ตอนที่ 94 ยอมจํานนต่ออีกฝ่ายด้วยใจ
“ได้ยังไง…”
“คุณที่ยังเด็กขนาดนี้ จะวาดผลงานแบบนี้ออกมาได้ยังไง?”
คนที่พูดคราวนี้เป็นผู้หญิงชุดแดงคนนั้น
หลังจากเธอเห็นภาพวาดที่ ซูเหวิน ได้วาดเสร็จแล้ว เธอถึงกับชะงักค้างไปครู่หนึ่ง
เธอ เฉิน เชี่ยนเชี่ยน ชอบวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก
เธอยังแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ด้านการวาดภาพที่ดีเยี่ยมมาตั้งแต่เด็ก
เมื่อตอนเธออายุสิบขวบ เธอเคยได้เข้าร่วมประกวดวาดภาพเยาวชน และได้รับรางวัลชนะเลิศมา
ตอนนี้เธออายุเพียงสามสิบสองปี ระดับของเธอก็ใกล้เคียงกับอาจารย์แล้ว
แม้แต่อาจารย์ท่านก็ยังชื่นชมในพรสวรรค์ของเธอ
ดังนั้นเธอจึงรู้สึกภูมิใจในพรสวรรค์ด้านการวาดภาพของตัวเองมาโดยตลอด
แต่วันนี้ ซูเหวิน.. ได้แสดงพรสวรรค์ที่เหนือกว่าเธอมาก
เขาตอนนี้ดูอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น แต่เขากลับวาดภาพในระดับปรมาจารย์ออกมาได้
นั่นมันคือสิ่งที่น่าตกใจแค่ไหน น่าเหลือเชื่อแค่ไหน?
“ฮ่าฮ่า, ฮ่าฮ่าฮ่าๆ! !”
“ดี ดีจริงๆ!”
“มันช่างเป็นเรื่องจริงที่ว่า.. คนที่มีความสามารถเกิดขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น คลื่นลูกใหม่ผลักคลื่นลูกเก่า ยุคสมัยย่อมแกร่งขึ้นในทุกยุค”
“น้องชาย ฉันแพ้แล้ว”
“คุณพูดถูก ภาพวาดนี้คุณวาดได้ดีกว่าฉันจริงๆ คุณก็ทําให้ฉากภาพเบลอ และผลลัพธ์ที่ออกมามันยอดเยี่ยมกว่ามาก…”
ทันใดนั้น ชายชรา ก็หัวเราะ และพูดคุยออกมาสองสามคำหลังจากที่ที่ตกใจไปในตอนแรก
สำหรับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่วาดผลงานชิ้นเอกที่แม้แต่เขาก็ไม่สามารถวาดได้จะให้เถียงอะไรได้อีกล่ะ?
เขายอมรับว่าตัวเองพ่ายแพ้แล้ว และยอมจํานนต่ออีกฝ่ายด้วยใจ
เพราะไม่ว่าจะด้วยวัย หรือเทคนิค มันเห็นได้ชัดว่าเขาได้พ่ายแพ้ต่ออีกฝ่าย
“ชมกันเกินไปแล้วครับ ผมเองมีความเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และนี่ยังถือได้ว่าแสร้งทำต่อหน้าปรมาจารย์แล้ว”
เมื่อเผชิญหน้ากับคําชมของ ชายชรา ซูเหวิน กลับยิ้มอย่างสงบ แล้วพูดอย่างช้าๆ
เขาไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้น หรือความภาคภูมิใจมากนัก
ยังไงเขาก็รู้ตัวเองดีว่า.. เหตุผลที่เขาเก่งได้ขนาดนี้ เพราะเขามันคือตัว ‘บั๊ก (Bug)’
ซึ่งหากเอาเข้าจริงๆ แล้วตัวเขาเทียบไม่ได้เลยกับพรสวรรค์ของคนอื่น
อย่างไรก็ตาม มันจะดีกว่าที่จะไม่พูดแบบนี้ออกไป
พอทันทีที่เขาพูดแบบนี้ออกไป ชายชรา กับผู้หญิงชุดแดงคนนั้นก็ แทบจะอาเจียนเป็นเลือด
อะไรคือ ความเข้าใจเพียงเล็กน้อย?
มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร ถ้าคุณมีความเข้าใจเพียงเล็กน้อย แต่กลับวาดภาพที่มันเหนือชั้นแบบนี้ออกมาได้?
แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริง.. พวกเขามันนับเป็นอะไรได้?
ขยะ.. งั้นเหรอ?
“น้องชาย อย่าได้ถ่อมตัวเลย”
“ฉันแพ้ก็คือแพ้ และคุณไม่จำเป็นต้องหาทางลงให้ฉัน”
“ฉันแค่อยากจะถามคุณว่า คุณวาดภาพมากี่ปีแล้ว? คุณเป็นจิตรกรมืออาชีพด้วยหรือเปล่า?”
ชายชรา มองไปที่ ซูเหวิน และถามด้วยความสงสัย
“ไม่เลยครับ ผมเป็นแค่นักศึกษามหาลัย กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทียนเวย”
“ผมแค่มีความสนใจในการวาดภาพเล็กน้อยตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเลยพอศึกษา ลองหัดวาดภาพเล่นอยู่บ้างเป็นครั้งคราว”
เมื่อได้ยินคำถามของ ชายชรา ซูเหวิน กล่าวตอบกลับอีกฝ่ายอย่างสงบ
และเหตุผลที่เขาพูดแบบนี้แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้ตัวเองแสดงออกเกินจริงจนเกินไป
เขาไม่สามารถพูดได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาวาดภาพ ถูกต้องไหม?
แล้วหากพูดไปเช่นนั้นจะทำให้คนอื่นเชื่อได้อย่างไร?
และสิ่งที่ ซูเหวิน ไม่รู้ก็คือ แม้เขาจะพูดออกไปอย่างนั้น
สำหรับคนอื่นแล้ว มันกลับฟังดูออกจะแฟนตาซีเกินไปจริงๆ
เพราะคนอื่นที่ฟังแล้วมันไม่ต่างอะไรจากเรื่องเพ้อฝัน
ชายชรา และผู้หญิงชุดแดงมองหน้ากัน
พวกเขาต่างเห็นความตกใจในสายตาของกัน และกัน
โอ้.. พระเจ้า นี่มันพรสวรรค์แบบไหนอะไรกันเนี่ย?
ทำแค่ศึกษาค้นคว้า ลองหัดวาดภาพบ้าง โดยไม่ได้เข้าเรียนการสอนทางศิลปะอย่างเป็นทางการ ก็สามารถไปถึงระดับนี้ได้?
นี่เป็นเพียงปาฏิหาริย์ในปาฏิหาริย์แล้ว
“ช่างเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในวงการวาดภาพจริงๆ เหลือเชื่อ เหลือเชื่อจริงๆ!”
สักพักชายชราก็ฟื้นจากความตกใจ
เขามองไปที่ ซูเหวิน แล้วพูดต่อว่า : “พ่อหนุ่ม คุยกับคุณมานานขนาดนี้แล้ว ฉันยังไม่รู้จักชื่อของคุณเลย สามารถบอกแก่ชายชราคนนี้ได้ไหม?”
“และพรสวรรค์ในการวาดภาพของคุณแข็งแกร่งมาก คุณเคยคิดที่จะเปลี่ยนมาเป็นจิตรกรมืออาชีพบ้างไหม? และคุณสนใจที่จะเข้าร่วมสตูดิโอวาดภาพของฉันหรือไม่?”
