Chapter 1007 ลาขาด อย่าพบกันอีกเลย
“เจ้านิกาย.”
เจียงเซี่ยที่ยืนอยู่นอกถ้ำ จิตสัมผัสที่แผ่ออกไป เอ่ยออกมาว่า“เจ้านั่นไปจริง ๆ แล้ว คงไม่กลับมาแน่.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “หัวใจของเขามีปม ค่อนข้างยากจะเข้าร่วมนิกายนิรันดร.”
“งั้นก็จับ ไปขังคุกให้เจาโตวโตวเทศสั่งสอนดีไหม?”เจียงเซี่ยเอ่ยแนะนำ.
“ไม่จำเป็น.”
จุนซ่างเซียว“คนที่ไม่มีใจ ข้าเองก็ไม่ต้องการ.”
ไต่ลู่ : ???
......
คืนนั้นในหุบเขาข้ามวิญญาณ ดูเหมือนว่าทั้งมืดและหนาว.
นายน้อยหยวนที่ก้าวเดินอย่างยากลำบาก แต่ก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย เพราะว่ามีสิ่งที่เขากังวลมากกว่านั้นก็คือเกรงว่าจุนซ่างเซียวจะตามมา.
เขาที่ก้าวออกมาจนถึงด้านนอกหุบเขา แต่ก็ไม่เห็นฝ่ายตรงข้าม ทำให้หายใจโล่งขึ้น.
อย่างไรก็ตาม.
ขณะนายน้อยหยวนยืนตรง กวาดตามองสภาพแวดล้อมที่มืดครึ้ม แววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย“จากนี้ข้าจะไปใหนล่ะ?”
เขาที่อาศัยอยู่นิกายราชันย์มารมาตลอด เป็นเหมือนกับครอบครัว ตอนนี้ผิดใจกันแล้ว แน่นอนว่าไม่สามารถกลับไปได้อีก.
“นายน้อย!”
ในเวลานั้น เสียง ๆ หนึ่งที่ดังขึ้น.
นายน้อยหยวนที่หันหน้ากลับไป เห็นชายชราชุดดำเดินกุมตูมเดินยักแย่ยักยัน เข้ามา พร้อมกับเอ่ยด้วยความประหลาดใจ“เหล่าหลิน เจ้ามาได้อย่างไร?”
เหล่าหลินเอ่ย “ไม่ว่านายน้อยจะไปที่ใหน ข้าสาบานว่าจะตามไปจนถึงขอบนรก!”
หลังจากที่นายน้อยหยวนถูกจุนซ่างเซียวเอาตัวไป เขาก็ลอบตามออกมาเงียบ ๆ.
เจ้านิกายราชันย์มารไม่ไว้ใจนายน้อยแล้ว คงยากจะกลับมาเชื่อใจ การที่เขาอยู่ในนิกายราชันย์มาร จะต้องตายอย่างอนาถเป็นแน่.
“เหล่าหลิน.”
นายน้อยหยวนที่พอจะคาดเดาได้ เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิด “ข้าทำให้เจ้าต้องติดร่างแหไปด้วยแล้ว!”
เหล่าหลินเอ่ย “นายน้อยอย่าเอ่ยเลย ชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชาเคยถูกท่านช่วยไว้ ต่อให้บุกภูเขาดาบลุยทะเลเพลิง ข้าก็ไม่ลังเลย!”
นี่ถึงจะเรียกว่าเป็นสหายที่แท้จริง.
นายน้อยหยวนที่รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาทันที แทบร้องออกมาเช่นกัน.
“นายน้อย จุนซ่างเซียวปล่อยท่านมาได้อย่างไร?”เหล่าหลินเอ่ยด้วยความสงสัย.
“ที่นี่ไม่เหมาะจะเอ่ยออะไร ไปก่อนเถอะ ไปจากที่นี่ให้เร็ว เดี๋ยวเจ้านั่นไล่ตามมา.”
