล่อยเจ้านี่ยึดร่างไป เกรงว่าทั่วแผ่นดินคงวุ่นวายเป็นแน่!”
“นิมิตร้ายที่ท่านราชครูเอ่ยถึง บางทีคงเป็นเรื่องที่เปิ่นตี้ควบคุมมันเอาไว้ไม่ได้แล้ว ถูกยึดครองร่างเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นอาณาจักรเจิ้นเหว่ยคงประสบกับหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ไม่ยอม!”
“ไม่ยอมเด็ดขาด!”
ราชันย์เจิ้นเหว่ยที่กำหมัดแน่น คำรามออกมาด้วยความโกรธ “ใกล้จะเป็นราชันย์ยุทธ์ได้แล้วจะตกเป็นหุ่นเชิดได้อย่างไร!”
“ฟิ้ว!”
เขาที่วาดมือประสานกัน พร้อมกับโคจรวิชาบ่มเพาะ.
“ฟิ้ว! ฟิ้ว!”
ไม่นานหลังจากนั้น ประตูศิลาก็เปิดขึ้น ชาวยุทธ์สองคนที่มีดวงตาสีแดง คุกเข่าลงทันที กล่าวออกมาด้วยความเคารพ“คารวะองค์ราชันย์!”
“เปิ่นตี้ต้องการชีวิตของเจ้า ส่งโลหิตและวิญญาณมาซะ.”เสียงของราชันย์เจิ้นเหว่ยเอ่ยออกมาธรรมดาทั่วไป ราวกับว่ามันเกิดเรื่องเช่นนี้ประจำ.
“รับทราบ!”
ยอดฝีมือสองคนที่นั่งสมาธิ พร้อมกับยกมือฟาดหน้าผากตัวเอง ตกตายไปในทันที.
“ฟิ้ว! ฟิ้ว!”
อย่างไรก็ตามราชันย์เจิ้นเหว่ยที่ยกมือขึ้น พร้อมกับชี้นิ้วไปด้านหน้า.
“ฟู่ ฟู่---”
เสียงสีแดงที่ปรากฏขึ้นปกคลุมศพของพวกเขา ก่อนที่จะดูดทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจากเสื้อผ้า.
“ติ๊ง!”
กำไลในมือของผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่ล่วงหล่นลงบนพื้น.
จากลวดลายที่สลักอยู่นั้น น่าจะเป็นกำไลคู่รัก แต่ไม่รู้อีกครึ่งหนึ่งนั้นอยู่กับใคร.
“ฟู่ ฟู่!”
ขณะที่เขาดูดกลืนเลือดเนื้อและโลหิต ราชันย์เจิ้นเหว่ยก็ยิ่งกลายเป็นเย็นชาไร้ความรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ “เกรงเจ้าว่าคงคาดไม่ถึง ว่าศิษย์เองก็คิดจะรวมเจ้าเข้ามาด้วยวิชาลับเพลิงโลหิตเช่นกัน.”
“ขอเพียงมีทรัพยากรเพียงพอ การจะยกระดับวิชาบ่มเพาะก็ไม่มีปัญหา ดังนั้น....”เขาหยุด พร้อมกับเผยยิ้มที่อมหิตออกมา“เจ้าต้องการควบคุมร่างของเปิ่นตี้ เปิ่นตี้ก็คิดที่จะครอบครองวิญญาณเจ้าเช่นกัน!”