บทที่ 64 เพียงยกมือ ปล่อยเรื่องราว…
บทที่ 64 เพียงยกมือ ปล่อยเรื่องราว…
แสงทองสาดส่องไปทั่วผืนน้ำ... ยามเช้าของแม่น้ำหยางชุนสะท้อนแสงระยิบระยับ
ภายในสวนไม้ไผ่
เสินอี้นั่งบนเก้าอี้ ถือผ้ากำลังเช็ดทำความสะอาดฝักดาบอย่างตั้งใจ
ตัวเขาเองไม่เก่งเรื่องดูแลผู้บาดเจ็บ แต่โชคดีที่คนบ้าบาดเจ็บเป็นประจำ หม้ายสาวจึงสั่งสมประสบการณ์จากเขาได้
อย่างน้อยก็ต้องห้ามเลือดให้หม่าเถาและหลี่ซินฮั่นก่อน แล้วค่อยพันแผล
หลังจากหลี่มู่จิงฟื้นขึ้นมา นางรีบควักยาออกมาป้อน ทำให้สามารถรักษาชีวิตของพวกเขาไว้ชั่วคราว
จากนั้นนางค่อยๆ เดินออกจากประตูบ้าน
หลี่มู่จิงปลดผมหางม้า เส้นผมที่ยุ่งเหยิงปิดแก้มขาวซีด ร่างกายอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนนี้ นางลงมือต่อสู้โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังปราณไปมากเกินไป
หลี่มู่จิงมีเสน่ห์น้อยลงเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงที่ชุ่มฉ่ำแต่เดิม ตอนนี้เริ่มมีรอยแตกบ้าง
นางจ้องมองดูเงาหลังของเเสินอี้ ค่อยๆ ซ้อนทับกับเงาในความคิดของนางเมื่อคืน
หลี่มู่จิงขยับริมฝีปาก ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "คนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง?"
"พวกเขาแค่หมดแรง ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก ตื่นเช้าไปเอาม้าที่ศาลาว่าการแล้ว"
เสินอี้วางผ้าเช็ดทำความสะอาด แล้วแขวนดาบไว้ที่เอวอีกครั้ง
หลี่มู่จิงลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เขา ใช้ฝ่ามือค้ำคาง เดิมทีนางอยากถามอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เลยจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างตั้งใจ
ในที่สุดเเสินอี้ก็อดทนต่อสายตานี้ไม่ไหว ขมวดคิ้วมองนางด้วยการกลอกตา
หลี่มู่จิงหัวเราะคิกคัก ดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์ "ขอบอกว่า เจ้าเก่งในเรื่องฆ่าปีศาจจริงๆ"
เก่งจนแม้แต่นาง... เด็กสาวที่เติบโตในชิงโจวมาตลอดชีวิต ก็ไม่สามารถจินตนาการได้
แม้จะถูกชาวบ้านที่คุกเข่าอยู่บดบังสายตา แต่เสียงกรีดร้องอย่างน่ากลัวของเทพเจ้าแห่งแม่น้ำยังคงก้องอยู่ในหู หากไม่เผชิญกับความหวาดกลัวต่อความตาย เทพเจ้าแห่งแม่น้ำที่ถือตนว่ามีศักดิ์ศรี คงไม่มีทางเสียอาการเช่นนี้แน่นอน
"ตอนแรก ข้าคิดว่าเจ้าตายแล้วเสียอีก"
อีกฝ่ายไล่ตามสายลมดำเข้าไปในป่า ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นปีศาจอะไร แต่ความคาดหวังบนใบหน้าของเทพเจ้าแห่งแม่น้ำถูกหลี่มู่จิงเก็บไว้ได้ทั้งหมด