“ตกลง!”
ทั้งสองที่จากไปอย่างรวดเร็ว.
หลังจากดวงตะวันทอแสง พวกเขาได้มาหยุดที่ถ้ำแห่งหนึ่งห่างออกมาหลายร้อยลี้.
“นายน้อย.”
เหล่าหลินเอ่ย “ตอนนี้ท่านมีแผนการอะไรอยู่?”
“เฮ้อ.”
นายน้อยหยวนถอยหายใจ กล่าวออกมาว่า“นิกายราชันย์มารไม่สามารถกลับไปได้แล้ว ตอนนี้คงทำได้แค่ท่องไปในยุทธภพ.”
คิดถึงเรื่องที่ทำงานให้กับนิกายอย่างหนักตลอดหลายปี ท้ายที่สุดต้องลงเอ่ยเช่นนี้ ทำให้เขาไม่ค่อยยินดียิ่งนัก.
เหล่าเหลินเอ่ย “พวกเราเป็นผู้ฝึกตนมาร หากท่องไปในยุทธภพ ไม่มีคนพบเห็นก็ดีไป แต่ก็เสี่ยงที่จะถูกนิกายใหญ่ฝ่ายธรรมะล้อมโจมตีได้.”
นายน้อยหยวนที่ขมวดคิ้วแน่น.
ในเวลานั้นเขาก็ตระหนักได้ ว่าเมื่อออกจากนิกายราชันย์มารแล้ว เขายังใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในทวีปชิงหยุนแห่งนี้.
“เหล่าหลิน.”
นายน้อยหยวนที่ไม่ใส่ใจเรื่องสถานะอีกต่อไปแล้ว เอ่ยออกมาว่า“เจ้ามีอะไรแนะนำหรือไม่?”
“นายน้อยหยวน.”
เหล่าหลินเอ่ยอย่างจริงจัง“ที่นี่ไม่เหมาะกับพวกเรา พวกเราควรจะไปที่ดินแดนตงไห่!”
“ดินแดนตงไห่?”
นายน้อยหยวนเอ่ย “จังหวัดยวีอย่างงั้นรึ?”
“ไม่ผิด!”เหล่าหลินเอ่ย.
นายน้อยหยวนกล่าวอย่างขมขื่น“จังหวัดตงหยวีนั้นอยู่ไกล ต้องข้ามทะเลที่อันตราย บางทีพวกเราอาจจะตายก่อนไปถึงก็ได้.”
จังหวัดตงไห่ยวีนั้นเป็นแผ่นดินที่แยกออกไป แม้นว่าจะอยู่ไกลมาก ทว่าก็มีการเทียวไป-มาอยู่ แต่ก็ไม่ค่อยบ่อยนัก.
เพราะว่าดินแดนทั้งสองนั้นแบ่งแยกด้วยมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ มีอันตรายนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่.
ภัยเบื้องต้นก็คือพายุแปรปวนที่หนักหน่วงรุนแรง ตลอดจนยังมีสัตว์ร้ายมากมายที่ซ่อนอยู่ในทะเล.
ที่ผ่านมามีคนสามารถผ่านโพ้นทะเลไปได้ แต่ 90% มักจะตายระหว่างทาง ถึงจะเป็นครึ่งก้าวปราชญ์หรือปราชญ์ยุทธ์ก็ไม่มีเว้น.
พื้นที่โพ้นทะเลนับตั้งแต่แผ่นดินถูกแยกออกเมื่อครั้งสงครามราชันย์ ก็ปรากฏโจรสสลัดที่น่าเกรงข้ามเที่ยวปล้นฆ่าชาวยุทธ์อยู่ตลอดด้วย.
แน่นอน.
ด้วยความเสี่ยงที่มีมากจนเกินไป ทำให้คนที่ไปมาระหว่างแผ่นดินใหญ่และพื้นที่โพ้นทะเล มีอยู่น้อยมาก.
