บทที่ 176 พูดคุย (2)
สนมเยว่เห็นฉินชิงและฮองเฮา พูดคุยกันและหัวเราะ ไม่มีท่าทีร้อนใจเลยแม้แต่น้อย
บางครั้งยิ่งรอนานเท่าไรก็ยิ่งไม่ร้อนใจ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็รอมาแล้วจะให้รออีกหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
หรือไม่สนมเยว่ก็รู้สึกว่าตนไม่ขัดจังหวะในเวลานี้จะดีกว่า ถึงอย่างไรนางก็เงียบมาตลอด
จนกระทั่งฉินชิงพูดคุยกับฮองเฮาเสร็จแล้ว สนมเยว่ถึงได้ยกมือคำนับไปที่ฮองเฮาแล้วพูดเรื่องเกี่ยวกับสนมโหลว
"ทูลฮองเฮา หม่อมฉันได้ผลจากการตรวจสอบหลายวันมานี้แล้ว แม่นมคนนั้นเหมือนจะไม่มีคนรู้จักคนอื่นในวังแล้ว ปกติก็เป็นคนพูดน้อย มีคนหนึ่งที่ค่อนข้างจะสนิทกับนางก็คืออวี้หลานในตำหนักสนมโหลวเพคะ"
"อวี้หลานคนนั้นตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ยังอยู่ในตำหนักของสนมโหลวหรือไม่ หรือว่าอยู่ที่ตำหนักอื่น?" ฮองเฮาถามสนมเยว่
"ไม่ใช่ทั้งสองเลยเพคะ นางออกจากวังแล้ว เพราะปีก่อนอายุของนางถึงกำหนดแล้ว จึงต้องออกจากวังไปแต่งงานเพคะ" สนมเยว่มองไปที่ฮองเฮาแล้วตอบคำถาม
"ออกจากวังไปแล้ว? หรือว่าต้องเสียเวลาไปสืบหาอีก?"
"ทูลฮองเฮา หม่อมฉันไม่ได้สืบต่อแล้วเพคะ แม่นมคนนั้นปกติแล้วนางค่อนข้างจะสนิทกับอวี้หลาน แต่หม่อมฉันเห็นว่า นางปฏิบัติกับอวี้หลานคนนั้นเหมือนกับเด็ก ปกติข่าวที่บอกอวี้หลานก็ค่อนข้างน้อยมาก แม้ว่าพวกเราจะไปหาอวี้หลานตอนนี้ก็อาจจะไม่ได้ข่าวอะไรมาก"
ฮองเฮาได้ยินข่าวนี้ก็เงียบไป จากนั้นก็เล่าข้อมูลที่ตนไปสืบมา
"คนของข้า ไปสืบข่าวของแม่นมคนนี้ที่นอกวัง รู้ว่านางมีลูกชายด้วย"
"มีลูกชาย หรือว่าเป็นลูกเลี้ยงหรือเพคะ ลูกชายนางอายุเท่าไรแล้ว แต่งงานหรือยัง?" ฉินชิงได้ยินฮองเฮากล่าวจึงเอ่ยถามทันที
อย่างไรเสียแม่นมในวังก็ไม่สามารถออกจากวังไปแต่งงานได้ ถ้ามีลูกชายก็มีความเป็นไปได้มากว่าคือเด็กที่รับมาเลี้ยง โดยทั่วไปการรับเด็กมาเลี้ยงต้องเป็นเด็กในตระกูลที่ค่อนข้างจะใกล้ชิดกับตน
"ลูกของแม่นมคนนั้นเป็นคนที่นางรับมาเลี้ยงจริงๆ แม่นมคนนี้มีน้องชายอยู่หนึ่งคน และคนที่นางรับเลี้ยงก็คือลูกชายคนที่สองของน้องชายนาง แต่ลูกชายคนนี้ของนางได้แต่งงานไปเมื่อสามปีก่อน แต่ส่วนนี้แหละที่ทำให้หม่อมฉันรู้สึกแปลกๆ"
"อ้อ? ฮองเฮาพบอะไรหรือเพคะ?" สนมเยว่มองฮองเฮาแล้วถาม
"ข้าพบว่าครอบครัวของแม่นมคนนี้เดิมทีไม่ใช่ตระกูลร่ำรวย เป็นชาวบ้านธรรมดา เจ้าสาวก็ต้องมีสินสอดให้ สภาพครอบครัวก็ต้องพอมีฐานะ สตรีถึงได้ยอมแต่งงานกับครอบครัวพวกเขา"
"หรือว่าแม่นมคนนั้นอยู่ๆ ก็มีเงินก้อนโตให้ลูกชายไปแต่งงานพอดีหรือเพคะ?"
