บทที่ 177 ฝึกวรยุทธ์
ฉินชิงนอนอยู่บนเก้าอี้มองไปที่ลานตำหนักจงชุ่ย อุ้มเสวี่ยถวนพลางอาบแดดไปด้วย อยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่ตนต้องฝึกวรยุทธ์เมื่อสองวันก่อน
อยู่ๆ ก็เริ่มสนใจขึ้นมา ดังนั้นจึงให้หยินผิงทำความสะอาดลานตำหนักจงชุ่ย จากนั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะดวกต่อการเคลื่อนไหว วางแผนเริ่มฝึกวรยุทธ์
ฉินชิงคิดจะเคลื่อนไหวร่างกายเป็นครั้งแรก ถึงอย่างไรตนก็ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์มานานมาก ตลอดทั้งฤดูหนาวก็อยู่แต่ในตำหนัก ตอนนี้ร่างกายยังไม่ขยายออก จะดีที่สุดคืออย่าเพิ่งขยับมากเกินไป เพราะมันจะบาดเจ็บได้ง่ายมาก
ทุกกระบวนท่าของวิชาดาบลั่วอิงนั้นมันทั้งประณีตและสวยวิจิตรทำให้คนมองรู้สึกตาพร่ามัว ดังนั้นบางการเคลื่อนไหวก็ง่ายที่จะทำให้เคล็ดหรือบาดเจ็บได้
ร่างกายต้องเคลื่อนไหวในระดับหนึ่งจึงจะสามารถออกกระบวนท่าเหล่านั้นได้ และฉินชิงเองก็ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์มานานแล้ว ควรจะอุ่นร่างกายก่อนถึงจะปลอดภัย
ดังนั้น ฉินชิงจึงยังไม่ฝึกวรยุทธ์ที่ต้องออกกระบวนท่าหนักๆ แต่คิดจะไปฝึกกระบวนท่าพื้นฐานก่อน
แม้จะบอกว่าเป็นกระบวนท่าขั้นพื้นฐาน แต่ฉินชิงก็ยังรู้สึกว่าร่างกายทรมาน เรี่ยวแรงไม่เพียงพอ
หลังจากฝึกวรยุทธ์เสร็จไปหนึ่งชุด ฉินชิงก็มีเหงื่อเต็มตัว
"ยังต้องฝึกฝนเพิ่มกว่านี้จริงๆ"
ฉินชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนกาย ดื่มน้ำที่หยินผิงเอามาให้
พักผ่อนสักพัก ฉินชิงก็รู้สึกดีขึ้นมาก
ดังนั้นฉินชิงจึงคิดจะฝึกวรยุทธ์ต่อ ฝึกมากกว่าสองครั้ง พรุ่งนี้ก็คงจะดีขึ้นมาก แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงอาการปวดเอวไม่ได้ แต่ตราบใดที่ยังยืนหยัด ฉินชิงก็เชื่อว่าตนยังสามารถกลับไปถึงระดับเดิมได้
ถึงอย่างไรระดับของนางก็ไม่นับว่าสูงมาก แค่ถือว่าอยู่ในระดับธรรมดาทั่วไป คิดจะฟื้นฟูจึงค่อนข้างง่ายมาก
เมื่อฝึกออกกระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง ฉินชิงก็คิดว่าร่างกายของตนเริ่มจะคล่องแคล่วมากขึ้น
ฉินชิงไม่รีบร้อนไปฝึกดาบ นางรู้ว่าการวางรากฐานให้ดีอย่างค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น เมื่อถึงเวลาฝึกขึ้นมาจะได้ชำนาญ ไม่อย่างนั้นก็คงเหนื่อยและเสียแรงเปล่า
แต่ขณะที่ฉินชิงกำลังฝึกฝนวรยุทธ์ กลับนึกถึงสนามฝึกซ้อมที่เหลียงอี้บอกนางก่อนหน้านี้
ถ้าไปที่นั่นได้ละก็คงจะดีกว่าฝึกอยู่ในตำหนักจงชุ่ยไม่น้อย