นั่นคือความไว้วางใจอย่างเต็มเปี่ยม มันเต็มไปด้วยความปรารถนาและความมั่นใจ
ไม่คาดคิดว่าคนสุดท้ายที่กลับมาจะเป็นเสินอี้
"โชคดีที่ข้าคิดผิด"
หลี่มู่จิงลุกขึ้นยืนตรง เก็บรอยยิ้ม ก้มตัวลงโค้งคำนับชายหนุ่มอย่างไม่เคอะเขิน
หากอีกฝ่ายคิดแบบเดียวกัน วิธีที่ดีที่สุดหลังจากหนีออกมาคือ... รีบกลับไปที่แผนกปราบปีศาจเพื่อแจ้งข่าว
เมื่อเผชิญกับปีศาจที่มีพลังเหนือกว่าตนเองมาก ไม่ว่าใครก็ตามที่มองดูก็รู้สึกว่าไม่มีโอกาสชนะ การใช้ข้ออ้างเพื่อส่งข่าวกลับไป แม้แต่แผนกปราบปีศาจก็คงไม่ตำหนิอะไรมาก
"…"
เสินอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจริงจังขึ้นมาทันใด
เขากำลังยกมือขึ้นโบก ยังไม่ทันได้พูดอะไร แขนของเขาก็ถูกโอบกอดด้วยความอบอุ่นอันกว้างใหญ่
"ฮ่าฮ่าฮ่า"
หลี่มู่จิงกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง กอดแขนเขา พลางบ่นว่า "ข้ากลัวมาก กลัวจนตัวแข็งแล้ว! แม้แต่นิ้วก็ขยับไม่ได้ แถมยังต้องทำเป็นใจเย็นอีก ไอ้เทพเจ้าแห่งแม่น้ำนี่มันไม่กลัวอะไรเลย น่าโมโหจริงๆ!"
พูดจบนางก็ใช้นิ้วเขี่ยแขนของเขา ทำหน้าเศร้าจริงจังแล้วเอ่ยว่า "ตอนที่เจ้าเดินมา น้ำตาข้าเกือบไหลออกมาแล้ว โชคดีที่เจ้าหล่อมาก ข้าเลยคิดว่าต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ เลยกลั้นน้ำตาไว้ก่อน"
สัมผัสที่คุ้นเคย... ขนาดของหลี่มู่จิงกลับน่าทึ่งยิ่งกว่าพี่สะใภ้ตระกูลซ่งเสียอีก
เสินอี้พูดไม่ออก ชักแขนกลับมา "พอได้แล้ว"
ตอนที่อีกฝ่ายกำลังถูกแทงด้วยฉมวก นางไม่มีแม้แต่ความกลัว แค่ถอนหายใจเบาๆ เท่านั้น
ไอ้เรื่องน้ำตาไหลออกมา นี่มันหลอกผีชัดๆ!
หลี่มู่จิงวางมือข้างหนึ่งบนสะโพก ตบหน้าอกขนาดใหญ่อย่างโล่งใจ "ดีแล้ว ดีแล้ว แค่ยังมีชีวิตอยู่ก็พอ การมีชีวิตอยู่ช่างดีจริงๆ"
คนจากแผนกปราบปีศาจดูเหมือนจะมองโลกในแง่ดีสินะ
รอยยิ้มของนางทำให้เสินอี้หันไปมอง ความโหดร้ายในแววตาของเขาจางลงเล็กน้อย
บางทีมันอาจจะเป็นตั้งแต่ที่เขาตื่นขึ้นมาในบ้านตระกูลหลิวที่เมืองไป๋อวิ๋น
ตอนแรก เขายังอยู่ในสภาวะที่มองโลกเป็นเกม จนไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติ
เมื่อเขาหลุดพ้นจากร่องรอยของอดีตชาติอย่างสมบูรณ์ และค่อยๆ กลมกลืนกับโลกนี้
เสินอี้ก็พบว่าตัวเองคุ้นเคยกับการเปื้อนเลือด ถึงขนาดที่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยหากไม่ได้เห็นมัน
ความโหดร้ายคือเครื่องมือที่ช่วยให้เขาอยู่รอดในโลกที่วุ่นวายแห่งนี้
แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นหุ่นเชิดของมันได้!
