บทที่ 174 ท้องระยะที่สาม
สองวันที่ผ่านมา ฉินชิงเล่นหมากรุกอยู่ในตำหนักจงชุ่ย อ่านหนังสือที่ส่งมาใหม่ ลูบแมวตอนอาบแดด บางครั้งก็ลองทำอาหารใหม่ในห้องครัว
ชีวิตของนางผ่านไปอย่างมีความสุข แต่บางคนในวังกลับไม่ได้มีความสุขขนาดนี้
เหลียนเหม่ยเหรินท้องระยะสามแล้ว ช่วงนี้นั่ง เดิน นอน ทำอะไรก็เป็นปัญหา โดยเฉพาะขาและเท้า ตอนที่นางท้องระยะแรกก็ไม่ได้มีอาการแพ้ท้องเท่าไร ร่างกายและน้ำหนักก็เป็นปกติ แต่นับวันปัญหาเหล่านี้กลับเพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าความทรมานจากอาการแพ้ท้องจะลดลง แต่ความทุกข์อื่นกำลังรอเหลียนเหม่ยเหรินอยู่
ช่วงนี้นางมักจะตื่นขึ้นมากลางดึก และมักจะปวดหนักบ่อยๆ กลางคืนไม่หลับสนิท มักจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาสามสี่ครั้ง หลับไม่สบายทั้งคืน
ยาป้องกันครรภ์ที่หมอหลวงให้มานั้นก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรมาก ดื่มแล้วแค่รู้สึกสบายใจขึ้น
ก่อนหน้านี้หมอหลวงบอกว่าลูกในครรภ์ของนางแข็งแรงมาก เหลียนเหม่ยเหรินก็ดีใจมากจริงๆ แต่ตอนนี้การตั้งครรภ์กลับทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก
ปวดเอว ไม่ว่ากระดูกท่อนไหนก็ปวดไปหมด ที่ต้นขาก็ปวด ทั่วทั้งร่างกายไม่มีบริเวณไหนไม่ปวดเลย เวลาเดินก็ต้องมีคนช่วยพยุง
เหลียนเหม่ยเหรินรู้สึกลำบากมาก สุดท้ายก็เพื่อลูกในท้องนางจึงไม่ค่อยเดินเท่าไร ไม่ค่อยออกไปไหนเท่าไร นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน
ตอนกลางคืนมักจะหลับไม่ค่อยสบาย เหลียนเหม่ยเหรินจึงต้องหลับตอนกลางวัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เหลียนเหม่ยเหรินรู้สึกว่าช่วงนี้ตนนอนมากเกินไป
รู้สึกเหมือนหนึ่งวันสามารถนอนได้เก้าชั่วยาม แม้ว่าจะตกใจตื่นบ่อยๆ แต่ที่จริงแล้วกลับนอนตลอดเวลา บางครั้งก็ต้องให้จือเถามาปลุก ถึงได้ตื่นขึ้นมาดื่มยาป้องกันครรภ์และกินข้าว
กระนั้นต่อให้ในหนึ่งวันเหลียนเหม่ยเหรินจะหลับมานานมาก แต่นางก็ยังรู้สึกว่าตนนอนไม่พอ อีกทั้งยังรู้สึกว่านางอ่อนแอลงเรื่อยๆ
ทั้งๆ ที่กินอาหารบำรุงไปไม่น้อย ฮองเฮาก็ส่งมาทุกสองสามวัน ตำหนักทุกตำหนักก็ส่งของบำรุงมาจำนวนไม่น้อย ตอนนี้กองเต็มห้องเก็บของแล้ว
วันนี้ก็เป็นวันตรวจชีพจรอีกครั้ง เห็นหมอหลวงหยางเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องยา เหลียนเหม่ยเหรินให้เขาตรวจชีพจรแล้วถามว่า
"ลูกข้าเป็นอย่างไรบ้าง?"