เหล่าหลินเอ่ย “ที่นี่ไม่เพียงต้องระวังนิกายใหญ่ฝ่ายธรรมะ ยังต้องระวังจุนซ่างเซียว กับนิกายราชันย์มารอีก สู้ไปตายเอาดาบหน้าที่จังหวัดตงไห่ยวียังจะดีซะกว่า!”
“ถูกของเจ้า!”
นายน้อยหยวนที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ต้องหลบทั้งจุนซ่างเซียวและนิกายราชันย์มารอีก!”
เขารู้นิสัยเจ้านิกายดี ในเมื่อรับรู้ว่าเขาเป็นคนทรยศ หากพบกันอีกครั้งคงสังหารเขาเป็นแน่!
เหล่าหลินเอ่ย “อีกอย่าง ด้วยกลุ่มอิทธิพลที่มีอยู่ในจังหวัดตงไห่ยวี ประกอบกับความสามารถของนายน้อยแล้ว จะต้องสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินที่นั่นได้แน่!”
คำพูดเหล่านี้ได้กระตุ้นนายน้อยหยวนอย่างหนัก หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจอย่างหนักแน่น “ตกลง พวกเราจะไปยังจังหวัดตงไห่ยวีกัน!”
หัวใจของเขาที่เหนื่อยเป็นอย่างมาก.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายตรงข้ามคือนิกายนิรันดร แต่ละครั้งเขาก็พ่ายแพ้อย่างอนาถ ดังนั้นการไปยังพื้นที่โพ้นทะเล หนีจากจุนซ่างเซียว ไปให้ไกลเลยจะดีกว่า.
......
หุบเขาข้ามวิญญาณ.
จุนซ่างเซียวที่ได้รับข้อมูลจากลี่ลั่วฉิว.
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีขวดที่ปรากฏขึ้นที่ชายฝั่งของจังหวัดหนานตงซือ เนื้อหาเป็นการขอความช่วยเหลือจากปรมาจารย์ฟ่าน.
นอกจากเนื้อหาขอความช่วยเหลือแล้ว.
เนื้อหานั้น กล่าวว่าจังหวัดตงไห่ยวีกำลังจะทำแผนการใหญ่ ที่จะคุกคามทุกสิ่งมีชีวิตของคนเก้าจังหวัดแผ่นดินใหญ่ หากต้องการรู้ ให้ส่งคนมาช่วยข้าเร็วเข้า!”
แผนการใหญ่?
คุกคามชีวิตทุกสิ่งมีชีวิตของคนเก้าจังหวัดแผ่นดินใหญ่อย่างงั้นรึ?
จุนซ่างเซียวที่สีคางไปมา เอ่ยออกมาว่า “ดูน่ากลัวขนาดนั้นเลย?”
เหล่ากลุ่มอิทธิภพเก้าจังหวัดก็ได้ข้อมูลนี้เช่นกัน ทว่ากับดูเหมือนว่าจะไม่ใส่ใจมากนัก ต้องไม่ลืมว่าไม่เพียงเรื่องพิภพสงครามแล้ว ยังมีเรื่องนิกายราชันย์มารโจมตีพวกเขา นี่ก็นับเป็นภัยพิบัติใหญ่อยู่แล้ว ใครจะมีเวลาไปช่วยปรมาจารย์ฟ่านกันล่ะ!
“เจ้านิกาย.”
เหล่าติงเอ่ย “ปรมาจารย์ฟ่านส่งขวดลอยน้ำมาขอความช่วยเหลือ บางทีอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “รอดูสถานการณ์อีกหน่อย.”
รอดูสถานการณ์ แน่นอนว่าต้องรอให้ภารกิจมหากาพย์ของเขาเสร็จก่อน ค่อยตัดสินใจอีกทีนั่นเอง.
