บทที่ 69 ผู้มาเยือน
บทที่ 69 ผู้มาเยือน
เสินอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเก็บสายตาของเขากลับมา
แม้ว่าการบ่มเพาะกายเนืื้อจะสำคัญ
แต่ก่อนที่จะฝึกฝน เขาต้องหาทางเรียนรู้วิชาประเภทเดียวกันเพิ่มเติมก่อน และพยายามสะสมประสบการณ์
วิชาระดับนี้ไม่น่าจะขาดแคลนในแผนกปราบปีศาจ เขาสามารถแลกเปลี่ยนมันได้ด้วยผลงาน เพียงแค่เขาเรียนรู้เพิ่มเติมอีกสักสองสามวิชา การฝึกฝนก็จะประหยัดเวลามากขึ้น
เหมือนกับวิชาหลอมสุริยาสายฟ้าวายุ ที่แบ่งเป็นสามระดับบนกลางล่างตามจำนวนจุดเฉียวที่เชื่อมต่อ
เสินอี้คิดว่าวิชาอื่น ๆ น่าจะมีการแบ่งประเภทที่คล้ายคลึงกัน
ส่วนวิชา'ตัดชีพจรจับมังกร' และ 'ผสานสี่เที่ยงแท้' วิชาเหล่านี้ที่ส่งต่อโดยท่านแม่ทัพ เพียงแค่เชี่ยวชาญหนึ่งในนั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับนักล่าปีศาจอย่างหลินไป๋เวยจะสร้างชื่อเสียงในชิงโจว
แม้มันจะอยู่เพียงขอบเขตวารีหยก แต่มันก็เป็นวิชาขั้นสูงสุดจริงๆ
เสินอี้คิดว่าในขอบเขตเดียวกัน มันไม่น่าจะมีวิชาที่เหนือกว่านี้อีกแล้ว
แม้ว่าจะมี แต่ด้วยสถานะของเขาตอนนี้ก็คงไม่สามารถเข้าถึงได้
การที่เสินอี้ปฏิเสธความหวังดีของหลี่มู่จิง เหตุผลแรกคือเขาไม่ต้องการยุ่งยาก และไม่ต้องการฝากชีวิตไว้กับตระกูลที่ไม่รู้จัก
ดูนางพูดตอนนี้อะไรก็ดูดีไปหมด
เมื่อเขาเข้าร่วมแล้ว แหล่งข้อมูลและวิชาอาจแบ่งปันให้เขาบ้าง แต่เมื่อตระกูลมีปัญหา เขาก็ต้องต่อสู้จนตัวตายเช่นกัน
ตระกูลหลี่ไม่ใช่เจ้าเมืองไป๋อวิ๋น ถ้าเขาต้องไปเป็นผู้พิทักษ์ตระกูลจริงๆ พวกเขาคงมีวิธีควบคุมโดยเฉพาะแน่นอน
การเอาชีวิตไปแลกกับอนาคต เสินอี้ชอบอยู้ในแผนกปราบปีศาจมากกว่า
จากที่เห็นมา มีเพียงวิธีเดียวที่จะเลื่อนตำแหน่งในแผนกปราบปีศาจ นั่นคือการสังหารปีศาจและสะสมผลงาน
ไม่มีอะไรซับซ้อน และเหมาะกับใจเขามากกว่า
ตราบใดที่เขาสะสมผลงานได้มากพอ สมบัติใดๆ ก็ล้วนได้มาด้วยความสามารถ และเขาจะรู้สึกสบายใจถ้าต้องใช้มัน
ส่วนเหตุผลข้อสอง...