คิดถึงตรงนี้ ฉินชิงก็ตัดสินใจให้จิ่นซิ่วนำขนมไปมอบให้เหลียงอี้ และให้จิ่นซิ่วช่วยนำความไปบอกว่าตนอยากจะไปสนามฝึกซ้อมในวันพรุ่งนี้ ถามเหลียงอี้ว่าว่างหรือไม่
ตำหนักเซวียนเจิ้งในตอนบ่าย
เหลียงอี้กำลังตรวจฎีกา ก็เห็นจิ่นซิ่วเข้ามา
"ของเอาไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวเจิ้นกิน"
จิ่นซิ่วทำความเคารพ จากนั้นก็พูดว่า
"ฝ่าบาท พระสนมของพวกเราอยากถามพระองค์ว่า พรุ่งนี้ว่างหรือไม่ พระสนมของพวกเราอยากไปดูสนามฝึกซ้อมเพคะ"
เมื่อจิ่นซิ่วพูดมาถึงตรงนี้ เหลียงอี้ก็นึกถึงสัญญาที่ตนให้กับฉินชิงไว้ว่าจะไปที่สนามฝึกซ้อมเป็นเพื่อนนาง ดังนั้นจึงตอบว่า
"ไปบอกเหนียงเหนียงของพวกเจ้า พรุ่งนี้เช้าหลังประชุมเช้าเสร็จแล้วเจิ้นมีเวลา มารอเจิ้นที่หน้าประตูตำหนักเซวียนเจิ้งแล้วกัน"
"เพคะฝ่าบาท เช่นนั้นบ่าวขอทูลลา"
และในเวลานี้ฉินชิงที่ยังฝึกร่างกายอยู่ได้รู้ข่าวนี้ก็รู้สึกดีใจ และตะลึงเล็กน้อย
ต้องเป็นตอนเช้าอีกแล้ว ฉินชิงไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบเลือกตอนเช้าขนาดนี้ แต่ฉินชิงรู้ว่าถ้าอยู่ในช่วงเวลาหลังเลิกประชุมก็อยู่ประมาณสิบโมงเช้า
เวลาประชุมเช้าของต้าเหลียง ไม่ได้ผิดปกติเหมือนราชวงศ์ชิงคือตอนตีห้าหรือหกตอนเช้า แต่ช้ากว่าราชวงศ์ชิงเล็กน้อย คือตอนแปดโมงเช้า
ประชุมเช้ากินเวลาไปสองชั่วโมง หรือตามเวลาจีนโบราณคือหนึ่งชั่วยาม เช่นนั้นฉินชิงก็จะรอเหลียงอี้ที่หน้าประตูตำหนักเซวียนเจิ้งตอนสิบโมงเช้า
เมื่อคำนวณเช่นนี้แล้ว เหมือนว่าเวลาก็ใกล้เคียงแล้ว ตนตื่นนอนตอนแปดโมงเก้าโมงเช้า ล้างหน้า บ้วนปาก กินข้าวแล้วรีบไป ก็น่าจะตรงกับสี่โมงเช้าพอดี
พอคิดได้เช่นนั้น จู่ๆ ฉินชิงก็รู้สึกว่าเหลียงอี้คงจะรู้จักตน ไม่ได้กำหนดเวลาไว้ที่เจ็ดโมงแปดโมงเช้า
แต่ถึงอย่างนั้น ต่อให้เหลียงอี้กำหนดเวลาไว้ที่เจ็ดโมงแปดโมงเช้ามันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะเขาก็ยังต้องเตรียมตัวไปประชุมเช้าอยู่ดี
แม้ว่าเหลียงอี้จะรีบเร่งจากตำหนักเซวียนเจิ้งไปท้องพระโรงเพื่อประชุมเช้า ก็ยังต้องตื่นตั้งแต่หกโมงกว่าๆ เพื่อเตรียมตัว
หลังจากฉินชิงคิดเช่นนั้นแล้ว นางก็เงียบไปชั่วขณะเพื่อไว้อาลัยให้เหลียงอี้
จากนั้นก็ไปที่ห้องหนังสือเพื่อเตรียมชุดและดาบที่จะเอาไปในวันนี้ ฉินชิงรู้สึกว่าตนยังสนใจกิจกรรมเช่นนี้อยู่มาก
มันไม่เหมือนกับงานเลี้ยงพระราชวังอะไรทำนองนั้น ทุกครั้งก็มีแต่อะไรเดิมๆ อีกทั้งกุญแจสำคัญของงานเลี้ยงก็ยังเป็นการร้องรำทำเพลงซึ่งมันดึงดูดความสนใจของฉินชิงไม่ได้เท่ากับการไปฝึกวรยุทธ์
เมื่อเห็นฉินชิงอารมณ์ดี หยินผิงจึงแอบกระซิบกับหยินซั่นเบาๆ