หมอหลวงหยางมีสีหน้าประหลาดใจ
"ลูกในครรภ์ของพระสนมดีทุกอย่าง แต่พระสนมกลับอ่อนแอลง เหมือนกับลูกในครรภ์แย่งสารอาหารจากตัวแม่ไปค่อนข้างมากเกินไป"
หมอหลวงหยางเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอ ไม่มีทางพูดอ้อมค้อม เพราะเหตุนี้จึงไปทำให้ใครหลายคนขุ่นเคือง จือเถาที่อยู่ข้างเหลียนเหม่ยเหรินก็เอ่ยด้วยความโกรธ แล้วถามขึ้นมาตรงๆ
"พระสนมของพวกเรากินของบำรุงมากขนาดนี้ ร่างกายจะอ่อนแอได้อย่างไร? เกรงว่าท่านคงจะตรวจชีพจนผิดแล้วกระมัง? พระสนมอยากจะเปลี่ยนหมอหลวงมาตรวจชีพจรให้ใหม่หรือไม่?"
โดยปกติแล้วการตรวจชีพจรต้องเป็นหมอหลวงที่เข้าเวรในวันนั้น แต่ตอนที่เหลียนเหม่ยเหรินท้องคนที่รับผิดชอบก็คือหมอหลวงด้านนรีเวชศาสตร์
เหลียนเหม่ยเหรินไม่ได้มีการตอบสนองมากนักต่อคำพูดของเขา กลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
"ถ้าเขาอยากได้ก็ให้เขาไปเถอะ ลูกชายข้า ข้ายินดี"
"พระสนม โปรดให้อภัยที่กระหม่อมต้องพูดตามตรง"
เหลียนเหม่ยเหรินมองไปที่หมอหลวงหยางแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ "เจ้าพูดมาเถอะ"
"หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะส่งผลเสียต่อร่างกายของพระสนม อีกอย่างถ้าหากเด็กตัวโตเกินไป เวลาที่พระสนมคลอดเกรงว่าจะได้รับความทรมานไม่น้อย"
เหลียนเหม่ยเหรินได้ยินหมอหลวงหยางกล่าวเช่นนั้น คิดๆ แล้วก็พูดว่า
"ข้าจะกินของบำรุงเข้าไปอีกก็พอแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสองเดือน ข้ายินดีที่จะให้เป็นเช่นนี้ ทรมานก็ทรมานไปเถอะ เพื่อเจ้าลิงน้อยตัวนี้ ข้าได้รับความลำบากมาไม่รู้เท่าไรแล้ว"
หมอหลวงหยางเห็นเหลียนเหม่ยเหรินยังคงยืนกรานจะเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมนางอีก อย่างไรก็ได้บอกไปชัดแล้ว ส่วนจะเลือกอย่างไรนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของเขาแล้ว เขาเองก็เป็นหมอหลวงธรรมดา เป็นหมอหลวงที่มาตรวจชีพจรเท่านั้น ไม่ใช่หมอหลวงจางที่ลาพักผ่อนวันนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะไปยุ่ง
หมอหลวงหยางเดินจากไป และกำลังคิดว่าจะได้กินอะไรเมื่อกลับไปถึงบ้าน และนึกถึงฮูหยินของตนที่รับปากว่าจะทำปลาเปรี้ยวหวานให้ตนกิน คิดไปน้ำลายก็ไหลไป
ส่วนจือเถาทางนี้เห็นท่าทางของเหลียนเหม่ยเหรินที่เป็นหนักมากจึงอยากจะเกลี้ยกล่อมอีกคน
"พระสนม กินให้น้อยลงจะดีกว่าหรือไม่ บ่าวเคยเห็นท่านแม่คลอดน้องชายของบ่าวตอนอยู่บ้านเกิด ตอนนั้นท้องของท่านแม่บ่าวใหญ่มาก ท่านแม่ของบ่าวใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนถึงได้คลอดลูกออกมาได้ ตอนนั้นท่านแม่ของบ่าวทรมานมาก หลังจากนั้นก็ยังต้องอยู่ไฟพักฟื้นถึงสองเดือน"