เสินอี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใจของเขาสงบลงมากขึ้น เขาหันมองออกไปนอกลาน
หม้ายสาวตัวน้อยกอดเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ยืมมา เดินเข้ามาหาด้วยความเคารพ "ใต้เท้า ท่านจะเปลี่ยนเสื้อผ้าไหมเจ้าคะ ข้าน้อยหาของใหม่ไม่ได้ แต่รับรองว่าสะอาดดีเจ้าค่ะ"
คนบ้าก้มหน้าเดินตามหลังนาง ไม่มีความโง่เขลาเหมือนที่เห็นเมื่อวานแล้ว
เขาเงยหน้ามองเสินอี้ด้วยความรู้สึกขอบคุณ และหวาดกลัว
ดวงตาใสของอีกฝ่ายดูเหมือนจะมองทะลุทุกสิ่งได้ ในยามที่มันแหลมคม มันก็สามารถข่มขู่ปีศาจได้อย่างง่ายดาย
"ไม่เป็นไร ข้าไม่เปลี่ยน"
หลี่มู่จิงส่ายหน้า สำหรับเสี่ยวเว่ยอย่างพวกนาง การกลับมาพร้อมกับความดีความชอบในสภาพนี้ จะช่วยให้เสินอี้ยืนหยัดในแผนกปราบปีศาจได้เร็วขึ้น
"เอ่อ ก็ได้เจ้าค่ะ"
หม้ายสาวตัวน้อยหยิบไม้บรรทัดสั้นออกมา ถามอย่างอึดอัด "งั้นให้ข้าน้อยวัดขนาดไหล่ของท่านได้ไหม?"
หลี่มู่จิงเหมือนจะดูออก เลยไม่ปฏิเสธ รับไม้บรรทัด และลากเสินอี้ให้ลุกขึ้นยืน
"ทำอะไร?" เสินอี้สงสัย
"นางอาจจะทำเสื้อผ้าให้เจ้า แล้วส่งไปที่ชิงโจวเพื่อขอบคุณ"
หลี่มู่จิงจับไม้บรรทัด วัดขนาดตัวเขาอย่างจริงจัง แม้แต่ดาบที่เอวก็วัดด้วย
เสร็จแล้วนางก็รายงานตัวเลขให้กับหม้ายสาวตัวน้อย แล้วโบกมือ "ไปได้แล้ว"
"ขอบคุณใต้เท้า"
เมื่อวานนี้หม้ายสาวตัวน้อยยังดูดุร้ายมาก แต่ตอนนี้นางไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเสินอี้
แต่นั่นก็ไม่ใช่ความกลัวอย่างแท้จริง
ท่าทางแบบนี้ทำให้เสินอี้รู้สึกคุ้นเคย แต่เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน
หม้ายสาวตัวน้อยพาคนบ้าออกไปอีกครั้ง แต่คนบ้าชนเข้ากับชายคนหนึ่ง ชายคนนั้นโยนเนื้อปลาที่มัดด้วยเชือกฟางลงพื้นแล้วรีบวิ่งไปต่อ
"เขา... เขาแทบจะวิ่งไปทั่วทุกบ้านในหมู่บ้านแล้ว"
หม้ายสาวตัวน้อยเก็บเนื้อปลาขึ้นมาด้วยความอึดอัด
ชายผู้ถูกเสินอี้บังคับให้กินเนื้อเทพเจ้าแห่งแม่น้ำเมื่อวานนี้ ร้อนรนอยากให้ทุกคนได้ลองชิมความอร่อยนี้ ราวกับว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะชำระล้างความรู้สึกผิดในใจของเขาได้
และก็ต่อเมื่อกลืนกินเนื้อปลานี้เท่านั้น จึงจะฉีกทึ้งคำลวงที่พวกเขาใช้หลอกลวงตัวเอง
ในเมื่อเป็นปีศาจ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงเด็กชายสามร้อยคนไว้ในแม่น้ำ