"ถ้าเกิดว่าเหนียงเหนียงตั้งใจเลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับแบบนี้ เหนียงเหนียงต้องเป็นสนมที่งดงามที่สุดในงานเลี้ยงพระราชวังแน่นอน"
เมื่อหยินซั่นได้ยินหยินผิงกล่าวเช่นนั้นก็แอบหัวเราะ จากนั้นก็พูดกับหยินผิง
"คำพูดพวกนี้เจ้าไม่ต้องไปพูดกับเหนียงเหนียงเลยนะ เจ้าควรจะปรับเปลี่ยนบอกว่าเหนียงเหนียงเป็นคนที่งามที่สุดในงานเลี้ยงพระราชวังต่อให้นางจะแต่งตัวเบาๆ "
เมื่อหยินผิงได้ยินหยินซั่นกล่าวเช่นนั้นก็เหมือนได้เปิดประตูบานใหม่ มองหยินซั่นด้วยสายตาประหลาดใจ
"หยินซั่นเอ๊ยหยินซั่น เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกันอยู่ด้วยกันมาก็หลายปีแล้ว แต่เจ้ากลับแอบทำอะไรลับหลังข้า พูดมา เจ้าไปเรียนวิชาประจบประแจงเช่นนี้มาจากใครกันแน่"
หยินผิงหาจุดอ่อนของหยินซั่นแล้วเริ่มจั๊กจี้นางทันที
"ฮ่าๆ...ฮ่าๆๆ หยินผิงเจ้าอย่าวุ่นวายสิ ระวัง...เหนียงเหนียงจะเห็นนะ"
ในฐานะพี่น้องที่โตมาด้วยกัน หยินผิงรู้จักหยินซั่นเป็นอย่างดี รู้ว่าจุดไหนที่ทำให้หยินซั่นหัวเราะได้และหัวเราะไม่หยุด
ในเวลานี้ ฉินชิงกำลังมองหาชุดที่สวมแล้วสะดวกในการเคลื่อนไหวที่จะใส่ไปในวันพรุ่งนี้ เมื่อได้ยินเสียงของหยินผิงและหยินซั่น นางจึงถามขึ้นมาว่า
"เกิดอะไรขึ้นข้างนอก? ทำไมพวกเจ้าสองคนถึงดูมีความสุขขนาดนี้"
หยินผิงหยุดทันทีที่ได้ยินเสียงของฉินชิง แล้วตอบฉินชิงที่อยู่ด้านใน
"เหนียงเหนียง หม่อมฉันและหยินซั่นกำลังหยอกล้อกันเล่นอยู่เพคะ เลยทำให้หยินซั่นหัวเราะไม่หยุดเช่นนี้"
"หยอกล้ออะไรถึงได้หัวเราะขนาดนั้น พูดให้ข้าฟังหน่อยสิ"
"เหนียงเหนียง แมวดำตัวหนึ่งช่วยแมวขาวขึ้นมาจากแม่น้ำ ท่านรู้หรือไม่ว่าหลังจากนั้นแมวขาวพูดอะไรกับแมวดำ? มันพูดว่า 'เหมียว' เพคะ"
หลังจากฉินชิงได้ยินหยินผิงพูดเช่นนั้นก็หัวเราะ
"ถือว่าเป็นเรื่องเล่าที่ตลกดี ข้ายังคิดว่าเจ้าเล่นมุขเฝื่อนๆ อะไรแบบนั้นทำให้หยินซั่นหัวเราะซะอีก"
"เหนียงเหนียง บ่าวเองก็ต้องปรับปรุงนะเพคะ ถ้าเอาแต่เล่าเรื่องตลกที่ทำให้หยินซั่นหัวเราะคนเดียวตลอด มันก็ไม่ใช่เรื่องตลกแล้ว บ่าวคิดว่าเรื่องตลกดีๆ ต้องสามารถทำให้ทุกคนหัวเราะได้อะไรแบบนั้นเจ้าค่ะ "
"เช่นนั้นเจ้าก็ต้องฝึกให้มากๆ เรื่องตลกของเจ้าตอนนี้ไม่อาจทำให้ทุกคนหัวเราะได้"
"บ่าวจะฝึกให้มากเพคะ ต้องมีสักวันที่เรื่องตลกของบ่าวจะสามารถทำให้ทุกคนหัวเราะได้"
"แต่ก่อนอื่นเจ้าอย่าเพิ่งเล่าเรื่องตลกให้หยินซั่นฟังข้างนอก เข้ามาช่วยหาชุดให้ข้าหน่อย ก่อนหน้านี้ข้าเคยใส่สีเขียวเข้มแล้ว จำได้ว่ามันใส่แล้วสบายมาก ทำไมหาไม่เจอแล้ว"
"จะเข้าไปเดี๋ยวนี้เพคะ"