ส่วนนายน้อยหยวนและเหล่าหลินหลายวันมานี้เดินทางไปยังจังหวัดหนานตงซือแล้ว หลังจากสอบถามไปทุกที ก็หาต้นหนและเรือเพื่อที่จะเดินทางข้ามทะเลไปได้.
พูดไปแล้วก็แปลก.
ขณะอยู่บนเรือ บนผืนน้ำที่กว้างใหญ่ จิตใจของเขาก็สงบลง ลอบครุ่นคิดเรื่องราวที่ผ่านมา“ไม่ใช่ เพราะว่าไปยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายหรอกรึ? ชีวิตข้าถึงได้ล้มเหลวเช่นนี้.”
“จุนซ่างเซียว!”
เขาที่ยืนอยู่ บนผืนทะเล ตะโกนเสียงดัง“ข้าจะไม่เล่นกับเจ้าแล้ว ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้าเด็ดขาด!”
“ลาล่ะ!”
“อย่าได้เจอกันอีกเลย!”
......
หุบเขาข้ามวิญญาณ.
ด้วยกายาวิญญาณบรรพกาลของเจียงเซี่ย ทำให้ทรัพยากรทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ถูกกวาดเรียบ จุนซ่างเซียวที่ได้สมบัติมากมายกลับนิกาย.
“ฟี่ ฟี่!”
“ฟี่ ฟี่!”
เงาร่างที่ใหญ่โตสะบัดปีก นำเขาและซีจิงเสวียนมุ่งหน้าสู่จังหวัดซีเหนียนหยาง.
ทั้งสองที่ได้เคียงข้างเดินทางกลับพร้อมกัน.
อย่างไรก็ตาม จุนซ่างเซียวที่ตั้งสมาธิอยู่กับหอปรุงยา เม็ดยาบูรณะร่างกายระดับสูงที่ปรากฏขึ้น.
“แล้วหนึ่งวันเที่ยวน้ำพุเหลืองนี่คืออะไรกัน?”
“ติ๊ง!”
จิตสัมผัสของเขาที่ส่งออกไป ก่อนที่สิ่งดังกล่าวจะเข้าสู่ฟังก์ชันอัตโนมัติ.
“เอ๊ะ?”
เขาที่เห็นมันไปปรากฏที่ฟังก์ชันหอปรุงยา จุนซ่างเซียวที่เผยท่าทางประหลาดใจ “เม็ดยารึ?”
หนึ่งวันเที่ยวน้ำพุเหลือง ที่ปรากฏขึ้น ไม่เพียงแค่ต้องใช้สมุนไพรจำนวนมาก ทว่ายังมีคำแนะนำว่า เม็ดยาหนึ่งวันเที่ยวน้ำพุเหลือง หลังจากผู้ฝึกยุทธ์กินเข้าไป จะอยู่ในสภาวะเหมือนตาย เป็นเวลา 24 ชั่วโมง.
จุนซ่างเซียวที่มุมปากกระตุก เอ่ยออกมาว่า“หลังจากกินแล้ว จะอยู่ในสภาพแกล้งตาย และยังดำเนินไปเป็นเวลา 24 ชั่วโมง นับว่าเป็นการเที่ยวน้ำพุเหลืองหนึ่งวันจริง ๆ!”
ทางหวงเฉวียน สะพานไน่เหอ และน้ำแกงยายเมิ่ง ทางหวงเฉวียน (ทางน้ำพุเหลือง)
เรื่องเล่าเกี่ยวกับทางหวงเฉวียน สะพานไน่เหอ และน้ำแกงยายเมิ่ง
ทางหวงเฉวียน (ทางน้ำพุเหลือง)
ที่ประเทศจีน เล่ากันว่าหลังจากคนตายแล้ว ยมทูตดำและยมทูตขาว เจ้าพนักงานรับวิญญาณแห่งปรโลกจะรีบมารับวิญญาณของผู้ตาย และพาพวกเขาไปปรโลกเพื่อให้พญายมราชผู้เป็นตุลาการสูงสุดของที่นั่นพิพากษา เพื่อตัดสินว่าพวกเขาจะได้ขึ้นสวรรค์ไปเป็นเทพ ไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีกครั้ง หรือจะต้องไปทนทุกข์ทรมานในนรกสิบแปดขุม เมื่อวิญญาณของผู้ตายมารายงานตัวที่ปรโลกจะต้องเดินบนทางที่ยาวมากสายหนึ่งและผ่านด่านจำนวนมาก ความหมายแรกของคำว่าทางหวงเฉวียนหรือทางน้ำพุเหลือง ก็คือคำเรียกด่านและเส้นทางเหล่านี้ ส่วนอีกความหมายหนึ่งหมายถึงทางช่วงหนึ่งระหว่างเส้นทางนี้ที่มีชื่อเฉพาะว่าทางหวงเฉวียน
บนทางหวงเฉวียนมีดอกปี่อั้น (ดอกฮิกันบานะ หรือ Red Spider Lily) สีแดงเพลิง ดอกปี่อั้นเป็นดอกไม้ที่รู้โดยทั่วไปว่าเติบโตอยู่ริมฝั่งแม่น้ำซานถู (แปลตรงตัวว่าแม่น้ำสามสาย เป็นแม่น้ำที่กั้นระหว่างโลกของคนเป็นกับคนตาย) ดอกไม้ชนิดนี้บานอยู่ที่ทางหวงเฉวียนเป็นจำนวนมาก เมื่อมองจากที่ไกลๆแล้วคล้ายกับพรมที่ชโลมไปด้วยเลือด บริเวณนี้เป็นทิวทัศน์และสีสันเพียงหนึ่งเดียวบนทางหวงเฉวียนที่ทอดยาว และเพราะสีที่แดงจัดราวกับไฟจึงถูกเรียกว่า “ทางเพลิงโชติช่วง” คนจะต้องเดินผ่านดอกปี่อั้นที่นำทางไปยังที่ควบคุมดูแลวิญญาณแห่งปรโลก เล่ากันว่ากลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดนี้มีพลังลี้ลับที่สามารถเรียกความทรงจำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ของผู้ตายได้
ต่อจากนั้นผู้ตายยังต้องข้ามแม่น้ำวั่งชวน สะพานไน่เหอ ก้าวผ่านหินซานเซิง ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งและอื่นๆอีก ดังนั้นเวลามีคนตาย ชาวจีนจึงเรียกว่า ไปทางน้ำพุเหลือง
สะพานไน่เหอ (สะพานแห่งความจนใจ)
เล่ากันว่ามีเส้นทางสายหนึ่งเรียกว่าทางหวงเฉวียน แม่น้ำสายหนึ่งเรียกว่าแม่น้ำวั่งชวน (แม่น้ำลืมเลือน) เหนือแม่น้ำมีสะพานชื่อว่าสะพานไน่เหอ (สะพานแห่งความจนใจ) เดินข้ามสะพานไน่เหอไปจะมีหอดินชื่อว่าหอวั่งเซียง (หอทอดอดีต) ข้างหอวั่งเซียงมีหญิงชรานามยายเมิ่งกำลังขายน้ำแกงยายเมิ่งอยู่ ริมแม่น้ำวั่งชวนมีหินก้อนหนึ่งเรียกว่าหินซานเซิง (หินสามชาติ) น้ำแกงยายเมิ่งจะทำให้เราลืมทุกอย่าง หินซานเซิงจะบันทึกเรื่องราวในชาติก่อนและชาตินี้ของเรา เมื่อเราเดินข้ามสะพานไน่เหอ มองโลกมนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายบนหอวั่งเซียง และดื่มน้ำต้มจากแม่น้ำวั่งชวนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพยายามไล่ตาม “ชาตินี้ที่ได้พานพบแต่ไร้วาสนาได้ครองคู่” อีก