วิชาบางอย่างที่เสินอี้ต้องการ ตระกูลหลี่อาจให้ไม่ได้ หรือไม่เต็มใจให้
แม้แต่ "วิชาผสานสี่เที่ยงแท้" ก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นวิชาที่ร้ายกาจยิ่งขึ้นอย่าง "เทียนกังโลหิต"ในมือของเขา วิชาดาบปราบปีศาจยังพัฒนาจากวิชามนุษย์ทั่วไป จนกลายเป็นวิชาขอบเขตวารีหยกที่ไม่ด้อยไปกว่าสุดยอดวิชาทั้งห้า
สิ่งที่เสินอี้ต้องการคือ การผสมผสานจุดเด่นจากหลายสำนักเข้ากับพรสวรรค์ของปีศาจ เพื่อพัฒนาเป็นวิชาปีศาจขั้นสูง
และหากพูดถึงจุดเด่นจากหลายสำนัก ใครจะสู้ "คนดี" อย่าง "แผนกปราบมาร" ได้อีก
ขนาดอดีตสำนักใหญ่ของชิงโจวอย่างสำนักซ่งเหอ(สำนักกระเรียนสน) เป็นตัวอย่าง พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับปีศาจ เลยถูกสังหารล้างสำนัก แม้แต่โอสถเปิดชีพจรที่เป็นสมบัติสุดยอดของสำนัก ก็ยังเปลี่ยนเป็นโอสถเปลี่ยเส้นลมปราณในมือของแผนกปราบปีศาจ!
และยังมีกรณีของสามสำนักใหญ่ พวกเขาถูกทหารจากศิษย์แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหยูซานกวาดล้าง ย่อมเป็นธรรมดาที่วิชาของพวกเขาจะเปลี่ยนชื่อและรวมเข้ากับแผนกปราบมาร
พูดอีกอย่าง
เว้นแต่จะเป็นวิชาที่เกี่ยวกับขอบเขตควบแน่นตัน วิชาธรรมดาอื่นๆ ไม่ได้ให้ประโยชน์กับเสินอี้มากนัก
แล้ววิชาขอบเขตควบแน่นตันตระกูลหลี่มีหรือไม่? ... และพวกเขาจะเต็มใจให้เสินอี้หรือไม่? และถ้าให้... เขาต้องแลกกับอะไร?
เขาไม่อยากเอาตัวเข้าไปเสี่ยงในตระกูลหลี่เพราะเหตุผลนี้ งั้นสิ่งที่เขาต้องทำ คือ พยายามทำงานหนักในแผนกปราบปีศาจ ค่อยๆ สะสมผลงานให้เพียงพอที่จะแลกวิชาขอบเขตควบแน่นตัน
และที่เรื่องสำคัญที่สุด ระวังอย่าโดนปีศาจตัดหัว!
หากเขามีอายุขัยปีศาจมากพอ เขาอาจพิจารณากลั่นอายุขัยเพื่อใช้ผลึกปีศาจมาช่วยในการฝึกฝนก็เป็นได้
【อายุขัยปีศาจที่เหลือ: แปดร้อยเก้าสิบเอ็ดปี】
อือ… ขาดแค่อายุขัยระดับปีศาจสุนัขขนเหลืองเท่านั้นก็จะครบพันปี
เสินอี้ปิดแผงระบบ จู่ๆ เขาก็นึกถึงจางถูหูขึ้นมา
“จางถูหูยังไม่เสร็จธุระอีกงั้นเหรอ?”
เสินอี้จำได้ว่าตอนที่เขาเพิ่งมาถึงชิงโจว อีกฝ่ายกระโดดลงจากรถม้าและไปหาคนรักเก่าของเขา จากเวลานั้นนั้นก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว เสินอี้ยังไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ จากจางถูหูเลย
ไม่ใช่ว่าเขาถูกเจ้าสำนักวัชระจับมัดไว้หน้าพระพุทธรูปหรอกนะ?
หากมีอีกฝ่ายอยู่ เขาสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการบ่มเพาะกายเนื้อได้
เสินอี้ส่ายหน้า แล้วเดินออกจากประตู
อาศัยแสงจันทร์ที่มืดมิด เขายืนอยู่กลางลานบ้าน โดยออกกระบวนท่า 'หมัดทะยานไล่เมฆา' ที่เรียบง่ายที่สุด เพื่อทำความคุ้นเคยกับร่างกายนี้ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ด้วยพื้นฐานบ่มเพาะขอบเขตวารีหยกขั้นสมบูรณ์ การที่เสิ้นอี้จะควบคุม 'พลังเจียวปีศาจ' ทั้งหมด เขาอาจใช้เวลาเพียงสองถึงสามวัน
เขาร่ายรำเพลงหมัดจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น
เขาเก็บหมัดอย่างไม่รีบร้อน จิตวิญญาณยังคงรู้สึกสดชื่น...
เมื่อตอนที่ก้าวเข้าสู่ร่างกายมนุษย์สมบูรณ์แบบ ความอยากต่ออาหารธรรมดาก็ลดลงมาก และเมื่อเขาอยู่ขอบเขตวารีหยกขั้นสมบูรณ์ ความรู้สึกอยากนอนก็ไม่ค่อยมี
เสินอี้รู้สึกว่าเขาสามารถควบคุมพลังได้เบื้องต้นแล้ว จึงกลับไปที่ห้อง และหยิบเสื้อผ้าเก่าออกมาซักน้ำให้สะอาด
เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว เขาก็ใช้ออร่าความร้อนจากวิชาหลอมสุริยาสายฟ้าวายุ เพื่อทำให้เสื้อคลุมแห้งอย่างรวดเร็ว
เขาพับเสื้อผ้าแล้วเดินไปที่โถงกิจการภายนอก
ทันทีที่เขาออกจากประตูลานบ้าน เขาเห็นเสี่ยวเว่ยสองคนที่มีสีหน้าไม่สู้ดี คนหนึ่งดูเหมือนจะเคยเห็นเสินอี้ เลยยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ "ขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าที่ได้เลื่อนตำแหน่ง เมื่อวานข้าน้อยก็อยู่ที่โถงกิจการภายนอกเช่นกัน"
เมื่อได้ยินดังนั้น อีกคนก็เงยหน้าขึ้น มองด้วยความอิจฉาแต่ไม่เคียดแค้น
ทั้งหมดล้วนเป็นผลงานที่ได้มาจากการต่อสู้กับปีศาจ สิ่งที่ราชสำนักให้ พวกเขาต้องใช้ชีวิตเข้าแลก
"ท่านไปทำงานกับใต้เท้าหลี่หรือไม่? ข้าน้อยได้ยินว่าใต้เท้าหลี่ได้รับบาดเจ็บและต้องพักฟื้น ท่านนี่ช่างโชคดีจริงๆ... เอ่อ ข้าน้อยไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ"
เสี่ยวเว่ยตัวเตี้ยอีกคนยิ้มอย่างขมขื่น เขาโบกมืออธิบายว่า "พวกเรา... พวกเราไม่ได้มีโอกาสได้พักง่ายๆ น่ะ"
"พัก?"
เสินอี้ถือเสื้อผ้าเก่าอยู่ในมือ พยักหน้าตอบ แต่มีความสงสัยในแววตา
"เอ่อ.. คือ ข้าน้อยได้ยินว่าใต้เท้าหลี่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงหมอ ถ้าไม่มีเขาคุมทีม โถงกิจการภายนอกก็จะไม่ส่งงานให้ท่าน เพราะเหตุนี้ท่านเลยได้พักสักระยะไม่ใช่เหรอ?" เสี่ยวเว่ยตัวเตี้ยพูดอธิบายอย่างตะกุกตะกัก
"ที่สำคัญ ขุนพลคนอื่นไม่ค่อยเลือกคนจากใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าหลี่ ท่านก็พักผ่อนให้สบายเถอะ"
เมื่อได้ยินดังนั้น เสินอี้ก็เข้าใจ
สำหรับขุนพลคนอื่นๆ โถงกิจการภายนอกคือที่ส่งงาน แต่หลี่ซินฮั่นสามารถเลือกได้อย่างอิสระ แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่ลูกน้องของเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกส่งไปเป็นแนวหน้าโดยขุนพลที่ไม่รู้จัก
นี่คือเรื่องดี แต่เสินอี้รู้สึกพูดไม่ออก ดูเหมือนว่าเรื่องสังหารปีศาจเก็บอายุขัย และกลั่นผลึกปีศาจคงต้องเลื่อนออกไปก่อน
"ข้าน้อยยังมีธุระ ขอลา"
สองเสี่ยวเว่ยรีบขอตัวและจากไป เมื่อเดินไปสักระยะ เขาก็บ่นพึมพำว่า "ไอ้พวกสารเลวค่ายในนั่น พวกเราสู้ตายกับปีศาจอยู่ข้างนอก ข้าไม่เคยเห็นพวกมันช่วยสักคน! พอกลับมาส่งงานยังต้องดูสีหน้าพวกมันอีก ตอนนี้ถึงตาพวกมันขาดคนทำงานบ้าง พวกมันก็มาเอาคนจากพวกเราไป!"
"พอเถอะ! พูดไปก็เท่านั้น ใครใช้ให้บิดาไม่แซ่หลี่ล่ะ? พวกเราเป็นแค่คนต่ำต้อยในหน่วย... เราก็ยอมสักหน่อยเถอะ ถ้าเจ้าแข็งแกร่งเท่าชายคนนั้น เจ้าก็ไปเกาะขาตระกูลหลี่ได้แล้ว! "
ทั้งสองเดินเข้าไปในบ้านพักอย่างช้าๆ
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าตอนนี้เสินอี้มีหูทิพย์ ได้ยินเสียงนินทาของพวกเขาอย่างชัดเจน
"..."
เขายังไม่ทันทำอะไร จู่ๆ ก็โดนหางเลขเฉยเลย!
แน่นอนว่าเสินอี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ แค่รู้ว่าควรอยู่ตรงไหนก็พอ และไม่เอาของที่ไม่ควรเอา ไม่คิดอะไรที่ไม่ควรคิด...
เมื่อมีความแข็งแกร่งเพียงพอ ต่อให้เป็นน้ำที่ขุ่นมัวก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว
เขาทำใจให้สงบ ออกจากบ้านพัก แล้วนำเสื้อผ้าเก่าไปส่งที่โถงกิจการภายนอก
“ตำราหลอมสุริยาสายฟ้าวายุข้ายังฝึกฝนไม่คล่อง หลังจากนี้ข้าค่อยคืนแล้วกัน” เสินอี้รู้ดีว่าที่นี่ไม่ใช่เมืองไป๋อวิ๋น บางเรื่องควรปกปิดไว้บ้างจะดีกว่า หากทำจนเป็นที่ฮือฮา กลัวว่าจะถูกคนมีใจคิดไม่ดีจับจ้อง
"ไม่เป็นไร แค่อย่าทำหายก็พอ" เสี่ยวเว่ยสองคนพยักหน้าด้วยท่าทางเย็นชา
เสินอี้ออกจากโถงกิจการภายนอก แล้วมุ่งหน้าไปที่โรงอาหารของแผนกปราบปีศาจ
ที่นี่มีเพียงโต๊ะไม้และม้านั่ง อาหารก็ไม่มีให้เลือก
เสินอี้เพิ่งนั่งลง พนักงานก็ยกถาดใหญ่มาหกถาด
ปลานึ่งซีอิ๊ว เนื้อสามชั้นตุ๋นพร้อมน้ำจิ้ม ผักสดสามชนิดราดด้วยน้ำมันเล็กน้อย
"ท่านเสี่ยวเว่ยรับประทานช้าๆ นะขอรับ ถ้าหมดแล้วเรียกข้าน้อยได้"
พนักงานเด็กหนุ่มยกถังข้าวมาอีกถัง
เสินอี้มองดูอาหารเต็มโต๊ะ อาหารมื้อนี้ดูหรูหราฟุ่มเฟือยดี แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ทำเพียงแค่กินมันให้อร่อยก้พอ
คนเหล่านี้ล้วนเป็นทหารที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อปกป้องผู้คน อาหารดีๆ ก็สมควรแล้วที่ถูกจัดมาให้
ไม่นานอาหารบนโต๊ะก็เกลี้ยง
เขาถอนหายใจยาวๆ เดินกลับบ้านพักอย่างสบายอารมณ์
หน้าประตูบ้านพัก...
ร่างสูงใหญ่ล่ำสันกำลังมองไปรอบๆ ด้วยสายตาเต็มไปด้วยอารมณ์