"จือเถา ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีกับข้า แต่เรื่องนี้ปล่อยผ่านไปก่อนเถอะ ข้ายอมทรมานเพื่อลูกของข้า ขอแค่ให้เขาเขาโตขึ้นมาอย่างแข็งแรง เจ้าไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าแล้ว ไปเอารังนกถ้วยนั้นมาเถอะ ข้าจะกิน"
"เพคะพระสนม"
หลังจากจือเถาจากไป เหลียนเหม่ยเหรินก็ลูบท้องแล้วพูดว่า
"ลูกแม่ เจ้าต้องเติบโตมาให้ดีนะ แม่รอเจ้าอยู่"
หลังจากดื่มรังนกเสร็จแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหลียนเหม่ยเหรินถึงได้ง่วงอีกแล้ว ดังนั้นจึงไปนอน
และในเวลานี้ฉินชิงเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากนอนกลางวัน จะว่าไปนอนกลางวันวันนี้ก็ทำให้ฉินชิงรู้สึกมีความสุขมาก หลังจากตื่นแล้วก็สดชื่นมากจริงๆ
เมื่อเดินออกมาที่ลานตำหนักก็เห็นเสวี่ยถวนนอนอยู่บนเก้าอี้ ฉินชิงอุ้มเสวี่ยถวนขึ้นมาแล้วนั่งลง แล้วกอดเสวี่ยถวนไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง
เดิมทีฉินชิงก็คิดว่าเสวี่ยถวนจะตื่น แต่มันกลับแค่เปลี่ยนท่าทางและนอนต่ออยู่ในอ้อมแขนของฉินชิง
ฉินชิงลูบขนของเสวี่ยถวนอย่างช้าๆ ไม่อยากทำให้มันตื่น ฉินชิงนั่งได้ไม่นาน หยินผิงก็ยกน้ำชาและขนมมาให้
"พระสนมอยากจะดื่มชาและกินขนมหน่อยไหมเพคะ? ที่ห้องครัวเล็กเพิ่งจะทำเต้าฮวยธัญพืชออกมาใหม่ๆ เลยเพคะ"
มีอาหารอร่อย ฉินชิงจะพลาดได้อย่างไร? ดังนั้นจึงให้หยินผิงนำโต๊ะตัวเล็กมาวางไว้ข้างๆ เก้าอี้
ฉินชิงนำชามเต้าฮวยธัญพืชมาวางไว้บนท้องของเสวี่ยถวนที่นอนอยู่ จากนั้นก็ใช้ช้อนตักกิน รสชาติไม่เลวจริงๆ
วัตถุดิบหลักน่าจะเป็นนม แต่เมื่อกินแล้วกลับมีรสชาติหอมสดชื่นของเหล้าโผล่มาด้วย น่าจะใส่เหล้าเข้าไปด้วย กินๆ ไปก็เคี้ยวโดนแอปริคอท และเพิ่มรสชาติเอกลักษณ์เล็กน้อยให้กับความอ่อนนุ่มนี้
หลังจากกินเต้าฮวยธัญพืชแล้ว ด้านข้างฉินชิงก็มีขนมที่นางไม่เคยกินมาก่อน และเวลานี้หยินผิงก็อธิบายให้ฉินชิงฟัง
"นี่คือขนมอวิ๋นโต่วจ้วน เป็นขนมดั้งเดิมของเยียนจิง ด้านนอกใช้เป็นถั่วแขก ไส้ด้านในเป็นถั่วบดสีแดงที่เห็นบ่อยๆ สีมันวาว เนื้อละเอียดนุ่ม พระสนมลองชิมดูเพคะ"
หลังจากฟังคำแนะนำของหยินผิงแล้วฉินชิงก็คิดว่าต้องอร่อยมาก และเมื่อกินไปหนึ่งคำก็เหมือนกับที่หยินผิงพูดมา แม้ว่าจะไม่ถึงกับละลายทันทีที่เข้าปาก แต่ก็มีความนุ่มละมุนมาก ฉินชิงคิดว่าต้องเป็นแป้งที่ละเอียดมากถึงจะสามารถทำออกมาได้แบบนี้
แม้ว่าจะหวานไปหน่อย แต่ก็หวานแบบฉ่ำๆ กินแล้วไม่รู้สึกเลี่ยน ทำให้กินแล้วหนึ่งชิ้นก็อยากจะกินอีก
หลังจากกินขนมอวิ๋นโต่วจ้วน ฉินชิงที่อิ่มท้องก็นั่งอุ้มเสวี่ยถวนอาบแดดต่อไป