ชายชรา ถามอย่างมีความหวัง
ท้ายที่สุดแล้วคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาคืออัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้
พรสวรรค์ และเทคนิคแบบนี้ ถ้าไม่เป็นจิตรกรมืออาชีพ มันก็ถือได้ว่าสูญเปล่าจริงๆ
อีกทั้งมันยังถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการจิตรกรรมด้วยเช่นกัน
แต่น่าเสียดายที่ ซูเหวิน ไม่สนใจการวาดภาพ
ถ้าหากคุณบอกว่าว่างๆ ให้เขาวาดภาพบ้างเป็นครั้งคราวเขาก็โอเค
แต่หากจะให้เขาถือเรื่องนี้เป็นอาชีพ เขาไม่มีความอดทนถึงขนาดนั้น เขาจึงปฏิเสธตรงๆ ไปว่า : “เกรงว่าจะทําให้ อาจารย์จาง ผิดหวังแล้ว ผมสนใจการวาดภาพเป็นเพียงบางครั้งเท่านั้น”
“หากอยู่ว่างๆ วาดภาพสักภาพก็ได้อยู่ แต่ถ้าหากให้ผมถือเป็นอาชีพ ผมยังไม่คิดถึงเรื่องนี้ครับ”
ซูเหวิน กล่าวอย่างใจเย็น
เขาไม่อยากผูกอนาคตอันมีสีสันของตัวเองไว้กับเรื่องนี้
ทันทีที่เขาพูดจบชายชราก็หน้ามืดลง เขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
แต่ทุกคนต่างก็มีความทะเยอทะยานเป็นของตัวเอง เหตุผลข้อนี้เขาย่อมเข้าใจ
จากนั้นเขาก็ขอ VX จาก ซูเหวิน อีกครั้ง โดยต้องการเพิ่มเพื่อนเขา
เขายังขอให้ ซูเหวิน มาที่นี่ หากวันหนึ่งวันใดเขาเกิดสนใจก็มาเที่ยวชมได้ เขาพร้อมต้อนรับตลอดเวลา
ไม่มีทาง อัจฉริยะที่ไม่มีใครเหมือนเช่นนี้
ถ้าเขาสามารถมาที่สตูดิโอวาดภาพของเขา แล้ววาดภาพอีกภาพหนึ่งได้
สําหรับเพื่อน หรือลูกศิษย์ทุกคนในสตูดิโอวาดภาพของเขานั่นมันถือว่าคุ้มค่ามากๆ ที่จะเรียนรู้!
สําหรับเรื่องนี้ ซูเหวิน ไม่ได้คัดค้าน
ดังนั้นเขาจึงบอกหมายเลข VX ให้แก่อีกฝ่าย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้กลายเป็นเพื่อนกันแล้ว
ในขณะนี้ ระบบก็ได้ส่งเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นในใจ(หัว)ของ ซูเหวิน
“ติ๊ง!”
“ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่ทำภารกิจสำเร็จ และวาดภาพที่เหนือกว่า จาง เทียนหลิง ได้”
“รางวัลภารกิจ : ทักษะมวยหย่งชุน (มวยหวิงชุน, 咏春拳)”
“คำเตือนจากระบบ : มวยหย่งชุน เป็นหนึ่งในทักษะระดับสูงสุดของศิลปะการต่อสู้ระยะประชิด ไม่กลัวการต่อสู้เป็นกลุ่ม”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับสถานการณ์หนึ่งต่อสิบ ทักษะระยะประชิดของมันจะได้รับโบนัสชัยชนะเพิ่มขึ้น 120% ขอให้โฮสต์ใช้มันอย่างสมเหตุสมผล”
พอระบบพูดจบ ซูเหวิน ก็รู้สึกว่าเหมือนมีบางอย่างไหลเข้ามาในหัวของเขา
ทันใดนั้น ชุดทักษะ และเทคนิคต่างๆ ในการใช้ศิลปะการต่อสู้ชุดนี้ก็ไหลเข้าสู่สมองของเขาทันที และผสมผสานหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์
ให้ตายเถอะ นี่คือมวยหย่งชุน?
ซูเหวิน รู้สึกว่าเขามีความเข้าใจในวิธีการ ทั้งเชี่ยวชาญการเคลื่อนไหว และเทคนิคที่ยอดเยี่ยมละเอียดอ่อนมากมายนี้ได้ ..ในทันที
ซูเหวิน รู้สึกได้ว่าตัวเขาเองแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งแล้ว
ฮ่าๆ!