การจมน้ำก็คือการจมน้ำ ลูกหลานจะไม่มีวันกลับมาพร้อมกับเหยียบคลื่น และยิ่งไม่มีทางพาพวกเขาไปที่ถ้ำเทพเจ้าแห่งแม่น้ำเพื่อรับพร
เมื่อความจริงที่รู้กันดีถูกเปิดเผยโดยไม่มีข้ออ้าง ผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะอับอายและปิดหน้า
"ในยามอดอยาก แม้แต่ลูกตัวเองก็ยังกิน"
"มันคือเรื่องที่จำเป็น"
"ตอนนี้เราสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ถึงเวลาต้องตัดสินใจ สิ่งมีชีวิตที่กินคนนั้นคือปีศาจ เมื่อมันมีประโยชน์ก็บูชา เมื่อมันไร้ประโยชน์ก็ควรลงท้อง"
"นี่คือวิถีชีวิตของคนธรรมดา"
"เสี่ยวเว่ยจากแผนกปราบปีศาจไม่จำเป็นต้องจับปลาหรือทำนาเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง พวกเราล้วนเป็นผู้มีอันจะกินจากภาษีของประชาชน ไม่เพียงแต่พวกเราไม่สามารถนำอาหารมาแจกจ่ายให้พวกเขาได้ ยังต้องเอาอาหารจากปากพวกเขาไปอีก การยืนอยู่บนจุดที่สูงเกินไป มันย่อมดูเย็นชา"
หลี่มู่จิงวางมือบนไหล่เสินอี้ ดวงตานางเป็นประกาย ยิ้มอย่างขี้เล่น "ท่านใต้เท้าเสิน ช่วยยกมือขึ้นสูงๆ เพื่อเมตตาพวกเขาสักครั้งได้ไหม?"
มีคนจงใจรักษาสถานะ จงใจฝังรากลึกความเชื่อเรื่องการบูชายัญนี้ลงในความคิดของชาวประมง ราวกับว่านี่คือหลักคำสอนของบรรพบุรุษที่ไม่สามารถฝ่าฝืนได้
เมื่อวานนี้ ชาวบ้านกว่าสิบคน รวมถึงผู้ใหญ่บ้าน ถูกพรากชีวิตไปในพริบตา
พูดตามตรง หลี่มู่จิงตกใจกับวิธีการที่โหดเหี้ยมนี้ แต่นางก็รู้สึกสบายใจ! คนผู้นี้ทำสิ่งที่ลูกหลานชิงโจวไม่กล้าทำ แถมยังทำได้อย่างเฉียบขาด
แต่ถ้าฆ่าต่อไป เรื่องราวบางอย่างก็จะเปลี่ยนไป
"พวกเขาไม่ได้คิดจะไว้ชีวิตเจ้าเมื่อวานนี้นะ?" เสินอี้เลิกคิ้วถาม
"เสื้อผ้าชุดนี้ เจ้าใส่เฉยๆ งั้นสิ?" หลี่มู่จิงเบ้ปาก ดึงแขนเสื้อเสินอี้ที่มีลวดลายเมฆ "คนที่ลงมือย่อมต้องตาย แต่ถ้าไม่มีเขาเหล่านั้นที่ทำงานหนักทั้งวันทั้งคืน พวกเราจะมีเงินเดือนกินข้าวได้อย่างไร... เฮ้ๆ อย่าดึงมือข้าออกนะ เจ้ากลัวอะไรกับผู้หญิง รู้สึกเหมือนแตะต้องเจ้าไม่ได้เลย"
"ไปยืนไกลๆ ไป"
เสินอี้ตบไหล่นาง พูดอย่างไม่สนใจ
ตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมา เขาไม่เคยทำชั่ว เพียงแค่ต้องการรักษาชีวิตตัวเองเท่านั้น
แต่ทำไมในปากของผู้หญิงคนนี้ เขาถึงเหมือนเป็นคนโหดเหี้ยมที่เอาแต่สังหารกันนะ?