สะพานไน่เหอแห่งนี้เป็นพรมแดนเพื่อเริ่มต้นการกลับชาติมาเกิดครั้งใหม่
บนสะพานที่ทำจากหินปูนมีบันไดห้าขั้น ฝั่งตะวันตกเป็นทางสำหรับผู้หญิง ฝั่งตะวันออกเป็นทางสำหรับผู้ชายตามหลักซ้ายหยินขวาหยาง “หากใครตายตอนอายุเก้าสิบเจ็ด ต้องมารอที่สะพานไน่เหอสามปี” (เนื้อเพลงจากละครเพลงเรื่องหลิวซานเจี่ย) การรอคอยนับพันปี คำสัญญานับร้อยปี บางทีบุพเพระหว่างสามีภรรยาในชาตินี้อาจเริ่มต้นที่นี่ และสิ้นสุดลงที่นี่เช่นเดียวกัน
ขณะที่เดินอยู่บนสะพานไน่เหอ เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่มีความทรงจำของชาตินี้ ช่วงเวลานี้ผู้คนมากมายยังยึดมั่นถือมั่นกับความปรารถนาที่ยังไม่จบสิ้นในชาติก่อน แล้วก็จะค่อยๆเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสุดท้ายแล้วความปรารถนาเหล่านี้จะไม่มีวันสำเร็จ จึงจะส่งเสียงถอนหายใจยาวๆออกมาทีหนึ่ง นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สะพานที่เชื่อมต่อการกลับชาติมาเกิดแต่ละครั้งแห่งนี้ชื่อว่าสะพานไน่เหอหรือสะพานแห่งความจนใจ
ตำนานเรื่องยายเมิ่ง
ยายเมิ่งเป็นตัวละครในเทพนิยายของเผ่าฮั่นสมัยโบราณ มักจะอยู่ริมสะพานไน่เหอ คอยมอบน้ำแกงยายเมิ่งให้วิญญาณทุกดวงที่เดินมุ่งหน้าไปเกิดใหม่ เพื่อลบความทรงจำของวิญญาณเหล่านี้
ในตำนานสมัยโบราณของชาวจีน ยายเมิ่งเป็นขุนนางในปรโลกที่ควบคุมดูแลเรื่องการลบความทรงจำของวิญญาณที่จะไปเกิดใหม่โดยเฉพาะ ในหมู่ชาวบ้าน มีคำอธิบายที่แพร่หลายเรื่องต้นกำเนิดของยายเมิ่งอยู่สามแบบ
คำอธิบายแบบแรกกล่าวว่า หลังการบุกเบิกฟ้าดินครั้งแรก ได้แบ่งโลกออกเป็นสวรรค์ แดนใต้ดิน และโลกมนุษย์ สวรรค์ยิ่งใหญ่ที่สุด คอยควบคุมดูแลทุกอย่าง โลกมนุษย์เรียกอีกอย่างว่าโลกหยาง และแดนใต้ดินเรียกว่าปรโลก สามโลกแบ่งแยกชัดเจน ไม่ว่าจะบนฟ้าหรือใต้ดิน เทพเซียนหรือขุนนางปรโลก ต่างก็มีหน้าที่ของตนเอง ยายเมิ่งอยู่ในโลกมาตั้งแต่สามโลกแยกออกจากกัน เดิมนางเป็นขุนนางอิสระบนสวรรค์ ภายหลังเพราะเห็นมนุษย์มีบุญคุณความแค้นมากมาย ต่อให้ตายแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง จึงลงมาที่ริมแม่น้ำวั่งชวนในปรโลก ตั้งหม้อขนาดใหญ่อยู่ที่หัวสะพานไน่เหอ นำอารมณ์ความคิดที่ปล่อยวางไม่ลงของมนุษย์มาปรุงแต่งเป็นน้ำแกงยายเมิ่งให้วิญญาณดื่ม วิญญาณก็จะลืมความรัก ความเกลียดชัง ความรู้สึก และความแค้นทั้งหมด ปล่อยวางเรื่องในตอนที่ยังมีชีวิต และเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดครั้งใหม่ คำอธิบายนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในคัมภีร์โบราณของลัทธิเต๋าในยุคชุนชิวจ้านกว๋อ