"ความจริงแล้ว ในครอบครัวของแม่นมคนนี้ก็ไม่ได้มีเงินเหลือเฟืออะไร แต่สามปีก่อน เหมือนอยู่ๆ ก็มีเงินมาก้อนโต ไม่เพียงแต่มีคฤหาสน์ในเมืองหลวง แต่ยังจ่ายเงินจำนวนไม่น้อยเพื่อสู่ขอลูกสาวพ่อค้ากลับจวน ไม่เหมือนครอบครัวที่ไม่มีเงินเลย"
"ฮองเฮาทรงคิดว่าที่แม่นมคนนี้ถูกไล่ออกมาจากตำหนักสนมโหลวเกี่ยวกับเงินก้อนนี้ด้วยอย่างนั้นหรือเพคะ?"
"ใช่"
"ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็หาแหล่งที่มาของเงินก้อนนี้ได้แล้ว และเจอจุดอ่อนของแม่นมคนนี้แล้ว" สนมเยว่มองฮองเฮาแล้วกล่าว
หลังจากฉินชิงได้ยินเช่นนั้นก็ไตร่ตรองก่อนจะกล่าว
"แต่ก็อาจจะไม่เสมอไป ลูกชายของแม่นมคนนั้น ในเมื่อแต่งงานสร้างครอบครัว ถ้าอย่างนั้นสำหรับครอบครัวแล้วถือว่านางได้ทำให้ครอบครัวสมบูรณ์แบบแล้ว เพื่อเงินก้อนนั้นนางถึงได้ยอมก่อเรื่องในปีนั้น ต่อให้จะถูกเปิดโปงมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับนางอีกต่อไป แม้ว่าเจ้าจะเอากฎเกณฑ์ที่ถูกต้องไปพูดกับแม่นมคนนั้น นางก็อาจไม่ฟังเจ้าก็ได้"
ฉินชิงมองไปที่สนมเยว่แล้วพูดต่อ
"สิ่งที่พวกเราต้องทำจริงๆ คือทำให้แม่นมคนนี้เชื่อฟังพวกเรา ไม่ใช่การบีบบังคับแม่นมคนนั้น"
"ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วอย่างนั้นหรือ?" สนมเยว่ถามอย่างไม่ยินยอม มือนางกำหมัดแน่น
"ก็ไม่แน่ เรื่องนี้อาจจะมีประโยชน์บ้าง"
"อย่างไรหรือ?"
"แม้ว่าพวกเราจะกลัวว่าเขาจะถูกบังคับให้จนมุม แต่ตราบใดที่ไม่ถูกบังคับให้จนมุม เช่นนั้นก็ยังพอจะเจรจาได้ ถึงอย่างไรฝ่ายที่มีอำนาจเริ่มก่อนอยู่ในมือเรา"
ถึงอย่างไรก็เป็นฮองเฮา ฉินชิงรู้สึกว่ายังมีข้อได้เปรียบในการกดดันแม่นมคนนี้ ในสมัยโบราณคือระบบลำดับขั้น หากฮองเฮาไปหาถึงหน้าประตู เช่นนั้นแม่นมก็อาจจะประหลาดใจและหวาดกลัว
อย่างเช่นคนทั่วไปไม่สามารถก่อเรื่องจนถึงที่ว่าการได้ อย่างไรเสียไม่ยุ่งกับคนที่มีอำนาจจะดีกว่า เพราะพวกเขารู้ว่าสุดท้ายพวกเขาอาจจะถูกทำร้ายได้
การสูญเสียสองอย่างในครั้งเดียวเป็นสิ่งที่คนไม่อยากจะให้เกิดมากที่สุด
แม้ว่าฉินชิงจะไม่ได้รังเกียจกับการใช้วิธีเหล่านี้ แต่แม่นมคนนั้นอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นในวิธีการเหล่านี้เมื่อมีมูลก็สามารถทำได้
"ฮองเฮายังสืบเรื่องอื่นได้หรือไม่เพคะ?"