ดีมาก ดีมากๆ
ในเมื่อภารกิจสำเร็จลุล่วงแล้ว รางวัลก็ได้รับมาแล้ว
ซูเหวิน รู้สึกว่ามันสมควรแก่เวลาที่ต้องจากไปแล้ว
ทันใดนั้น เขามองไปที่ ชายชรา และคนอื่นๆ ก่อนจะพูดว่า : “อาจารย์จาง วันนี้ผู้เยาว์ได้หลอกตัวเองต่อหน้าคุณแล้ว ในเมื่อภาพวาดนี้ถูกวาดขึ้นเสร็จแล้ว ผมคิดว่าถึงเวลาที่ผมจะต้องจากไปแล้วครับ”
ซูเหวิน ยกยิ้ม แล้วพูดอย่างช้าๆ ออกไป
เพียงเพราะการวาดภาพนี้จึงล่าช้าไปเป็นเวลานาน เขาจึงไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปอีก
เมื่อเห็น ซูเหวิน พูดแบบนี้แล้ว ชายชรา ทำเพียงพยักหน้า แล้วยิ้มก่อนพูดว่า : “โอเค งั้นฉันจะเดินไปส่งพวกคุณ”
“โอ้.. ใช่แล้วๆ ภาพวาดนี้”
“ฉันจะขอให้ เสี่ยวเฉิน ใส่กรอบรูปให้คุณทันที เพื่อที่คุณจะได้นำมันกลับไปด้วย”
ชายชรา เหมือนจู่ๆ จะนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบพูดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ซูเหวิน กลับโบกมือ พร้อมปฏิเสธไปว่า : “ช่างเถอะ ภาพวาดนี้ถือว่ามอบเป็นของขวัญแก่คุณแล้วกัน ผมจะไม่เอามันกลับไป”
พอคําพูดนี้หลุดออกมา กลับทําให้ ชายชรา และคนอื่นๆ ถึงกับตกใจอีกครั้ง
“อะไรนะ... นี้... คุณไม่ได้มีความตั้งใจที่จะนำภาพนี้กลับไปด้วยหรือ?”
ชายชรา มีสีหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อเลย
แม้แต่ผู้หญิงชุดแดงก็มีสีหน้าเหมือนกัน
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ?” ซูเหวิน สับสน
“พี่น้องซู คุณต้องรู้ก่อนว่าภาพวาดของคุณนั้นไม่ธรรมดา มันมีมูลค่าสูงกว่าภาพวาดของฉันที่จัดแสดงอยู่ในหอพิพิธภัณฑ์”
“ถ้ามีคนสนใจภาพวาดนี้ของคุณ มันอาจขายได้หลายล้านก็เป็นไปได้ ที่นี่คุณเข้าใจถึงมูลค่าของมันหรือยัง?”
“ดังนั้นจะให้เราเก็บของมีค่าขนาดนี้ได้ยังไง? คุณเอามันกลับไปเถอะ!”
ชายชรา รีบพูดอย่างรวดเร็ว
แม้ว่า ชายชรา จะมีทัศนคติที่ค่อนข้างหยิ่ง แต่บุคลิกภาพของเขาก็ยังคงดีอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะจิตรกร เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าลิขสิทธิ์ของงานมีความสําคัญต่อตัวเองมากแค่ไหน
สําหรับ จิตรกร ท้ายที่สุด ..บางคนก็หาเลี้ยงชีพด้วยวิธีนี้
การขโมยผลงานของคนอื่นมาครอบครองเป็นของตนเอง หรือขโมยไป มันถือเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจที่สุด
อย่างไรก็ตาม ซูเหวิน ไม่สนใจในเรื่องนี้
เขายิ้มอย่างใจเย็น แล้วพูดว่า : “ไม่เป็นไรครับ ผลงานชิ้นนี้ถือเป็นความเคารพที่ผมมีให้ต่อคุณ อาจารย์จาง และผมมอบมันให้กับคุณแล้ว ทั้งยังอยากขอให้คุณโปรดรับมันเอาไว้ด้วยครับ”