คำอธิบายแบบที่สองกล่าวว่า ยายเมิ่งก็คือเมิ่งเจียงหนี่ว์ หลังจากที่เมิ่งเจียงหนี่ว์ในอดีตร้องไห้จนกำแพงเมืองจีนถล่ม นางได้เห็นซากศพใต้กำแพงเมืองจีนจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ก็หาโครงกระดูกของสามีไม่เจอ เพื่อให้ลืมความทรงจำที่ทุกข์ทรมานอย่างมากนี้ได้ จึงต้มน้ำแกงยายเมิ่งที่ทำให้คนลืมความทรงจำไป ต่อมาสวรรค์รับรู้ความรู้สึกคิดถึงสามีของนางแล้วประทับใจมาก จึงไม่ให้นางทุกข์ทรมานจากการเวียนว่ายตายเกิดอีก และให้นางต้มน้ำแกงยายเมิ่งอยู่ข้างสะพานไน่เหอ เพื่อให้เหล่าวิญญาณที่จะเข้าสู่วงจรการเวียนว่ายตายเกิดลืมทุกอย่างในชาติที่แล้ว ด้วยความคิดที่ว่า “ชาติก่อนจบลงแล้ว ความดีความชั่วในชาตินี้เริ่มต้นจากจิตใจที่ดีงาม” คำอธิบายแบบนี้เริ่มแพร่หลายอย่างกว้างขวางในราชวงศ์หยวน พบมากในบันทึกของปัญญาชนสมัยราชวงศ์หมิงและชิง และเป็นคำอธิบายที่แพร่หลายอย่างกว้างขวางที่สุดแบบหนึ่ง ในบรรดาตำนานเรื่องยายเมิ่งที่มีมากมาย คำอธิบายนี้มีความเป็นสัจนิยมที่สุด
คำอธิบายแบบที่สามกล่าวว่า ยายเมิ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ศึกษาตำราของลัทธิขงจื๊อมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นก็เริ่มอ่านพระไตรปิฎก ตอนที่นางยังมีชีวิตไม่เคยหวนคิดเรื่องอดีต และไม่เคยคิดเรื่องอนาคต เพียงคอยเตือนคนอื่นอย่างตั้งใจว่าอย่าฆ่าสัตว์และให้กินเจ นางครองพรหมจรรย์จนอายุ 81 ปี นางรู้แค่ว่าตนเองแซ่เมิ่ง คนจึงเรียกนางว่า “ท่านยายแซ่เมิ่ง” ต่อมายายเมิ่งขึ้นไปบำเพ็ญเพียรบนภูเขาจนถึงหลังสมัยฮั่น ในตอนนั้นมนุษย์ยังจำเรื่องราวในชาติก่อนได้ จึงมักจะเปิดเผยเรื่องของตน ดังนั้นสวรรค์จึงมีบัญชาแต่งตั้งให้ยายเมิ่งเป็นเทพในปรโลก และสร้างหออวี้วั่ง (หอดื่มน้ำลืมเลือน) ให้นาง
ในตำนานนี้ ยายเมิ่งไม่ได้มีรูปลักษณ์เป็นหญิงชรา แต่เป็นหญิงงามแห่งยุค นางต้มน้ำแกงยายเมิ่งครั้งแรกเพื่อให้ตนเองลืมอดีต ความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวของยายเมิ่งก็คือตอนที่นางส่งน้ำแกงยายเมิ่งให้วิญญาณที่ผ่านไปมาบนสะพานไน่เหอ
ที่มา https://www.krukaychinese.com/2019/10/12/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87/