"น้องชายของแม่นมช่วงนี้ก็เหมือนจะอยู่ที่บ้านมาหลายวันแล้ว" พอฮองเฮาตรัสประโยคนี้ออกมาราวกับว่ามีความโศกเศร้าปนอยู่ในนั้น ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่? แต่ก็ยังพูดต่อไป
"ได้ยินมาว่าหาหมอแล้วแต่ก็ยังไม่มีประโยชน์ ในบ้านก็เริ่มจะเตรียมงานศพแล้ว"
"ความสัมพันธ์ของแม่นมและครอบครัวนางเป็นอย่างไรบ้าง?"
"ความสัมพันธ์ของคนในบ้านนางก็น่าจะดีมาก ข้าตรวจสอบเจอว่าเงินเดือนของนางในตอนนั้น อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งถูกส่งไปจุนเจือครอบครัว"
"เช่นนั้นก็หมายความว่านางมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับน้องชายคนนี้?"
"เป็นเช่นนี้ไม่ผิด"
"ขอทูลถามฮองเฮา ถ้าเป็นหมอหลวงในวัง จะสามารถรักษาน้องชายของนางหายหรือไม่เพคะ"
"เรื่องนี้ก็พูดยาก ทักษะของหมอหลวงในวังข้าเองก็รู้ดี แต่ประเด็นมันอยู่ที่ข้าไม่รู้ว่าอาการจริงๆ ของน้องชายแม่นมคนนั้นเป็นอย่างไร"
"ฮองเฮาไปตามหาหมอที่ครอบครัวนางเชิญมารักษาน้องชายของนางคนนั้นเถอะ ถ้าหากตามหาเจอแล้ว ถามไม่นานก็รู้เรื่องเพคะ"
"เรื่องนี้ข้าพลาดไปแล้ว แต่ว่ามันมีประโยชน์อะไรหรือ?" ฮองเฮาไม่เข้าใจ
"ฮองเฮาอาจจะยังไม่ทราบ การจัดการกับคนประเภทนี้ต้องใช้บุญคุณและอำนาจร่วมกัน ตบแล้วลูบหลังคือวิธีที่ดีที่สุด"
สนมเยว่ได้ยินฉินชิงพูดเช่นนั้นก็เข้าใจแล้ว
"เจ้าคิดจะเอาเรื่องที่แม่นมรับเงินก่อนหน้านี้มาขู่นาง จากนั้นก็ใช้เรื่องที่น้องชายของแม่นมป่วยมาดึงนางเข้าเป็นพวก"
"ไม่ผิด ข้าคิดวิธีเช่นนี้จริงๆ ฮองเฮาและสนมเยว่คิดว่าอย่างไร?"
"หม่อมฉันรู้สึกว่าเป็นไปได้ ฮองเฮาทรงคิดอย่างไรเพคะ?"
ฮองเฮาครุ่นคิดอย่างหนักแล้วกล่าวว่า
"ในเมื่อตอนนี้ไม่มีวิธีอื่น เช่นนั้นก็เอาตามที่ซูเจาอี๋พูดแล้วกัน"
"เพคะฮองเฮา" ฉินชิงและสนมเยว่ทำความเคารพ
"เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลาก่อนเพคะ" สนมเยว่กล่าว
"อืม"
เวลานี้ฉินชิงยังไม่อยากจากไป แต่อยู่ที่ตำหนักคุนหนิงพูดกับฮองเฮา
"ฮองเฮายังต้องรักษาตัวให้ดี แม้ว่าตอนนี้พระวรกายของท่านจะดีขึ้น แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่อย่างที่คิด ท่านต้องรักษาตัวให้ดีนะเพคะ"
"ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าไปเถอะ"
"เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ"