บทที่ 21 องค์ชายสาม
“ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว!”
เสียงดังจากทางด้านหลังฝูงชนนอกจวนตระกูลเฉิง ผู้คนต่างหลีกทางให้ผู้ที่กำลังมาเยือนอย่างไม่ต้องนัดหมาย
ทันทีหลังจากนั้น เฉินจ้านเจี้ยนก็เดินนำออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับบรรดาทหารเขา เบื้องหลังเขามีสองชายหนุ่มและหนึ่งหญิงงาม ซึ่งสองคนในนั้นคือเฉินซูหลี่กับเฉินเหมี่ยวอินที่ฉินจวินรู้จักเป็นอย่างดี
ส่วนชายอีกคนคือเฉินซิ่ง บุตรชายคนโตของเฉินจ้านเจี้ยน แม้เขาจะดูเหมือนบุรุษธรรมดาที่มีร่างสูงโปร่ง อกเอวล่ำสัน แต่ระหว่างคิ้วก็บ่งบอกได้ดีถึงความเย่อหยิ่ง ส่งให้เขาดูแข็งแกร่งองอาจกว่าคนทั่วไปมาก
“จุ๊ จุ๊ ตระกูลเฉิงก็มีวันนี้เหมือนกัน”
เมื่อได้เห็นบรรดาคนในตระกูลเฉิงเก็บข้าวของหนีออกจากจวนกันด้วยความเร่งรีบ เฉินซิ่งก็ถึงกับเอ่ยออกมาด้วยความเวทนาปนสีหน้าเยาะเย้ย ยิ่งบรรดาคนพวกนั้นเห็นเฉินจ้านเจี้ยน คนตระกูลเฉิงเหล่านั้นก็ยิ่งมีท่าทีที่ตกใจพร้อมก้มหน้าลงอับอายและรีบแทรกหายไปในกลุ่มฝูงชนอย่างรวดเร็ว
ในเมืองชิงถาน ผู้คนในเมืองต่างรับรู้เรื่องราวความบาดหมางระหว่างตระกูลเฉิงกับเจ้าเมืองตระกูลเฉินเป็นอย่างดี
พวกเขาเชื่อว่าเฉินจ้านเจี้ยนไม่มีทางยื่นมือเข้าช่วย มีแต่จะซ้ำเติมและดูถูกราว*กระหน่ำตีสุนัขตกน้ำไม่ให้พวกเขามีโอกาสได้มีที่ยืนอีก
“พวกเขาแข็งแกร่งจริงๆ” เฉินเหมี่ยวอินถอนหายใจอย่างตื่นเต้นเมื่อนึกถึงฉินจวินและคนอื่นๆ
หลังผ่านไปเพียงวันเดียว เขาก็กวาดล้างตระกูลเฉิงที่ทำตัวเป็นเจ้าเหนือหัวในเมืองออกไปจนสิ้น นี่หรือคือพลังของผู้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะเมื่อได้นึกถึงความงามอันน่าทึ่งของต้าจี๋ ความปรารถนาที่จะแสวงหาความเป็นอมตะและแข็งแกร่งก็ถือกำเนิดขึ้นในใจของนาง เฉินเหมี่ยวอินทันที
“ใช่ ดูเหมือนว่าอาณาจักรกำลังจะเปลี่ยนไป” เฉินซูหลี่พยักหน้าพร้อมถอนหายใจอีกคน
ทั่วทั้งอาณาจักรเฉียนเยว่ มีคนไม่เกินสามคนที่สามารถเอาชนะเสี่ยวโหวลงได้อย่างง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ ซึ่งตอนนี้ก็มีต้าจี๋อีกคน
ฉินจวินซึ่งมีต้าจี๋ ต้องสามารถเอาชนะองค์ชายห้าฉินอวี๋ ผู้มีอำนาจสูงสุดในเมืองหลวงได้โดยสมบูรณ์แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาได้สนทนากับฉินจวินเมื่อคืน ยิ่งทำให้เฉินซูหลี่ชื่นชมในความปรีชาอันลึกซึ้งของเขา ซึ่งตามความเห็นของเขา ตำแหน่งองค์จักรพรรดิคนต่อไปคงตกเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากฉินจวิน
หากฉินจวินได้รู้ว่าเฉินซูหลี่คิดอย่างไรกับเขา คงได้หัวร่อเสียงดังจนฉี่เล็ดอย่างภาคภูมิใจในความเก่งกาจของตนเอง (ต้าจี๋) แน่นอน ฉินจวินเป็นเพียงบัณฑิตวิทยาลัยจากโลกปัจจุบัน
ถ้าได้เดินทางย้อนเวลามาตั้งแต่เพิ่งเรียนจบมัธยมปลายใหม่ๆ ความรู้คงจะลึกซึ้งยิ่งกว่านี้ไปอีก
ไหนจะความรู้ทางด้านภาษา คณิตศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ประวัติศาสตร์ การเมือง ฯลฯ ล้วนเกี่ยวข้องกันทั้งนั้น
อะแฮ่ม!
ถึงอย่างไร หากฉินจวินในตอนมัธยมเดินทางข้ามเวลามาจริงๆ คงชักจูงเฉินซูหลี่ให้คล้อยตามและเกรงกลัวไม่ได้ เพราะในเวลานั้นเขายังไม่มีประสบการณ์เข้าสังคม ความสามารถในการรับมือกับผู้คนก็ยังปวกเปียกแถมไม่ได้เป็นคนผิวคล้ำเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ด้วย
ขณะที่สามพี่น้องได้แต่ถอนหายใจด้วยหมดกังวล ฉินจวินและคนทั้งสามก็เดินออกมาพร้อมสายตาของผู้คนทุกคนบนถนนจับจ้องยังพวกเขา
“คำนับองค์ชายสาม!”
จู่ๆ เฉินซูหลี่ก็คุกเข่าลงพร้อมเอ่ยคำพูดที่ทำให้ผู้คนแตกตื่น “องค์ชายสามงั้นหรือ”
เวลานี้ เฉินจ้านเจี้ยนก็คุกเข่าลงเช่นกัน เขาตะโกนเสียงดัง “ขอคารวะองค์ชายสามและยินดีกับความยุติธรรมที่ท่านใช้กำจัดตระกูลเฉิง ต้นตอของปัญหาในเมืองชิงถาน!”
บูม!
องค์ชายจริงๆ
พอแน่ใจว่าเป็นองค์ชาย เหล่าผู้คนก็ต่างคุกเข่าตามผู้เป็นเจ้าเมืองทันที ในอาณาจักรเฉียนเยว่ องค์ชายถือเป็นผู้ยืนอยู่เหนือมวลประชาจนต้องคุกเข่าลงหากได้พบเขา ไม่เช่นนั้นจะถูกตัดสินโทษได้ง่ายๆ
เฉินเหมี่ยวอินรีบดึงเฉินซิ่งผู้เป็นพี่ชายคุกเข่าลงหลังเห็นว่าเขายังยืนนิ่งอยู่
เมื่อเห็นผู้คนหลายร้อยคุกเข่าต่อหน้าเขา ฉินจวินก็รู้สึกถึงความสำเร็จอย่างท่วมท้น
ส่วนฉางเฉียนเฉียนและฉางห่าวกลับมองฉินจวินด้วยดวงตาเบิกโพลง เพราะการสนทนาระหว่างเขากับเฉินซูหลี่เมื่อคืนไม่มีประโยคใดเปิดเผยถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาเลยสักคำ แล้วไหนจะความสัมพันธ์ของพวกเขาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็ไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับตัวตนเขาเลย จนทำให้คนทั้งสองต้องคอยคาดเดาตลอด
แต่โดยไม่คาดคิด เขากลับกลายเป็นองค์ชายสามของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันจริงๆ
“องค์ชายสามไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์หรือ…” ฉางเฉียนเฉียนหันไปถามฉางห่าวเบาๆ ก่อนนึกขึ้นได้ว่ากำลังพูดอะไรนางก็รีบยกมือขึ้นปิดปากตนเองทันที
คนที่เจ้ากำลังนินทายืนหัวโด่อยู่ตรงหน้า ไปถามอย่างนั้นได้อย่างไรเล่า (╬ಠ益ಠ)
ฉินจวินเพิกเฉยต่อเสียงหนวกหูจากพวกเขา แต่ยิ้มให้เฉินจ้านเจี้ยนกับเฉินซูหลี่อย่างปิติ แล้วพูด “ถือว่าข้ามาทันเวลา ตระกูลเฉิงทำสิ่งชั่วร้ายมามากก็สมควรถูกจัดการให้สิ้นซากโดยคนของข้า”
ยังถือว่าครั้งนี้เขามีคำพูดน่าฟังให้ได้กล่าว อย่างไรก็ตาม หากไม่ใช่เพราะระบบแจ้งว่าตระกูลเฉิงสร้างชื่อเสียงไม่ดีในเมืองชิงถาน เขาคงไม่ได้ทำตัวเหมือนเป็นศูนย์รวมแห่งความยุติธรรม
“ตระกูลเฉิงทำสิ่งชั่วร้ายมากมาย พวกเขาสมควรถูกประหาร!” เฉินจ้านเจี้ยนตะโกนเสียงดัง จากนั้นเฉินซูหลี่ ที่อยู่ข้างๆ เขาก็หยิบตำราม้วนไม้ไผ่ออกมาแล้วเริ่มอ่าน “ในเดือนมีนาคมปีนี้ บุตรชายคนโตตระกูลเฉิง เฉิงเจี๋ย ชอบพอกับหญิงสามัญชนคนหนึ่ง แต่เพราะพ่อแม่ของนางคัดค้าน จึงสั่งให้ข้ารับใช้ทุบตีพ่อแม่ของนางจนตาย…”
“เดือนมกราคมปีนี้ เพื่อยึดเหมืองตระกูลหลี่เป็นของตน ตระกูลเฉิงใช้อำนาจป่าเถื่อนบุกโจมตีตระกูลหลี่ในเวลากลางคืนแล้วสังหารคนในตระกูลทั้งหมด…”
“ปีที่แล้วเดือนธันวาคม…”
“เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา…”
ทุกคนต่างตั้งใจฟังคำพิพากษาจากเฉินซูหลี่อย่างเงียบๆ พร้อมดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ แม้แต่ฉางห่าวกับฉางเฉียนเฉียนเองก็ยังเงียบไปด้วยเช่นกันหลังได้รู้กิตติศัพท์อันเลื่องลือของคนตระกูลนี้